ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
ตอนที่ ๑๔๕๕
สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพ เเล้วไปห้องปฏิบัติเลย ไม่รู้ว่าสติคืออะไร สติสัมปชัญญะคืออะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากหลงผิด เข้าใจผิดด้วยตัวเอง เเล้วยังชักชวนคนอื่นให้ผิดตามไปด้วย เป็นโทษมากไหม
อกุศลทุกประเภทเป็นโทษมาก แต่ถ้าเป็นความเห็นผิดที่ชักชวนให้คนอื่นเห็นผิดตามไปด้วยตลอดชาติ ก็จะติดตามไปถึงชาติหน้าที่จะมีความเห็นผิดอย่างนี้ด้วย เพราะไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าสัมปชัญญะ คือ ปัญญา ที่เข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นได้ยินไม่ได้ จะรู้ว่าเห็นเป็นเห็นเมื่อไหร่ เมื่อกำลังเห็น กำลังได้ยินจะบอกว่า เห็นเป็นเห็นได้ไหม คิดถึงคำนั้นได้ แต่ไม่ใช่รู้เห็นที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้น จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่แค่ฟังแล้วไปคิด แต่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ เป็นเครื่องทดสอบปัญญาว่าเข้าใจระดับไหน ดังนั้นจึงไม่ต้องมีใครมาสอบอารมณ์ ไม่ต้องมีใครมาบอกอะไรทั้งสิ้น แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นที่พึ่ง สามารถที่จะรู้ความจริงจากทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว หลากหลายโดยประการทั้งปวง โดยละเอียดอย่างยิ่ง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ความหลงผิด ความเข้าใจผิดเกิด เมื่อไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในคำที่ได้ยิน เพราะไม่ได้ไตร่ตรองจนกระทั่งสอดคล้องกันทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ คนที่ไม่เข้าใจธรรมเลย มีสติได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อคิดถึงด้านดี
ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นไปในกุศลเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ต่อเมื่อไหร่ที่แข็งไม่ใช่โต๊ะ แข็งเป็นแข็ง เวลาจัดดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ แต่เป็นแข็งหรือนุ่ม ความจริงเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ไม่ใช่ไปนึกชื่อดอกไม้ กุหลาบหรืออะไร แต่ว่าลักษณะแข็งกำลังปรากฏ ไม่ว่ากระทบอะไรทั้งสิ้น น้ำกระทบได้ไหม
ผู้ฟัง กระทบได้
ท่านอาจารย์ น้ำไหนกระทบได้
ผู้ฟัง ธาตุน้ำกระทบไม่ได้
ท่านอาจารย์ ธาตุน้ำกระทบไม่ได้ แต่น้ำดื่มกระทบได้ ตอนอาบน้ำ น้ำกระทบได้ นี่คือ ความลึกซึ้งอย่างยิ่งของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วมีแข็งปรากฏได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ได้ หลับตาแล้วมีสีสันปรากฏได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะอยู่ตรงไหน ถ้าปัญญาไม่เกิดหมายความว่า ขณะนั้นเพียงฟังแล้วก็เข้าใจ แล้วก็ลืม รู้ว่าสติสัมปชัญญะมีได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ สติเกิดได้ แต่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ
เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะเกิด เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏแล้วไม่ได้คิดเป็นคำ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น แต่สตินั่นเองที่ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นตัว หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ที่มีจริงๆ ที่ยังไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะสติสัมปชัญญะไม่เกิด แต่ถ้าเป็นสติสัมปชัญญะในขณะนั้น สติ เป็นสติปัฏฐาน เพราะประกอบด้วยความเข้าใจจึงเป็นสติสัมปชัญญะ ต่างกับขณะนี้ที่เห็นก็มี แต่ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น เเต่ไปคิดเรื่องเห็น ไปพยายามเข้าใจอย่างอื่น จึงไม่ใช่สติสัมปชัญญะ
แต่สติสัมปชัญญะ คือ สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ มีลักษณะจริงๆ ว่าเป็นสิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่น เพราะฉะนั้น ที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ก็ต่อเมื่อรู้ลักษณะที่เป็นสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว ไม่เป็นสิ่งอื่น คือ รู้สิ่งที่ปรากฏที่มีจริงทีละหนึ่ง ตรงสิ่งนั้น ด้วยความเข้าใจในความเป็นสิ่งนั้น ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เป็นธาตุ เป็นธรรม ซึ่งมีลักษณะซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขณะที่เริ่มเข้าใจอย่างนั้น นั่นคือ สติสัมปชัญญะ
อีกชื่อหนึ่ง สติปัฏฐาน เพราะมีที่ตั้งของสติสัมปชัญญะ สติระลึก ปัญญารู้ พร้อมกัน
อ.วิชัย การบูชา การนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างอามิสบูชาก็บูชาด้วยดอกไม้ของหอม เป็นต้น ซึ่งข้อความแสดงว่า การบูชาด้วยอามิสบูชาไม่สามารถดำรงพระศาสนาได้ แต่การปฏิปัตติบูชา เป็นการที่สามารถดำรงพระศาสนาได้ ดังนั้นการบูชาที่เป็นปฏิปัตติบูชา ที่จะเป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ได้ฟังธรรม แต่ไม่อบรมปัญญาที่จะเข้าใจความจริง จะมีความมั่นคงในการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม
อ.วิขัย เป็นไปไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใครที่จะนอบน้อมเคารพอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ เห็นความลึกซึ้งเท่าไหร่ก็จะมีศรัทธาที่มั่นคง ที่นอบน้อมบูชาอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ได้เลยแค่นี้นอบน้อมพอหรือยัง นอบน้อมแค่ไหน แค่ได้ยินคำว่าธรรมมีจริง แค่นี้หรือ หรือว่ายิ่งได้เข้าใจขึ้น ยิ่งสามารถจะรู้ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดงหนทางให้เข้าใจได้ ความเข้าใจ และความมั่นคงของการที่จะเคารพพระองค์ก็เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปุถุชน จะไม่เท่ากับศรัทธาความเคารพของพระอริยบุคคล
อ.วิชัย ก็เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์แสดงธรรม โดยที่ไม่ได้มีความปรารถนาต้องการสิ่งใดทั้งสิ้นเลย พระองค์แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วก็อาศัยความเอ็นดู อาศัยความอนุเคราะห์ที่จะแสดงธรรม
ท่านอาจารย์ คิดดูว่า ทั้งชีวิตในแสนโกฏิกัปป์ที่อยู่ในความมืด ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย แต่ละคำที่เข้าใจในความเป็นธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม จะเห็นได้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงธรรมเพื่อเพียงให้เข้าใจ แต่สามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งตามที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แล้วได้ด้วย จึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธจ้า จะไม่ได้ยินแม้สักคำเดียว เพราะฉะนั้นจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ณ ที่นี้ ถึงที่สุด คือ การเกิดขึ้นและดับไป จนสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ จะมีได้อย่างไรในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่แค่ชาติเดียว เพราะฉะนั้น การรู้คุณจะมากสักแค่ไหน
สนทนาธรรม ที่กรมยุทธศึกษาทหารบก
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒
อ.อรรณพ ประเด็นที่อยากจะเรียนให้ทุกท่านได้ร่วมกันสนทนาธรรม คือ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือไม่ ขอเรียนเชิญเลย
ท่านอาจารย์ ก็น่าคิด เพราะเหตุว่า แม้แต่คนอื่นยังคิดว่าพระพุทธศาสนารุ่งเรือง แต่ถ้ารีบร้อนที่จะดีใจว่า พระพุทธศาสนารุ่งเรืองอย่างที่คนทั้งหลายกล่าว แต่เราต้องเป็นคนตรง เเละเป็นคนที่จริงใจที่จะรู้ว่าจริงหรือไม่ ถูกหรือผิดประการใด ก็เป็นโอกาสที่เราซึ่งเป็นคฤหัสถ์ มีส่วนที่เป็นพุทธบริษัทที่จะทะนุบำรุงพุทธศาสนาจะได้ช่วยกันคิดไตร่ตรอง เพราะถ้ามีคำกล่าวว่าพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เเล้วเราอยู่ที่ประเทศไทย แล้วใครๆ ก็บอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาที่รุ่งเรือง แทบจะกล่าวได้ว่ามากกว่าประเทศอื่น ไม่ใช่ว่าเขาชมแล้วเราดีใจ แต่ว่าเขาพูดอย่างนี้ เราต้องไตร่ตรองว่าจริงหรือไม่
เพราะเหตุว่า มิฉะนั้นเราก็จะหลงผิดตามคำที่คนอื่นกล่าว แต่ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล สัจจะบารมี ต้องตรงต่อความเป็นจริง เพราะถ้าเราหลงคิดว่าพระพุทธศาสนารุ่งเรือง มีวัดวาอารามใหญ่โต มีสำนักปฏิบัติหลายเเห่ง มีพระภิกษุมากมาย เพราะว่าชวนกันบวชปีละมากๆ ทั้งสามเณร และพระภิกษุ
แต่ว่าพฤติกรรมทั้งหลายเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือไม่ หรือว่าถ้าไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย แล้วคนอื่นมาเห็นแล้วบอกว่า พระพุทธศาสนารุ่งเรือง เราจะยอมรับคำนั้นไหม หรือว่าจะต้องพิจารณาด้วยความเป็นจริงว่า รุ่งเรืองตรงไหน และจริงหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นก็เป็นปัญหาจริงๆ ที่ถ้าเราเพิกเฉย เราก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ฟังคำของพระองค์แล้วเห็นคุณอย่างยิ่งของสิ่งที่เราได้รับฟังว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีใครมีโอกาสจะรู้ได้เลยว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เดี๋ยวนี้และต่อไปข้างหน้าจะถูกหรือผิดอย่างไร เพราะว่าถ้าเราไม่ศึกษาด้วยความละเอียด ด้วยความเคารพ แต่ละคำจะทำให้เราคิดเองและก็ไขว้เขวไป
สิ่งที่เป็นประการแรกสุดที่ควรจะเป็นผู้เข้าใจถูกต้อง คือพระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือไม่ มีท่านผู้ใดจะแสดงความคิดเห็นไหม เชิญ
ผู้ฟัง ในความคิดของผม ถ้าจะเจริญจริงก็ต้องเจริญข้างใน ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนต้องนำมาใช้ แล้วก็ให้เห็นธรรมถึงจะเจริญ แต่เพียงแค่ยอดผู้บวชมากสามสี่แสน ถือว่าเจริญได้ไหม ก็ต้องคิดต่อว่าจะเจริญแบบไหน คือไม่กล้าพูด กลัวจะกระทบ
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้วจะพูดตรงตามความเข้าใจไหม เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่ตามที่คิดว่า ถ้าเราพูดตรงแล้วคนอื่นจะไม่พอใจ ถึงเขาไม่พอใจ แต่วันหนึ่งเขาจะต้องรู้ถึงความหวังดีของเรา ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี มีความหวังดีก็คือ พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลบุคคลอื่น ถ้าเรามีเพื่อนที่ดี และเขาให้สิ่งที่ไม่จริง แล้วก็ไม่จริงใจด้วย เขาเป็นเพื่อนที่ดีจริงหรือเปล่า ลองคิดดู
แต่อีกคนหนึ่ง ถ้าเราผิด เขาก็บอกว่าเราผิด เพื่อเราจะได้รู้ว่าผิด ควรแก้ไข หรือว่าเขาไม่บอก เเล้วปล่อยให้เราผิดๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะเป็นเพื่อนที่ดีแบบไหน ถ้าเพื่อนที่ดีจริงๆ ต้องหวังให้เขาได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง แม้เขาจะไม่ชอบ แต่ถ้าเขาไตร่ตรองบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ เขาก็อาจจะเริ่มรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แทนที่จะได้สิ่งที่ไม่จริงเลย สิ่งหลอกลวง เพชรเก๊ พลอยเก๊ ทองเก๊ ทั้งหมดเอามาทำไม ใช่ไหม เพียงเอามาหลอกเราว่าเหมือนทองอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น คำพูดที่จริงทุกคำ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจึงเข้าใจได้จริง ถ้าพระองค์ไม่ตรัสความจริง เราจะเข้าใจได้จริงๆ ไหม เพราะเมื่อไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อปรินิพพานแล้ว คำใดเป็นคำจริง ทุกคนเต็มใจที่จะเข้าใจความจริงนั้นไหม หรือว่าไม่อยากที่จะให้พระองค์ตรัสอย่างนี้ แล้วคนอื่นจะได้พอใจ ตามใจเขา เขาชอบอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แต่ผิด
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า ถ้าใครเป็นเพื่อนเราจริงๆ เขาจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุด และสิ่งที่ดีที่สุดคือ สิ่งที่มีจริง สามารถที่จะเข้าใจได้ แม้ว่าเข้าใจยาก คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่าย เพราะว่าเมื่อตรัสรู้แล้วก็ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ทวนกระแสของชาวโลก คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนเป็นไม่ลึกซึ้ง ง่าย ให้คนทั้งหลายได้เข้าใจโดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องไตร่ตรอง นั่นไม่ใช่คำของพระองค์
เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่าธรรมลึกซึ้ง ก่อนอื่นให้เขาได้รู้ว่าธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง ถูกไหม ไม่ใช่ง่ายๆ ไปสำนักปฏิบัติ ไปทำไม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงเดี๋ยวนี้ ที่ไหนก็ตามที่พระองค์ประทับ มีคนไปเฝ้าได้รับความรู้ความจริงในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงทุกกาลสมัย ถ้าเป็นในเรื่องของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ละคำต้องมั่นคง
แค่นี้ จะยอมรับฟัง พิจารณาว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาให้สัตว์โลกได้รู้ความจริง ไม่ใช่ว่าจะรู้ง่าย เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าไหร่ และใครที่คิดว่าจะไปสำนักปฏิบัติง่ายๆ ไปสักเดือนหนึ่ง หรือกี่วันก็ตามแต่แล้วจะเข้าใจธรรมได้
เขาไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมหรือเปล่า ถ้ามี เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ได้ไหม ไม่ว่าที่ไหน ทำไมจะต้องรอ ทุกขณะมีประโยชน์มาก ไม่ควรที่จะผัดผ่อนไป ไว้วันนั้นไว้วันนี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่จึงจะเข้าใจ และเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นหรือเปล่า และเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าอย่างอื่น เพราะว่าคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ แค่นี้ ให้เข้าใจ หมายความว่า ก่อนฟังพระธรรมไม่เข้าใจแน่นอน
เมื่อฟังแล้วจึงเข้าใจ และเห็นความลึกซึ้งว่า ถ้าจะเข้าใจได้มั่นคงคือต้องทีละคำ อย่างเมื่อครู่นี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือไม่ พระพุทธศาสนาไม่ใช่วัด ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง แต่ว่าคำสอน คือ ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่งเรืองจริงหรือไม่
เราจะรักษาพระศาสนา ไม่ใช่ให้เราสร้างวัดใหญ่โตเสียเงินมากมาย แต่ไม่มีใครอยู่ มีแค่คนสองคน และภายหลังก็อาจจะเป็นตลาดนัด เป็นที่ขายของ ซึ่งนั่นไม่ใช่วัด
วัด ต้องเป็นที่อยู่ของผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน ใครๆ ก็ไปไหนได้ ละอาคารบ้านเรือนได้ แต่ไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเป็นภิกษุ หรือ ผู้ที่จะศึกษาพระศาสนาโดยการสละอาคารบ้านเรือน สละเพศคฤหัสถ์ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง เพราะได้ฟังแล้วเข้าใจและรู้จักตัวเองด้วยว่า สามารถที่จะดำรงชีวิตในเพศบรรพชิต ซึ่งขัดเกลาอย่างยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ได้หรือไม่
เพราะฉะนั้นต้องคิดละเอียดมาก ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบวชไหม นี่ก็ข้อหนึ่ง ถ้ามีคนบวชมากๆ ชวนกันไปบวชเป็นหมื่น เป็นแสน หรืออาจจะถึงเป็นล้าน ตามที่ตั้งเป้าหมายกันไว้ว่าอยากจะให้มาก แต่ว่าเขาเหล่านั้นไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ไม่เข้าใจเลย แล้วชวนเขาไปบวชทำไม และบวชคืออะไร ปะวะชะ หมายความว่าอะไร
อ.คำปั่น ปะวะชะ ก็คือ การเว้นโดยทั่ว เพราะว่าแสดงถึงความจริงใจของผู้ที่จะสละชีวิตของคฤหัสถ์ เป็นการเว้นจากชีวิตของคฤหัสถ์ เว้นจากความติดข้องต้องการ เว้นจากการกระทำกิจของคฤหัสถ์ทุกประการ เว้นจากอกุศลทั้งมวล เพื่อที่จะเข้าสู่เพศที่สูงยิ่งคือ เพศบรรพชิต เพื่ออย่างเดียวก็คือ ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส มีความประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะเป็นการบวชจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระภิกษุมีเงินมีทองได้ไหม พระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่ตรง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะเหตุว่าเมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้เราได้เข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ ได้มีโอกาสที่จะค่อยๆ สะสมความเห็นถูก เข้าใจถูก เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี แต่ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง
แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ รู้สิ่งที่กำลังมีหรือเปล่า ถ้าจะถามว่า มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ หรือเปล่า แค่นี้ จะเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นพระพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่พระพุทธศาสนา ถ้าสามารถที่จะตอบได้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ เริ่มเป็นคนตรง เมื่อถามบางคนว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่มีจริงๆ หรือเปล่า นิ่งไปตั้งนานก็ยังไม่ตอบ เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรงก็คือว่า มีไหม เดี๋ยวนี้ ธรรมดาอย่างนี้ มีอะไรที่มีจริงๆ หรือเปล่า
นี่คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ที่ได้ฟังไตร่ตรองคิดเอง ไม่ใช่พูดๆ ๆ เเล้วเขาก็ไม่เข้าใจ คนพูดเข้าใจแต่คนฟังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์เลย ต้องเป็นผู้ที่มีบารมี คือ ขันติบารมี มีเมตตาบารมีที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริง ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของอาจารย์นั้น อาจารย์นี้ หรือท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ แต่ว่าไม่ลืมว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยสูงค่ามากถ้ามีความเข้าใจ และประโยชน์สูงสุดก็คือว่า ได้รู้จักผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งทำให้คนที่ได้ฟังเริ่มเข้าใจความจริงทุกคำ ปฏิเสธไม่ได้เลย ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการสนทนาธรรมว่า เพื่อผู้ฟังจะคิดไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเอง แค่คำถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรจริงหรือเปล่า จะคิดไหม จะไตร่ตรองไหม จะพยายามรู้ความจริง เป็นผู้ที่ตรงไหมว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่มีจริงๆ หรือเปล่า ถ้าผ่านไป วันนี้จะไม่ได้สาระอะไรเลยทั้งสิ้น
ดังนั้น การสนทนาธรรมเป็นมงคลในมงคล ๓๘ เพราะเหตุว่า ต่างคนก็ต่างฟังจากที่ต่างๆ หรืออาจจะอ่านหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้บ้าง อ่านพระวินัยปิฎกบ้าง พระสุตตันตปิฎกบ้าง พระอภิธรรมปิฎกบ้าง แต่เข้าใจอะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ และถ้าเข้าใจจริงๆ เข้าใจทุกคำ ทีละคำที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในพระพุทธพจน์ คือ ปริยัติ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มจากการฟังคำของพระองค์ แล้วไม่ละทิ้งที่จะไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง จึงกล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ซึ่งคนที่ฟังพระธรรมไม่ใช่ว่าต้องไปบวชกันทุกคน ปะวะชะ สละหมดทุกคน ไม่ใช่
แต่รู้ตามความสามารถของตนเองที่สะสมมาว่า มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยละอาคารบ้านเรือน หรือว่า แม้เป็นผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ฟังธรรมได้ ทำไมจะฟังไม่ได้ ใครก็ฟังได้ แต่ว่าประโยชน์อยู่ที่ใครฟังแล้วคิดไตร่ตรอง หรือว่าใครฟังแต่ไม่คิดไตร่ตรอง แล้วใครจะได้ประโยชน์ คนที่ฟังแต่ไม่คิดไม่ไตร่ตรอง ไม่มีทางจะได้ประโยชน์เลย แต่คนที่ฟังแล้วคิดและไตร่ตรอง จะรู้ว่าประโยชน์มหาศาล จากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำนี้มาเลย แต่เมื่อได้ยินแล้วก็เข้าใจ
ดูเหมือนพูดเรื่องอะไรง่ายๆ ไม่ถึงจุดสักที แต่ความจริงเดี๋ยวนี้มีอะไรจริงหรือเปล่า จะนำไปสู่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ถ้าไม่คิดไม่เห็นเจอ แต่ถ้ารู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรจริง สัจจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี และเราก็กำลังฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปบอกคนอื่น หรือไม่ต้องไปถามใคร ถ้ารู้จักสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็รู้ว่าต้องจริงแน่นอน ใครจะรู้หรือไม่รู้ สิ่งนั้นก็จริง ขณะนี้มีง่วงไหม ง่วงจริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ "ง่วง"หรือเปล่า มีจริง ถ้าง่วงไม่เกิด จะง่วงไหม เมื่อง่วงเกิดแล้ว ง่วงไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ขณะเห็นเป็นเห็น ขณะง่วงเป็นง่วง แต่ละหนึ่ง ซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ตรงกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี เพราะมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น คำธรรมดาในภาษาไทยตรงกับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ที่ไม่ใช่เพียงคิด แต่ตรัสรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริง ไม่มีภาวะอื่นปะปนได้เลย แค่นี้เป็นธรรมหรือเปล่า หรือว่าอย่างอื่นเป็นธรรม ที่กำลังฟังไม่ใช่ธรรม แค่นี้ก็ต้องไตร่ตรองแล้ว
ดังนั้นการที่จะเข้าใจพระธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง ทุกคำจริงไหม มีแน่นอน รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทุกคำก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในภาษาที่ชาวเมืองใช้ คือภาษามคธี ซี่งภาษาไทยเราเเปลว่า ธรรมดาอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ว่าเดี๋ยวนี้ ใครกำลังมีอะไร เป็นอะไร นั่นเป็นสิ่งที่ทรงแสดงไว้ครบถ้วนอย่างยิ่งทุกประการ ถึงที่สุดตามความเป็นจริง จึงใช้คำว่าทรงตรัสรู้ อภิสมัย
อภิสมัย (อะ-พิ-สะ-มะ-ยะ) ขณะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะที่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500
