ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
ตอนที่ ๑๔๔๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมซินนามอน เรสซิเดนซ์
วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ผู้ฟัง บุคคลที่ไปสำนักปฏิบัติ เขาก็จะพูดให้ฟังว่า ที่เขาไปปฏิบัติ ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ปิดวาจา หนึ่งกิจกรรมแล้วที่เขาจะต้องทำ
ท่านอาจารย์ สอนให้ปิดวาจา พระพุทธเจ้าปิดวาจาของพระองค์หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้ปิด
ท่านอาจารย์ ถ้าปิด เราไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมเลยใช่หรือไม่ แล้วทำไมไปสอนให้ ปิดวาจา เป็นประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าพระองค์ไม่ตรัส เราจะได้ฟังคำนี้ไหม คนที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว กล่าวคำของพระองค์สืบๆ ต่อๆ กันมา ถ้าปิดวาจาแล้วก็จะรู้ได้อย่างไร เข้าใจได้อย่างไร แม้คำแรกก็ผิด เมื่อผิดคำแรก คำต่อไปก็ผิดเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น บางคน พูดเสียยาวเลย เลยไม่รู้ว่าผิดตรงใหน แต่แต่ละคำ ต้องพิจารณา ปิดวาจาหมายความว่า อย่างไร
ผู้ฟัง เขาบอกว่าไม่ให้พูด เพื่อที่จะอยู่กับตัวเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ให้พูด ห้ามได้หรือไม่ พูดเพราะอะไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่คิด พูดได้ไหม โดยไม่คิด นอนหลับสนิทไม่ได้คิด ไม่เห็นมีใครพูดตอนนอนหลับสนิท ใช่ไหม แต่ละเมอเมื่อไหร่ พูดเมื่อไหร่ นั่นเพราะคิด เพราะฉะนั้นคิด โดยไม่พูด ก็มี ใช่ไหม ห้ามคิดได้ไหม ห้ามไม่ได้
เพราะฉะนั้น พอคิดแล้วทันทีนั้นเสียงเปล่งออกมา ใครรู้บ้างว่า ทุกคำที่คนพูด ต้องมีความคิดที่ทำให้เกิดเสียงตามความคิดนั้นๆ ถ้าคิด ภาษาจีนจะพูดภาษาไทยได้ไหม ไม่ได้ พอคิดปุ๊บเสียงออกมาเป็นภาษานั้นแล้ว ทุกอย่างตามความคิด
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าไร้สาระจริงๆ ถ้าใครจะกล่าวคำไหน ที่เข้าใจว่า ฉันกล่าวแล้วคนอื่นเชื่อ ผิด ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก ถ้าเขาเป็นคนที่พิจารณาไตร่ตรอง เขาก็จะซักถามว่า ปิดวาจาหมายความว่าอย่างไรไม่พูดใช่ไหม แล้วมีประโยชน์อะไรที่ไม่พูด
ผู้ฟัง ก็เป็นความเข้าใจผิดที่จะให้ไม่พูดกับคนอื่นเพื่อที่จะไม่ให้เกิดอกุศล เพราะว่า เราไม่พูดแล้วก็จะได้มีเวลาคิดไตร่ตรองอยู่กับตัวเอง
ท่านอาจารย์ อัตตา ตัวตน คือ ฉันจะทำอย่างนั้น เพื่ออย่างนั้น แต่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นไม่มีเรา ถ้าไม่มีธรรมที่เกิดขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จะมีเราได้ อย่างไร แต่เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น แล้วไม่รู้ ก็เป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง เป็นสิ่งนั้นบ้าง เป็นสิ่งนี้บ้าง
ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอาศัยคำของสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเปิดเผยสิ่งที่มี ให้คนอื่นได้รู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร ก็คิดไป เขาก็ไม่มีวันที่จะเป็นคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีวันที่จะกล่าวคำว่านับถือพระรัตนตรัย เพราะพูดแล้วนับถืออะไรตรงไหย ก็ยังไม่รู้
ผู้ฟัง แล้วอีกหนึ่งอย่างที่สำนักปฏิบัติสอน ก็คือว่าให้รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
ท่านอาจารย์ ใครไม่รู้ กำลังพูดก็รู้ว่าพูดมิใช่หรือ ตามความเป็นจริง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่ากำลังเดิน เมื่อครู่รับประทานอาหารทุกคน ก็รู้ว่ากำลังตักช้อน ตักข้าว ตักแกงอะไรก็แล้วแต่ รู้กันทุกคน แต่รู้ผิด เพราะไม่ได้รู้ความจริงของแต่ละหนึ่ง แต่รวมแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทำให้หลงเข้าใจว่ามีอัตตา อัตตาไม่ใช่เฉพาะตัวเรา สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างเป็นแก้วน้ำ เป็นแก้วน้ำแล้ว สิ่งหนึ่งแล้ว เป็นขวด เป็นอีกสิ่งหนึ่ง แล้วเป็นดอกไม้ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งแล้ว แต่อีกคำหนึ่ง คือ สักกายะ เป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็เป็นอัตตา สำหรับคุณณภัทร แต่ตัวคุณณภัทรเป็นสักกายะเหมือนกันเลยใช่ไหม แต่เข้าใจว่า เป็นเราหรือเป็นของเรา
เพราะฉะนั้น ความเห็นผิดมีมากมาย ตามประเภทของความเห็นผิดนั้นๆ แต่ความเห็นผิดพื้นฐาน ซึ่งถ้าดับความเห็นผิดนี้แล้ว ความเห็นผิดอื่น มีไม่ได้เลย เพราะเป็นสิ่งที่มีเป็นธรรมดา เช่น มีเรา มีเขา มีดอกไม้ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งมารวมกัน
หลับตาแล้วบอกได้ไหม ไหนคุณณภัทร ไหนคุณอรรณพ แต่พอลืมตาทำไมมีทันทีเลย เพราะสัณฐาน รูปร่าง ปรากฏต่างกัน ทำให้สภาพจำ เจตสิกหนึ่ง ไม่ใช่จิต เกิดขึ้นพร้อมจิตทุกขณะ จำสิ่งที่จิตรู้ทุกอย่าง ไม่ต้องเอ่ยเลย แต่จำได้ ยังไม่รู้จักเชื่อว่าใคร แต่เห็นอีกก็รู้ นี่ไม่ใช่นั้น คนนี้ไม่ใช่คนนั้น
เพราะฉะนั้น ความละเอียดยิ่งของสิ่งซึ่งไม่เคยคิดเคยนึกเลย คาดคะเนก็ไม่ได้ว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่มีอะไร นอกจากมีสิ่งที่ต้องเกิดรวมๆ กัน แล้วก็ทยอยกันเกิดดับไป ตามสภาพของสิ่งนั้นๆ แล้วไม่เหลือเลย จะรู้อย่างนี้ เมื่อตาย แต่ตอนตายแล้วก็ไม่รู้ ก่อนตายก็ไม่รู้ กำลังตายก็ไม่รู้ ใครรู้จักความตายบ้าง เหมือนชินหูเกิดแล้วต้องตาย เห็นไหม พูดคำที่รู้จักหรือไม่ สักคำหนึ่งก็ไม่รู้
เดี๋ยวนี้ตายหรือไม่ ไม่ตายเพราะอะไร ถึงได้ไม่ตาย เห็นไหม เพราะอะไรจึงเป็นตาย เพราะฉะนั้นทุกอย่าง คำตอบ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ซึ่งใครที่เป็นคนตรง ปฏิเสธไม่ได้เลย
นอนหลับตายหรือไม่ ไม่ตายใช่ไหม แล้วหลับกับตายไม่ต่างกันตรงไหน ก็ไม่รู้ไปหมดเลยก็คิดกันไปต่างๆ นาๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ทุกอย่าง ทุกขณะ โดยความละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ถึงที่สุด
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นบุคคลที่ไป ก็ไม่ได้มีความเข้าใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใครแล้วทรงแสดงอะไร
ท่านอาจารย์ แต่หลงคิดว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนี้ แต่ก็กล่าวตู่ว่า พระองค์ตรัสอย่างนี้
เพราะฉะนั้น คนที่มีความเคารพอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระรัตนตรัยเพราะเห็นคุณค่าที่ไม่สามารถจะเปรียบกับอะไรได้เลยทั้งสิ้น จึงมีกำลังใจ ที่จะดำรงรักษาคำสอนไว้ โดยช่วยกัน ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ตราบใดที่ยังไม่มีคนเข้าใจพระพุทธศาสนา ก็ไม่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ แล้วจะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธ ก็ต่อเมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร และก็ประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นสิ่งถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง ควรจะให้คนอื่นได้ฟังต่อไป ได้เข้าใจต่อไป ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ดีไหม หรือปล่อยเขาไป เขาไม่รู้ก็เรื่องของเขา อย่างนั้น หรือว่าประโยชน์ยิ่งใหญ่ ควรจะให้คนอื่นได้รักษาไว้ด้วยสำหรับคนต่อไป ถ้าไม่มีพระสาวกที่สืบทอดมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ก็คงจะไม่มีใครได้รู้ว่าพระไตรปิฏกที่พระสัมมาสัมเจ้าตรัสไว้ มีอะไรบ้าง แล้วก็ตรัสโดยนัยต่างๆ อย่างไรบ้าง พระผู้มีพระภาค คือ ผู้ทรงจำแนกธรรม พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระคุณนามมากมาย แต่ทั้งหมดก็คือ ไม่มีใครเปรียบได้
ผู้ฟัง พระไตรปิฎก มีความละเอียดลึกซึ้ง เพราะแต่ละคำ ก็มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนศึกษาพระไตรปิฎก ด้วยตนเองเป็นโอกาสที่จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่า ไม่รู้ แต่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นคำที่เหมือนกับคนอื่นพูดธรรมดาได้หรือไม่ บอกให้นั่ง พูดอย่างนี้ จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะว่าไม่ได้มีเหตุผล นั่งทำไม ก็นั่งอยู่แล้ว แล้วทำไมจะไปบอกให้นั่งทำอะไร
เพราะฉะนั้น เห็นชัดๆ เลย คำธรรมดาที่คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แต่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจได้ถูกต้อง คนนั้นต้องรู้จริงใช่ไหม เพราะฉะนั้น รู้จริงถึงที่สุด ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง บางคนบอกว่าการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องนั่งสมาธิอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือ พระองค์นั่งสมาธิ
ผู้ฟัง ตรัสรู้
ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร จะไปนั่งอย่างพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสรู้ เดี๋ยวนี้กำลังมีสมาธิหรือไม่
ผู้ฟัง ถ้าบุคคลที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด ก็คิดว่าตอนนี้ไม่มีสมาธิ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสมาธิ คืออะไร ที่จะกล่าวว่า เดี๋ยวนี้มี หรือไม่มีสมาธิ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสมาธิไหม ก็ต้องรู้ว่าสมาธิคืออะไร มิจฉาสมาธิ กับ สัมมาสมาธิต่างกันแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ว่าสมาธิเป็นสิ่งที่ดี แล้วแต่ว่า ขณะนั้นมีสภาพธรรม คือ เจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วยหรือไม่ ไม่รู้ไปหมด พูดคำไหน ก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย
อ.อรรณพ แทบจะไม่มีสำนักไหนเลย ที่เป็นสำนักปฏิบัติที่ไม่มีการทำสมาธิ เพียงแต่จะแตกต่างกัน ในรูปแบบความเชื่อว่าทำอย่างไร ให้จดจ้อง อิริยาบถ หรือตามดูลมหายใจหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วโดยคิดว่า ต้องทำศีล แล้วก็มีสมาธิแล้วก็ปัญญาจะเกิดบรรลุธรรม ก็ต้องฟังพระพุทธพจน์ที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับท่านสุสิมะ "ดูกรสุสิมะ มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ แต่มรรคหรือผลนี้ เป็นผลของวิปัสสนา เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา" ถึงอย่างนี้ เขาก็บอกว่าเป็นสำนักวิปัสสนา
ท่านอาจารย์ นับวันความไม่รู้ ก็เพิ่มขึ้น ไม่ทราบใครได้ยินคำว่า วิปัสสนาสากลบ้าง ใหม่ เพิ่งได้ยินใช่หรือไม่ มีจริงๆ สำนักวิปัสสนาสากล วิปัสนาคืออะไร และวิปัสสนาสากลคืออะไร ไม่เห็นบอกเลย ใช่ไหม แล้วบอกจะเป็นวิปัสสนาจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงชื่อวิปัสสนาแล้วยังเติมสากล
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาสากล ต่างกับ วิปัสสนาอย่างไร อยากจะใช้คำว่า สากล ก็เติมเข้าไป ตามใจชอบ แต่ว่า วิปัสสนาสากล กับ วิปัสสนาต่างกันอย่างไร ใช่หรือไม่ แม้วิปัสสนายังไม่รู้เลย แล้วยังเติมสากลเข้าไปอีก แล้วใครจะรู้
เพราะฉะนั้น นับวันพระพุทธศาสนาวิกฤต แล้วจะทำอย่างไร ปล่อยไป ดีหรือไม่ หรือว่าคงสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ให้นานที่สุด ที่จะนานได้ ด้วยความเข้าใจของแต่ละคน ตราบใดที่ยังมีความเห็นถูก นั่นคือ กำลังที่จะดำรงพระศาสนา พระศาสนาดำรงอยู่ด้วยความเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะมีพระพุทธศาสนาไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์จริงๆ มีความเป็นมิตรที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง พ้นจากความเห็นผิด ซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เมื่อชาตินี้เห็นผิด ก็จะเห็นผิดต่อๆ ไป ถึงชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฎด้วย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เสด็จไปในพระนครสาวัตถี พระนครราชคฤ เป็นต้น มีพวกเดียรถีมาก ซึ่งหันหลังให้พระสัทธรรม ไม่รู้จักว่าผู้นั้นเป็นพระสัมมมาสัมพุทธเจ้า เพราะภายนอกไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ จนกว่าได้ฟังคำ ซึ่งเป็นความจริง ถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น เป็นมิตรที่ดี หมายความว่าอย่างไร รู้จักแต่คำว่า เมตตา ใช่ไหม ท่องกัน ตื่นขึ้นมา ก็ท่องกันจบแล้ว ก็ท่องกัน แล้วเมตตาคืออะไร ท่องเมตตาจบ โกรธคนนั้นว่าคนนี้ นั่นเมตตาหรือไม่ เพราะฉะนั้น เมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ตรงกันข้ามศรัตรู เพราะฉะนั้น เพื่อนโกรธได้ไหม ถ้าเป็นเพื่อนกัน หรือเป็นเพื่อนเขา เพื่อนไม่โกรธ มีแต่ความหวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ถ้าเรารู้สึกอย่างนี้กับใคร นั่นคือเราเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้หวังร้ายเลย เพราะฉะนั้น ความเป็นเพื่อนที่ดี ก็คือ ให้คนอื่นพ้นจากโทษที่เห็นผิด ซึ่งจะเห็นผิดต่อไปอีกนาน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ท่องเมตตา แต่ว่าไม่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเมตตาแล้วก็คือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย
เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้พูดโดยไม่เข้าใจ แต่ทุกคำที่พูดต้องเข้าใจละเอียดยิ่ง ถึงที่สุด แต่ละคำ เช่น คำว่า สมาธิ ยังไม่ได้เข้าใจ ถึงเข้าใจแล้ว ก็ยังไม่รู้จัก เวลาเราพูดเรื่องจิต รู้จักจิตหรือยัง ทั้งๆ ที่กำลังมีจิต พูดเรื่องเห็น พูดเรื่องได้ยิน เห็นแล้วดับแล้ว ไม่ได้รู้จักแต่ละหนึ่งเห็นว่า เห็นคือธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วเกิดขึ้นทำกิจของตน แต่ละธาตุรู้นั้น จิตก็ทำหน้าที่ของจิต เจตสิก ก็ทำหน้าที่ของเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะผุดโผล่ขึ้นเพียงอย่างเดียวตามลำพังได้ โดยไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ที่ทำผิดต่างๆ กัน ด้วยความไม่รู้ว่า ไม่มีเรา โดยการไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่อาศัยทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ถ้ารู้แล้วก็ไม่มีใครที่จะไปทำได้ นอกจากสิ่งที่มีจริงนั้น อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ตามประเภทของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ ตราบใดที่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิปัสสนาสากล อธิบายหน่อย แล้วปรากฏว่า วิปัสสนาสากล ทำอะไร ช่วยชาวนาปลูกข้าว ให้ความรู้ทางด้านปุ๋ย อินทรีย์ต่างๆ เป็นต้น เป็นความรู้ซึ่ง ไม่ใช่การเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้และแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจ แล้วอย่างนี้เป็นวิปัสสนาหรือ จึงใช้คำว่า วิปัสสนาสากล ก็ไม่ใช่ ใช้ไม่ได้ เพราะวิปัสสนา เป็นปัญญาขั้นสูง มั่นคง ประจักษ์แจ้งทุกคำที่ได้ฟัง เช่น จิต เป็นสภาพรู้ ไม่มีรูปร่าง เกิดดับ มีปัจจัยเกิดขึ้นสืบต่อไม่ขาดสาย จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้ถ้าจิตขณะนี้ไม่ดับไปก่อน เพราะเหตุว่าธาตุรู้เกิดขึ้นทีละหนึ่ง เมื่อเป็นธาตุรู้หนึ่งก็ต้องรู้เพียงสิ่งหนึ่ง จะไปรู้หลายๆ อย่างไม่ได้ เห็นจะไปได้ยินด้วยไม่ได้ เห็นแค่เห็นหนึ่ง ได้ยินแค่รู้เสียงหนึ่ง
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งไม่ใช่สภาพธรรมอย่างเดียวกัน ถ้าเข้าใจอย่างนี้ หาเราไม่ได้เลย เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจมั่นคงขึ้นขั้นฟัง ถ้าไม่มีขั้นฟัง จะไม่เข้าใจคำว่า "ปฏิปัตติ" เพราะ "ปฏิ" แปลว่า "เฉพาะ" "ปัตติ" แปลว่า "ถึง" เพราะฉะนั้น ปฏิปัตติ แปลว่า ถึงเฉพาะ ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้ที่เกิดจริงๆ มีจริงๆ แล้วก็ดับไป ฟังเข้าใจแต่ยังไม่ถึงเฉพาะจิตที่เกิดแล้วดับ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่สามารถอบรมจนกระทั่งเกิดได้แต่โดยความเป็นอนัตตา โดยเหตุ โดยปัจจัย ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ความรู้ขณะนี้ เข้าใจเรื่อง จิต เผินๆ แต่เดี๋ยวนี้จิตเกิดดับ จิตไหนล่ะ เห็นหรือไม่ ไม่ได้รู้จริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดดับเลย แต่ว่าความรู้ขั้นนี้เป็นเบื้องต้นซึ่ง จะนำไปสู่ปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า ปฏิบัติ เขาคิดว่าไปทำ เพราะพูดถึงปฏิบัติ ก็คิดถึงทำ แต่ ปฏิ แปลว่า "เฉพาะ" ปัตติ แปลว่า" ถึง" เดี๋ยวนี้จะถึงไหน จะถึงอะไรเฉพาะ จะถึงได้ยินหรือจะถึงเสียง จะถึงแข็งหรือ จะถึงคิด เฉพาะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งมาจากขั้นฟัง ถ้าขั้นฟังไม่มี ปฏิบัติก็เกิดไม่ได้ เรียกสั้นๆ ว่าปฏิบัติ แต่มาจากคำว่าปฏิปัตติ ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ถึงอะไรสักอย่าง แข็ง ก็รู้แค่นั้น ถึงเฉพาะแข็งที่เกิดและดับหรือไม่ ว่าไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่อะไรเลย เป็นแข็งเพียงอย่างเดียว เป็นระดับของจิต ที่สามารถจะรู้เพียงสิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเป็น กาม หรือ กามะ คำว่า กาม ภาษาบาลี คือ กามะ หมายความถึง สิ่งที่น่าใคร่ น่าพอใจ
เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันทั้งหมด ซึ่งกำลังเป็นธรรม แต่ไม่เปิดเผยเลยว่า เป็นธรรมที่เกิดและดับอยู่ตลอดเวลา กลับกลายเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ไม่เห็นอะไรเกิด ไม่เห็นอะไรดับจนกว่าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจ ตามลำดับ เป็นผู้ที่รอบรู้ในปริยัติในคำของพระพุทธเจ้าทุกคำต้องสอดคล้องกันทั้งหมด จะต้องเป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่นี่เป็นอัตตานั่นเป็นอนัตตาไม่ได้ นั่นคือค้านกับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะฉะนั้นต้องละเอียดอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น รู้จักวิปัสสนาหรือยัง ได้ยินแต่ชื่อ เลยมีวิปัสสนาสากล หมายความว่าอะไรก็ไม่รู้ เข้าใจกันได้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ ไม่ใช่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง แต่ใกล้ที่จะอันตรธานถ้าไม่ช่วยกันเข้าใจให้ถูกต้อง และทำทุกทางที่จะทำให้ดำรงไว้ ซึ่งคำสอน คือ ต้องเข้าใจกันเพิ่มขึ้น แล้วมีความมั่นคง มีสัจจะ ความตรงว่า อะไรถูก ก็ถูก อะไรผิด ก็ผิด และกล่าวสิ่งที่ผิดให้คนเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าวิปัสสนาคำเดียว ยังไม่ต้องเติมสากล ก็ได้ ต่างกับความรู้อย่างไร
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ มีผู้ที่เผยแพร่พระธรรม แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า คำที่กล่าวมาแล้ว เป็นคำที่ถูกต้องหรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ธรรม คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม ก็ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และสอนอะไร และการที่จะเข้าใจธรรม เป็นคฤหัสถ์ก็เข้าใจได้ เพราะปัญญาเป็นธรรม
ธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งซึ่งใช้คำว่า ปรมัตถ์ธรรม เพราะว่า ยิ่งใหญ่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนธรรมนั้นได้เลย ไม่ว่าใครทั้งสิ้น แม้พระสัมมาสัมพุทธจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่า แม้พระองค์เองจะเปลี่ยนแข็งให้เป็นหวาน
แต่ว่าอะไรก็ตาม ที่เป็นจริง เป็นจริงถึงที่สุด เป็นปรมัตถ์ธรรม สองคำแล้ว จากธรรม มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าธรรมเป็นปรมัตถ์ธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นไม่ใช่นก ไม่ใช่คน ไม่ใช่งู ไม่ใช่ปลา เห็นเป็นเห็น เป็นปรมัตถธรรม และเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้พระองค์ตรัสรู้ ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง คิดดู
ใครกล่าวอย่างนี้ แม้ผู้ที่มีปัญญาสูงสุดยังตรัสว่าธรรมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ธรรมต้องลึกซึ้งตลอด จะเปลี่ยนเป็นง่าย ไม่ต้องเรียน ไม่ได้เลยเป็นอันขาด เพราะว่าไม่ได้เรียนก็คิดเอง แล้วนั้นหรือ คือ ธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรมด้วยความลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นปรมัตถธรรมและเป็นอภิธรรม มีคนที่ไม่เข้าใจเลย คิดเองเขาบอกว่าเขาจะฟังธรรม แต่ก็ไม่ศึกษาพระอภิธรรม ได้อย่างไร ธรรมไหนไม่ลึกซึ้ง ไม่ใช่อภิธรรม ธรรมลึกซึ้งทั้งหมดเลย
ด้วยเหตุนี้ ด้วยความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องศึกษาด้วยความรอบคอบละเอียดอย่างยิ่ง พิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ยิน เขาอ้างว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่ แล้วพูดซิ คำไหน ที่เป็นคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า วิปัสสนาสากล นี่หรือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ต่อเมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น จากที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และสิ่งนั้นเป็นความจริงถึงที่สุด
แม้แต่ภิกษุ ทำไมคนที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคน สละชีวิตครองเรือนเป็นคฤหัสถ์ไปสู่อีกเพศหนึ่ง คือตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการละอาคารบ้านเรือน ไม่ใช่ว่าทุกคนเหมือนกัน จะมาบอกให้คนนี้บวช บอกให้คนนั้นทำอย่างนี้ ไม่ได้ ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เกิดตามเหตุ ตามปัจจัย เขาไม่สะสมมาที่จะได้ยินคำที่ถูกต้อง ถึงเขาสะสมมา เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร เขาก็กินดี อยู่ดี นอนหลับสบายทุกอย่าง ไม่เห็นว่าจะต้องไปฟังคำอะไร นั้นก็มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็คือไม่มีทางที่จะได้เข้าใจธรรม เมื่อไม่เข้าใจธรรมจะเป็นภิกษุได้ไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500
