ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
ตอนที่ ๑๔๔๑
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ อกุศลนั้นเกิดแล้วเป็นอาสวะ ใครจะรู้ พระอรหันต์ดับอาสวะ หมายความว่า ดับอนุสัย เพราะอนุสัยนี้ไม่ปรากฏ อนุสัยติดอยู่ในจิต หนาแน่นมากยาก ที่จะออกไปได้ นอกจากความเข้าใจตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว จึงทำให้อนุสัยที่มีมาก สามารถที่จะค่อยๆ ลดลงไปได้ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นบารมี ถ้าขาดการเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมที่ไม่ดีที่เป็นอนุสัย สามารถที่จะดับได้ ด้วยอะไร นั่นคือหนทาง บารมี คือ ไปสู่ฝั่งหรือทางที่จะดับกิเลสนั้น กิเลสมีมากต้องดับตามลำดับขั้น
ขั้นแรกที่จะดับ คือ ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน จึงได้มีการกระทำทุกอย่าง เห็นแก่ตัว มีการที่เอาเปรียบคนอื่น หรืออาจจะทำให้คนอื่นสิ้นชีวิตลงไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ที่จะทำให้ชีวิตของคนอื่น ต้องสิ้นไป แต่ว่าถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้อะไร ก็คิดว่าเป็นของธรรมดาที่จะต้องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ธรรม ก็จะทำให้ผู้ที่มีความเข้าใจถูก ค่อยๆ มีคุณความดีเพิ่มขึ้น ซึ่งใช้คำว่าบารมี ๑๐ เพราะเหตุว่า จิต นี้ปกติเป็นอกุศล ถูกหรือไม่ เห็นก็ไม่รู้ ว่าเห็นเกิดและดับ อกุศลไหม อกุศลมากมาย จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป เมื่อมีคุณความดีเกิดบ่อยๆ แทนอกุศล เพราะฉะนั้น การสะสมคุณความดี ซึ่งเป็นบารมี ก็จะค่อยๆ ทำให้อกุศลลดลง แล้วปัญญาก็เพิ่มขึ้น จนสามารถที่จะเข้าใจถูก และก็ประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่งจาก ปริยัติ เป็นปฏิบัติ เป็นปฏิเวธ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าทุกคำที่ได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง
ขั้นแรกจะไม่มีความสงสัยในลักษณะของสภาพซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรม เพราะเราพูดได้ ขณะนี้ ใช่ไหม เห็นเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เพราะมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้น เห็นก็เห็นสิ่งที่ถูก เห็นนั้น เห็นเป็นอย่างหนึ่ง สิ่งที่ถูกเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เมื่อมีเห็น ก็มีสิ่งที่ถูกเห็น เป็นคนมากมาย ในห้องนี้ เป็นสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้น สภาพของธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรม จึงปรากฏตามความเป็นจริงในความเป็นรูปธรรม ในความเป็นนามธรรม ในขณะนั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะรู้ได้ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ แต่ต้องตามลำดับ ปริยัติ รอบรู้จริงๆ เข้าใจถูก จนกระทั่ง เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดเข้าใจและรู้ถูก ในรูปหรือนามธรรม ซึ่งมีในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ซึ่งความเป็นเราทำไม่ได้ ความเห็นผิดว่ายังมีเราอยู่ ก็ทำไม่ได้ แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น สามารถที่จะถึงเวลาที่จะรู้จริงๆ สติสัมปชัญญะก็เกิดขึ้น เหมือนเดี๋ยวนี้ เห็นเกิดขึ้น ได้ยินเกิดขึ้นได้ แต่ว่าสติสัมปชัญญะที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ฟังมาแล้ว เกิดขึ้นได้ตามปัจจัย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมจึงปรากฏตามความเป็นจริง ตามลำดับขั้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับอนุสัยกิเลส ซึ่งติดอยู่ในจิต หนาแน่นออกได้
เพราะฉะนั้น ปัญญา ที่จะถึงการดับกิเลส ต้องดับอนุสัยกิเลส ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีความรู้เลย แล้วเป็นนั่งทำวิปัสสนา ซึ่งไม่สามารถที่จะเป็นจริงได้ เลยเป็นความเห็นที่ผิด เพราะว่าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง เรียนถามเรื่องก่อนจะเห็นเป็นสัตว์ สิ่งของ เป็นคน ก็เพียงแต่ว่าสี ถ้ากระทบแล้วเข้าสู่ทางใจ ก็เห็นเป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ตรงนี้เป็นบัญญัติ ใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจทุกคำ บัญญัติ คืออะไร ใช่หรือไม่ เพราะเหตุว่า เวลาที่มีสิ่งที่กระทบตา สิ่งที่กระทบกับตา เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ คิดดู มีจริงๆ แล้วก็อยู่ที่มหาภูตรูป เป็นสิ่งที่สามารถจะกระทบกับจักขุประสาท เมื่อกระทบแล้วจิตเห็นก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ทั้ง ๓ อย่าง ไม่ใช่เรา จักขุปสาทรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมทำให้เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏที่กระทบตาเป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งติดอยู่ที่มหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูปก็จะไม่มีรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป คือ วรรณะต่างๆ สี สิ่งปรากฏทางตา จะใช้แค่ว่าวรรณะ หรือสิ่งที่ปรากฎต่างๆ ก็ได้ ต้องมีจริงแน่ แต่ว่าต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นต้องมีสีสันวัณณะ ที่สามารถกระทบตาได้เป็นอีกรูปหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรา เห็นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ เข้าใจให้ถูกต้องว่า เมื่อเข้าใจถูกแล้ว ค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่สิ่งที่ปรากฏนี่ เร็วมาก จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานเดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ ใครจะยับยั้ง ไม่ให้ปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานไม่ได้เลย
แต่รูปร่าง สันฐานมาจากไหน รูปต้องเป็นรูป และรูปที่เป็นสีสันต่างๆ เพราะจิตเกิดดับสืบต่อ จนปรากฏสัณฐาน รูปร่างต่างๆ เป็นคิ้ว เป็นตา เป็นจมูก เป็นปาก เป็นตัว ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหม เป็นนิมิต และเมื่อมีนิมิต หลายๆ นิมิต บัญญัตติ คือ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ตามที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงบัญญัติเพราะรู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นอะไร
ผู้ฟัง บัญญัตินี่ รู้ได้ทางใจ
ท่านอาจารย์ แน่นอน ทางตา เห็นสีสันวัณณะ แต่หลังจากนั้น ก็คิด ไม่ใช่ทางตาละทางใจละ
ผู้ฟัง คิดทางใจ ว่าเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
ท่านอาจารย์ ถ้ามีเห็นนิมิตจะมีบัญญัติไหม เพราะปัญญัตติ คือ รู้ได้โดยอาการของนิมิต เห็นช้อน ส้อม ใช่หรือไม่ ทำไมรู้ว่าเป็นช้อน อีกอย่างหนึ่งเป็นส้อม เป็นนิมิตของช้อนกับส้อม รูปร่าง สัณฐานของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ต่างกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อกระทบตา ก็ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็นในความต่าง ช้อนก็อย่างหนึ่งกลมยาว ส้อมก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น นิมิต นั้นทำให้รู้ได้โดยอาการของนิมิตว่า นี่เป็นช้อน นั่น เป็นส้อม นี่เป็นคนนั้นเป็นสัตว์ นี้เป็นสิ่งของต่างๆ จากอาการที่ปรากฏ เพราะเกิดดับสืบต่อ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ไม่มีธรรม ก็จะไม่มีนิมิต รูปร่าง สัณฐาน ถ้าไม่มีรูปร่าง สัณฐาน ก็ไม่มีบัญญัติ เพราะฉะนั้น ที่รู้ได้โดยอาการของนิมิต ซึ่งเป็นอาการเกิดดับสืบต่อของปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง แล้ว อย่างเมื่อวานที่นั่งไป ก็มีเสียงบีบแตร แป๊น แป๊น มีเสียงดังกระทบทางหูนี้
ท่านอาจารย์ ที่บอกว่า เสียงเเป๊น แป๊น เป็นนิมิตแล้วใช่หรือไม่
ผู้ฟัง เสียงแป๊น แป๊น นี้น่าจะเป็นนิมิตแล้ว
ท่านอาจารย์ นิมิตของเสียง นิมิตของเสียง ลักษณะของเสียงดัง ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นนิมิต ของปรมัตถ์ธรรม ถ้าไม่มีการเกิดดับของปรมัตถธรรม จะไม่มีรูปร่าง สัณฐานหลากหลายปรากฏแม้แต่เสียง เสียงดนตรี แต่ละชนิดนี่ ต่างกันปัญญัตติโดยอาการนิมิตของปรมัตถธรรม ที่เกิดดับ ทำให้ปรากฏเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เริ่มจากมีปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป อะไรๆ ก็ไม่มี แต่เมื่อมีจิต เจตสิก รูป เกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว จึงปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นนิมิต และเมื่อปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานเป็นนิมิต ก็รู้ได้โดยอาการของนิมิต นั้นว่าเป็นอะไร ซึ่งขณะนั้น เป็นบัญญัติ โดยรู้อาการของนิมิต
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงแป๊น แป๊นนี่ ใช่ไหม เป็นบัญญัติ หรือเสียงรถแล้ว
ผู้ฟัง เสียงท่านอาจารย์แสดงธรรมมานี้ ที่เป็นคำๆ ก็ไปสู่ทางใจ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ความหมาย ก็เป็นบัญัติ เพราะว่า เสียงเป็นเสียง แต่เสียงหลากหลาย ที่ใช้คำว่ารูปร่าง สัณฐาน ทุกทวาร ถ้าเป็นเสียงความหลากหลายของเสียงต่างๆ นี่ก็เป็นนิมิต ถูกต้องไหม ปรากฏเป็นนิมิตว่า หลากหลาย ไม่ใช่เสียงเดียวเมื่อปรากฏโดยความเป็นนิมิต ก็รู้โดยอาการนั้นๆ ว่าเสียงนั้นเป็นอะไร นั่นคือ บัญญัติ เป็นเสียงรถยนต์ หรือเป็นเสียงดนตรี หรือ เป็นเสียงคน ก็เป็นบัญญัติ
ผู้ฟัง หนูเป็นครูรับผิดชอบ เกี่ยวกับเรื่องของงานจริยธรรมในโรงเรียน แล้วก็พาเด็กไปเข้าวัดทำสมาธิ เด็กตามประสาของเขา ก็ไม่อยากนั่ง เขาก็เล่นมั่ง อะไรมั่ง คนไหนที่ไม่ปฏิบัติตาม พระท่านที่เป็นวิทยากร ก็จะเอาจับมานั่งสมาธิเป็นการลงโทษ ก็คงจะทำให้เด็กๆ นั้น มีทิฏฐิไม่ค่อยจะดี กับเรื่องของพุทธศาสนามากนัก เพราะบังคับให้เขาทำ แล้วเขาก็จะไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย หนูก็ผิดพลาดไปแล้ว แล้วหนูจะตกนรกไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอกุศลกรรมได้กระทำสำเร็จ ก็จะเกิดในอบายภูมิ แต่ว่าในสังสารวัฎนี่ ทุกคนก็มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ทำไมถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหมกรรมทำไว้มากมาย แต่กุศลกรรมหนึ่ง ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ และยังเป็นมนุษย์ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วย นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้สะสมมา
มิฉะนั้น ก็จะไม่มีโอกาสเห็นประโยชน์ หรือเห็นคุณค่าของการฟังเลย เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว ไม่สามารถจะแก้ไขได้ แต่ต่อไปนี้ ก็จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะรู้ว่าสิ่งใดผิด ก็ไม่ทำ นั่นคือ ปัญญา เมื่อมีปัญญาเห็นถูก จะไม่ทำสิ่งที่ผิด แต่ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล ที่สำคัญที่สุด ทำไมคิดถึงแต่ชาตินี้ ชาติเดียว ชาติหน้าอาจจะมาถึงเร็วมากไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น เวลาที่ยังมีอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมากน้อยเท่าไหร่ ก็ควรจะเป็นเวลาที่มีค่าที่ได้ความเข้าใจจากพระธรรม เพราะว่า สามารถที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์หรือว่า เป็นเทวดา ก็แล้วแต่ แต่ก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมต่อไป เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตในสังสารวัฎ ก็คือ การเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ทุกคนได้ยินน่าอัศจรรย์ ซึ่งคนพูดไม่ได้เป็นผู้ที่รู้สิ่งนั้นด้วยตนเอง แต่ได้ฟังจากพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไตร่ตรอง จึงมีสาวก คือ ผู้ฟังเป็นพระหูสูต พหุสุตตะ เป็นผู้ที่ได้ฟังมาก เข้าใจมาก รอบรู้ในพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็จะไม่นำไปสู่ทางผิด เช่น การปฏิบัติต่างๆ สำนักต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาด้วย เพราะเหตุว่า สิ่งใดที่ไม่จริง สิ่งนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีพระอรหันตสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นรัตนะ ก็มีพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นรัตนะ และก็มีผู้ที่ประพฤติตามพระองค์ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นรัตนะ เป็นอริยะบุคคล จึงเป็นรัตนตรัย
เพราะฉะนั้น ใครที่กล่าวผิดจากนี้ ก็คือ ผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนา เพราะคนอื่นหลงผิดเข้าใจผิด ในเมื่อสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเป็นความจริง รู้ได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียวหรือ ถ้ารู้ได้เฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทรงแสดงพระธรรม แต่ทรงรู้ว่า คนที่ได้ฟัง สามารถที่จะรู้ตามได้ เมื่อสะสมความเข้าใจถูกต้อง เมื่อถึงเวลา ก็จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ตรงตามที่ได้ฟัง
ด้วยเหตุนี้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมี ๓ ระดับ ปริยัติ ฟัง รอบรู้ ถ้าไม่มีการเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด แต่ต้องเป็นโดยปัจจัยที่ได้สะสมมา ไม่ใช่ว่า โดยอยากให้เกิด หรือจะไปเลือกสิ่งนั้น สิ่งนี้ เพื่อที่จะให้ปัญญาเกิด เช่น จะไปเลือกทำ หรือ ดู อานาปาน คือ ลมหายใจ แล้วจะรู้แจ้งในสัจธรรมเป็นไปไม่ได้เลย นั่นคือ ความเป็นตัวตน ไม่ใช่ความเป็นอนัตตาว่า ทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยที่สมควร
ท่านพระสารีบุตร สะสมบารมีมาเท่าไหร่ ต่อเมื่อได้พบท่านพระอัสสชิ ได้ฟังแล้ว ยับยั้งไม่ได้ ที่จะให้มีความเข้าใจ จึงท่านรู้แจ้งสัจธรรม แต่ก่อนนั้น ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสัจธรรมได้ แม้เป็นปัญญา ก็ต้องถึงเวลา ที่เป็นปัจจัยที่จะให้ความรู้ระดับไหนเกิดขึ้น เมื่อมีปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติเลย ไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะไม่มี ปฏิบัติ จะเอาปัจจัยที่ไหนมาทำให้สติสัมปชัญญะเกิด แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา ใครเลือกอารมณ์ให้สติได้หรือไม่ ใครเลือกให้สติเกิดขณะนั้น ขณะนี้ได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าได้ นั่นคือ อัตตา แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า สติสัมปชัญญะ และธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา จะเกิดเมื่อปัจจัยมีพร้อมเมื่อไหร่จึงเกิด โดยความเป็นอนัตตา ท่านพระสารีบุตรไม่ได้คิดเลย ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ แต่ใครจะยับยั้ง ปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่ถึงพร้อมที่จะให้รู้แจ้งสัจธรรม ในขณะที่ฟังได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราจะบังคับบัญชาหรือจะเลือกหรือจะทำ แต่เป็นการสะสมความเข้าใจถูกต้อง ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นอนัตตา
ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หนทางนี้เป็นสายกลาง เพราะพระธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมเป็นอนัตตา ไม่สามารถที่จะบันดาล หรือ บังคับให้เกิดขึ้นตามใจชอบ แต่ต้องโดยความเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่เหมาะสม อย่างการฟังวันนี้ ก็จะไม่รู้เลยว่าจะเป็นเหตุให้ วันหนึ่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เมื่อตรงตามความเป็นจริง แล้วถ้าชาตินี้เห็นผิด ชาติต่อไปก็เห็นผิด แต่ถ้าชาตินี้สะสมความเห็นที่ถูกต้อง เป็นปัจจัย พอได้ยิน ได้ฟังคำที่ถูกต้อง ก็สามารถเข้าใจถูกได้ เพราะคำจริงทั้งหมด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าว เพราะเป็นคำที่ถูก ไม่อย่างงั้น ก็ไม่มีสาวก ไม่อย่างงั้น ก็ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็น ๓
ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์พูดถึงนิมิต สิ่งต่างๆ แม้จะรวมกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ตรงนี้ เข้าใจ ได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องรู้ว่าเห็น ถ้าไม่มีเห็น ก็จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น เวลาเห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า สิ่งนั้นเกิดจากอะไร แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในความละเอียดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา รวมกันเป็นนิมิต ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริง คือ รูปที่จะปรากฏเป็นสัณฐานต่างๆ ก็มีไม่ได้แต่ที่รูปปรากฏ เป็นสัณฐานต่างๆ เพราะรวมกันใช่หรือไม่ แล้วก็เกิดรูปร่าง สัณฐานที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่เห็นนิมิต เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ในพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ตรัสว่า รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญาณนิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิตร ทั้ง ๕ ขันธ์ปรากฏโดยความเป็นนิมิต แต่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจความต่างเห็นไหม ถ้าคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย เขาก็เชื่อเลยว่า นี่มีจริงทุกอย่างเป็นจริงตามที่เห็น แต่จากการตรัสรู้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น ทางตาดับไปแล้ว ทางใจคิดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลยไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เราจะยับยั้งไม่ให้เห็นรูปร่าง สัณฐานไม่ได้ แต่ปัญญาสามารถเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา นี่คือ ความต่าง กว่าเราจะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นโต๊ะ เก้าอี้อะไรๆ ก็ตาม ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เมื่อหลับตาแล้วไม่เห็น ก็แสดงให้เห็นชัดเจน ต้องปรากฏกับเห็นเท่านั้น ถ้าหลับตาไม่มีการเห็น ก็จะมีมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเลย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดทุกคำ เพื่อการละความเป็นเรา แต่การละความเป็นเรา ต้องแสนยาก เพราะว่าสะสมความเป็นเรามานานมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า ไม่ใช่จะรู้ความจริง โดยความเป็นเรา และก็หวัง แต่จะรู้ความจริง ต่อเมื่อค่อยๆ ลดความเป็นเราลง โดยรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา เราไม่สามารถที่จะ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช่หรือไม่ เพราะว่า สะสมมานาน ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่าความเข้าใจธรรม ทีละเล็ก ทีละน้อย ก็จะทำให้ถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งเราพูดทุกวัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ก็แค่พูด แค่ฟังแค่คิด แค่ได้ยิน ระดับนั้น ในระดับที่มากกว่านั้น ก็คือว่า ต้องรู้ว่า กว่าจะรู้ความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ โดยการประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีเรา เพราะมีการรู้ ลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง ทีละหนึ่ง เห็นไหม เพื่อแยก อย่างเห็นกับได้ยิน เวลานี้ เราก็ไม่เคยสนใจเลยแต่ว่าพอฟังแล้ว ก็จะมีความสนใจ และเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน แสดงว่าเห็นเกิดและดับ ได้ยินจึงเกิดแล้วดับ แล้วก็มีเห็นอีก เป็นเกิดแล้วดับ ดูเสมือนว่าได้ยินทั้งๆ ที่กำลังเห็นโดยความรวดเร็วอย่างยิ่ง
ความเข้าใจตรงนี้จะค่อยๆ นำไปสู่การรู้ว่าเป็นธรรม แต่ละหนึ่ง จนกว่าปฏิบัติ จะเกิดขึ้น โดยการฟังธรรมหนึ่ง คือ หนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้ว ก็ไม่กลับมาอีก ทำให้สติเกิดขึ้น รู้สิ่งที่มีตามปกติ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะเหตุว่า ก่อนที่จะมีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติใช่หรือไม่ ตื่นมาทำอะไร เพราะฉะนั้น เวลาที่ปัญญาจะเกิด ที่จะถึงการมีสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ปรากฏตามปกติ ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เวลาไหนบอกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้น จากชีวิตธรรมดา ซึ่งไม่เคยรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ขณะนั้น เกิดรู้ตรงลักษณะ เห็นไหม ไม่เคยรู้ตรงแข็ง ทั้งๆ ที่แข็งปรากฏ แต่พอฟังธรรมมากๆ เป็นปัจจัย ก็จะถึงกาลเวลา ที่สติสัมปชัญญะ รู้ตรงนั้น เฉพาะตรงแข็งตามปกติเหมือนเคย แต่เป็นการที่ความรู้เกิดขึ้น ตรงสิ่งที่มี ซึ่งก่อนนั้นไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้น คนนั้นจะรู้ว่า นั่นคือ สติสัมปชัญญะ หรือ สติปัฎฐาน ซึ่งถ้าเราพูดถึงสติปัฎฐาน หรือ สติสัมปชัญญะพูดไปเถอะใช่หรือไม่ ก็ยังไม่เกิด แต่มีความเข้าใจขึ้นมา สติสัมปชัญญะนี่ ต้องต่างกับขณะที่ฟัง เพราะฟังนี่ เป็นความเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่ง เพราะมีความเข้าใจที่มั่นคง
เพราะฉะนั้น จากสัจจญาณ เพราะปริยัติ คือ การรอบรู้ ในความมั่นคงจนเป็นสัจจญาณก็จะถึง กิจจญาณ ซึ่งเป็นปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นัยหนึ่ง สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ เป็นอีกนัยหนึ่ง เพราะฉะนั้น พอถึงขั้นของกิจจญาน ก็คือ ปฏิบัติ สติที่เกิดรู้ลักษณะ เพราะเดี๋ยวนี้ มีลักษณะทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้สักลักษณะเดียว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500