ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๔๖๗

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้สิ่งหนึ่งต่างๆ จนปรากฏเป็นสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้างโดยสภาพธรรมที่จำ ซึ่งไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้น สภาพรู้ มีสองอย่าง คือ จิตซึ่งรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏหนึ่ง แต่อย่างที่ได้เคยฟังมาแล้ว ต้องเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสิ่งที่อาศัยปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เช่น ตาทำให้เกิดเห็นได้ หูทำให้เกิดได้ยินได้ แต่หูจะไปทำให้เกิดเห็นไม่ได้ และก็ตาจะไปทำให้เกิดรู้เสียงก็ไม่ได้ นี่เป็นความจริงของ แต่ละสภาพหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าที่เราเห็นเป็นหนึ่งนี่ ความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่ปรากฏได้ทีละหนึ่ง อย่างอะไรที่นิ่มๆ ถ้ากระทบลิ้น รู้รส แต่ไม่รู้นิ่ม แต่ที่ลิ้นนี่ ก็ยังมีประสาทรูปที่สามารถจะกระทบกับอ่อนหรือแข็ง ที่เป็นสิ่งที่เรารับประทานเข้าไป

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้น มีรูปที่ทำให้สามารถที่จะทำให้ จิตเกิดขึ้นลิ้มรส และก็มีรูปที่สามารถทำให้จิตรู้ ความนุ่มของสิ่งนั้น ซึ่งอยู่ตรงนั้น แต่ต้องอาศัย แต่ละทางทำให้สภาพรู้เกิดขึ้นได้ รู้แต่ละอย่าง รู้อย่างเดียวกันไม่ได้

    เพราะฉะนั้น รู้เห็นแล้วและก็เห็น และจะมารู้นิ่มไม่ได้ ต้องเป็นเห็นต้องเห็นตลอดเวลาไม่ว่าอะไรจะกระทบต้องกระทบตา เพราะกระทบตาแล้วจะรู้อื่นไม่ได้ นอกจากรู้สิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ เพราะมีสีสันต่างๆ และถ้ากระทบกับแข็ง ขณะนั้นก็จะรู้ความแข็ง ความนุ่ม ความอ่อน ซึ่งหลากหลายมาก แต่ก็สามารถจะทำให้จิตที่กระทบสิ่งนั้นแหละ รู้เฉพาะสิ่งนั้นได้ สิ่งที่แข็งก็มีใช่ไหม ที่เรารับประทานกรอบๆ แข็งๆ กับสิ่งที่นุ่มๆ อ่อนๆ

    แต่ว่าลิ้นไม่รู้ความนุ่มลิ้นไม่รู้ความอ่อน เมื่อเวลาลิ้นกระทบลิ้นก็ไม่รู้ว่าหวานหรือเผ็ด แต่ว่าจิตเกิดขึ้นโดยอาศัยลิ้น จึงสามารถที่จะรู้รสที่กระทบลิ้น รสต้องกระทบลิ้นอย่างเดียวกระทบแข็งถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่จะรู้สึกหวานหรือเค็ม นี่เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น สภาพรู้ทั้งหมดเลยเป็นจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่จิตเกิดเองไม่ได้ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกัน ปรุงแต่งกันเกิดขึ้น โดยต้องเป็นสภาพรู้เหมือนกัน แต่ว่าเกิดพร้อมกันก็จริงอาศัยกัน และกันก็จริงแต่ต่างก็เป็นหนึ่ง ซ้ำกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น สภาพจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ รู้ได้หมดเลย แข็งเท่าไหร่ก็รู้ หวานเท่าไหร่ก็รู้ เปรี้ยวเท่าไหร่ก็รู้ กลิ่นหอมด้วยเหม็นเท่าไหร่ก็รู้หมด จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้น ถ้าพูดเรื่องจิตไม่คิดเรื่องอื่น ไม่ต้องไปสนใจว่าวันนี้เราทำอะไรเป็นยังไง แต่กำลังพูดเรื่องไหน ให้เข้าใจเรื่องนั้น

    เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงเรื่อง จิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้น ต้องรู้ เกิดแล้วไม่รู้ไม่ได้ แต่ว่าจิตจะเกิดขึ้น เป็นจิตประเภทไหน รู้อะไร ต้องอาศัยปัจจัยที่ทำให้เกิดจิต นั้นๆ เพราะจิตนั้นเกิดไม่ได้

    เอาของแข็งสองอย่าง กระทบกัน ไม่เกิดธาตุรู้เลย เพราะแข็งเป็นแข็งทั้ง สองอย่างกระทบกัน แต่พอมีธาตุรู้เกิดขึ้น รู้อะไรก็รู้แข็ง แต่แข็งนั้นต้องกระทบกับกายะประสาทะ รูปพิเศษที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่เย็น เดี๋ยวนี้ ร้อนหรือว่าอ่อน หรือว่าแข็ง หรือว่าตื่นหรือว่าไหว

    ไม่สามารถที่จะรู้ โดยที่ว่าไม่กระทบกายเลย อย่างเห็นใบไม้ไหว ไม่ได้กระทบกาย เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ไว้ไม่ได้ปรากฏที่กาย แต่เห็นแล้วก็จำได้ ว่าสิ่งนี้กำลังเปลี่ยนที่ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ความจำอย่างละเอียด แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งทำให้ปรากฏในความคิดว่า เป็นใบไม้ไหว แต่ต้องจากหนึ่งขณะ ไปอีกหนึ่งขณะ ไปอีกหนึ่งขณะ จนกว่าจะปรากฏลักษณะที่ไม่อยู่ตรงนั้นได้

    เพราะฉะนั้น เห็นความน่าอัศจรรย์ของธาตุรู้ ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ธาตุนี้มีจริงๆ ทำไม ก็กำลังมีเดี๋ยวนี้ จะบอกว่าไม่มีได้ยังไง และก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นด้วย

    ด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มเข้าใจความหมายของ คำว่า สิ่งที่มีเป็นธรรมที่หลากหลาย แต่ก็ต้องเกิดขึ้นจึงปรากฏว่ามี พอเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฎ จะเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย เป็นคนไม่ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียว ซึ่งไม่ใช่คนก่อน ชาติก่อน และไม่ใช่คนต่อไปชาติหน้า

    เพราะฉะนั้น ที่เป็นคนนี้ทั้งหมดนี่ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ดีชั่วบ้าง ก็สะสมอยู่ในจิต เพราะจิตเป็นสภาพรู้ จากขณะหนึ่งดับแล้ว ที่ขณะ ซึ่งเกิดขึ้นสืบต่อ ก็มีทุกอย่างเหมือนจิตเดิมที่นำไป

    เพราะเหตุว่าจิต นั่นเป็นเหตุที่ว่า เมื่อใดที่จิตหนึ่งเกิดขึ้น และดับไปไม่เหลือเลย เมื่อนั้นการดับไปของจิตนั่นแหละ เป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อทันที รับทุกอย่างที่มีในจิตก่อน

    เพราะฉะนั้น แต่ละวันนี้ก็เหมือนยังมีเรา จำได้ เพราะเมื่อวานนี้ทำอะไรเดือนก่อนทำอะไรปีก่อนทำอะไร แต่ก็เป็นจิต แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดและะดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีจิตหนึ่งขณะ ใครรู้ มีอะไรบ้างไหมจิต สะสมอะไรมาบ้าง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นปรากฏ จะไม่รู้เลย แต่พอโกรธเกิดขึ้น จิตที่โกรธมาจากไหน ก็มาจากจิตก่อนที่จะดับไป สะสมทุกอย่างไว้ ทำให้แต่ละคนนี่ มีอัธยาศัยต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันเลย แม้แต่การชอบ ถามดู ชอบสีอะไร ก็ตอบได้กันทุกคน

    แต่บางคน ก็คิดนาน ไม่รู้จะยังไง เพราะชอบไปหมดเลย ก็ถูกต้อง คือ ความจริงต้องเป็นความจริง จะเป็นในรูปใดทั้งสิ้น เพราะมีการสะสมมาทุกอย่าง ละเอียดยิบ ซึ่งเราไม่สามารถที่จะบอกได้เลย

    แม้เราเองสะสมอะไรมาบ้าง แต่พอเห็น กาย วาจา เกิดขึ้นเป็นไป รู้เลยว่า เขาสะสมมาอย่างนั้น เป็นคนสะสมมาในเรื่องการพูด พูดดีมาก พูดน่าฟัง พูดน่ารัก พูดเพราะ จะให้เขาเปลี่ยนเป็นคนที่กระโชกโฮกฮาก เขาทำไม่ได้ หากไม่สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้เลย เพราะไม่ได้สะสมมา ที่จะเป็นอย่างนั้น

    แต่บางคน ก็สะสมมาที่จะเป็นคนที่กระด้าง เสียงก็กระด้าง โทสะก็มีมาก ไม่มีความเมตตาอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ไม่มีเราไม่มีใครเลย แต่มีธรรมที่เกิดขึ้น แม้ดับไป ถ้าเป็นธาตุรู้ ก็สะสมสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น มีสภาพรู้สองอย่าง เมื่อกี้นี้ เรากล่าวถึงธรรมอย่างเดียว หนึ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่เราจำแนกธรรมที่เกิด เป็นสองอย่างที่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพหนึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้อะไรเลย แข็ง หวาน เค็ม เป็นต้น

    แม้แต่เสียงมองไม่เห็น แต่ก็เสียงก็ไม่รู้อะไร ก็เป็นรูปธรรม ก็เป็นรูปธรรมแต่สภาพรู้ หลากหลายมาก ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ คือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เช่น รสต่างๆ เป็นต้น และสภาพธรรมที่เกิดพร้อมจิต เป็นธาตุรู้ แต่หลากหลายไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่เกิดพร้อมจิตที่รู้อะไรสภาพนั้นที่เกิดขึ้น ก็ทำกิจของตน ของตน ซึ่งไม่ใช่สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะจิตเกิดแล้ว รู้แจ้งแล้ว สภาพธรรม ที่เกิดพร้อมจิต เช่น ความจำมีแน่ๆ มีใครบ้างที่ไม่มี ถ้ามีธาตุรู้เกิดเมื่อไหร่ ต้องมีสภาพจำเกิดด้วยทุกครั้ง

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เคยเห็นเลย จะจำได้ไหม สิ่งที่ไม่เคยเห็นเลย จำไม่ได้ แต่เมื่อเห็นสิ่งใดจำได้ สิ่งนั้นไม่เคยเห็นคนนี้เลย จะให้ไปจำความเป็นบุคคล อย่างนั้น อย่างนั้นก็ไม่ได้ แต่พอเห็นคนนั้น จำคนนั้นได้เลยเคยเห็นแล้ว ใช่ไหม คนนี้เคยแล้ว

    แม้แต่เสียง หลากหลายมากไม่เห็น ก็จำได้ว่าเสียงใครเห็นไหม เพราะอะไร เพราะสภาพจำ จำทุกอย่าง ไม่ให้จำได้ไหมเกิดมาไม่ได้ เพราะสภาพนั้นเป็นสภาพรู้ที่ทำหน้าที่จากเกิดแล้วจำ เกิดแล้วจำ

    เพราะเป็นสภาพรู้ ที่ไม่ใช่จิตทั้งหมด ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง เป็นเจตสิก เกิดพร้อมกับจิต ไม่เกิดกับจิตไม่ได้เลย เกิดตามลำพัง เจตสิกก็ไม่ได้ จะไปเกิดกับอื่น ก็ไม่ได้ แต่ที่ใดมีจิตที่นั่นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง อย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ใครรู้มาก่อนฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ที่จะค่อยๆ เริ่มเห็นว่า ไม่มีเราเลย ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เป็น

    เพราะเหตุว่า เป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เริ่มเข้าใจคำว่า ธรรม ทั้งหลายเป็นอนัตตา ฟังเพื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จึงค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ซึ่งเมื่อมีเรา ก็เห็นกับตัวเอง คือ เห็นกับเราตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้น ก็ธรรม เข้าใจแล้วต่อไปนี้ จิตก็เข้าใจแล้ว และเจตสิกก็คือ สภาพธรรมอื่นทั้งหมด ที่เกิดกับจิต ซึ่งจิตเพียงกิดขึ้นรู้แจ้ง เป็นใหญ่เป็นประธาน สภาพธรรม อื่นทั้งหมดเป็น เจตสิก

    เพราะฉะนั้น ฟังเท่านี้ เราเข้าใจ และง่วงมีไหม เป็นจิตหรือเปล่า แต่ก่อนนี่ ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่เดี๋ยวนี้จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ทั้งๆ ที่บอกว่าง่วงนี่ มีอะไรที่กำลังรู้แจ้งในขณะนั้น แต่สภาพง่วงเป็นเจตสิกไม่ใช่จิต เห็นดอกไม้นี่ ง่วงไหม ก็ไม่ง่วง ใช่ไหม แต่จิตเห็นใช่ไหมจิตเกิดขึ้นแล้ว เราแจ้งแล้ว ทำหน้าที่ของจิตแล้ว แต่เจตสิกที่ง่วงไม่ได้เกิดขึ้นกับจิต

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจิตที่กำลังเห็นดอกไม้นี่ก็ไม่ง่วง แต่เวลาง่วงก็เห็น เห็นไหม กำลังง่วงไม่เห็น ได้ไหม ไม่ได้ ก็ยังต้องเห็นแล้วก็ง่วง แต่ว่าขณะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง และก็มีเจตสิกซึ่งง่วง ท้อถอย ไม่แกล้วกล้า เหมือนปกติธรรมดาไม่ได้ ก็เพราะง่วง เราก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว ใช่ไหม ใครจะเอาขนมมาให้เอาอะไรมา ก็ไม่เอาละ นอนดีกว่า นั้นก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง ทั้งหมด ไม่มีเรา ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง เพราะถ้าไม่ฟังไม่มีโอกาสจะรู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีเรา และก็อยู่ไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฎ โดยยึดถือสิ่งที่เกิดดับว่า เป็นเราไปเลย แต่ความจริงไม่ใช่

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกว่ามี ๗ ประเภทอันนี้ มีอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ เริ่มสนใจแล้ว หากต้องเกิดกับจิตทุกประเภท แต่จิตนี่รู้ยากไหมกำลังเห็นอย่างนี้รู้ยากไหม นี่ ว่าที่กำลังเห็นนี่เป็นจิต เพราะฉะนั้น เจตสิกที่เกิดกับจิตยากไหม แม้จิตกำลังเห็นอย่างนี้ยังยากที่จะรู้ว่าไม่ใช่เหรอ เป็นเห็นแล้วก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗

    เพราะฉะนั้น เจตสิก ก็จะต้องละเอียดรู้ยากกว่าจิต เพราะว่าจิตไม่เคยขาดเลย แต่เจตสิก ๗ ประเภทไหนก็ไม่เคยขาด เพราะต้องเกิดกับจิตทุกขณะ แต่เจตสิกอื่นนานๆ มาเกิดหรือว่าเกิดต่อก็ได้

    แต่ว่า ก็ต้องแล้วแต่ประเภทของจิต ถ้ากำลังโกรธนี่ ก็เป็นอะไร ก็เป็นธรรม ธรรม ประเภทไหน นามธรรม นามธรรมอะไร ต้องนำมั่นคงไปเรื่อยๆ ถึงจะเป็นการเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ได้ตรัสรู้ละเอียดยิ่งกว่านี้มาก นี้เพียงไม่กี่คำ

    เพราะฉะนั้น ถ้าฟังทุกคำนี่ ต้องเข้าใจพร้อมไปเลยพ อได้ยินคำว่าเจตสิกก็ต้องเริ่มรู้ และโกรธเป็นอะไร มีแค่เนี่ยรูปธรรม หรือว่า นามธรรม หรือว่า จิตหรืออะไรใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้น แค่ฟังแค่นี้ยังรู้เลยว่า ต้องเข้าใจ แต่ว่า ยังไม่ถึงที่สุด เพียงแค่นี้ต้องเข้าใจแค่นี้ให้ถึงที่สุด

    เพราะฉะนั้น จะถึงที่สุดได้ ก็ต่อเมื่อเรานี่ฟังแล้ว มีความเข้าใจ ใครเข้าใจเร็ว ใครเข้าใจช้า ก็ต้องมีเหตุ ถ้าสะสมมาบ่อยๆ เนืองๆ นี่ มีหรือที่จะรู้ไม่ได้ หรือตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าได้ฟังครั้งเดียว ต้องมานั่งคิดมันเป็นอะไรใช่ไหม จะตอบผิด หรือจะตอบถูกไม่ใช่เรื่อง ที่เราจะต้องพยายามตอบให้ถูก แต่เข้าใจหรือเปล่า อันนี้สำคัญกว่า

    เพราะฉะนั้น ที่เราพยายามตอบให้ถูกนี่ คือ ความเป็นเรา แต่ความเข้าใจที่รู้ว่า เราได้ยินแล้ว ยังคงเป็นเราไป เพราะยังไม่หมดความเป็นเรา แต่ยิ่งฟัง ก็ยิ่งมีความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อยเพิ่มขึ้นว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น บางคน แค่พูดคำว่าเรา ก็ขอโทษใหญ่เลย ต้องพูดพระสัมมาสัมพุทธเลยใช้คำว่า ตถาคต เพราะพระองค์ไม่ใช่ท่านพระสารีบุตรไม่ใช่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ และจะไม่ให้เรียกพระองค์เอง ก็หมายความถึงพระองค์เองได้อย่างไร

    ด้วยเหตุใด ต้องมีเหตุ มีผล และเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง ทุกคำ ถ้าได้ยิน และตอบได้ หมายความว่า เข้าใจแล้ว แต่ถ้ายัง เอ๊ะต้องฟังใหม่ละ มันยังไงกัน ต่างกันยังไง สภาพรู้มีสองอย่าง สภาพรู้ที่เกิดขึ้น จิตรหนึ่งกับเจตสิก และจิตนี่ไม่ยากเลยสภาพรู้แจ้งเท่านั้นแหละอย่างเดียว อย่างอื่นเป็นเจตสิกหมด หมดหมายความว่าไม่เหลือ

    ที่นี้ทำถามที่ว่า ๗ นั้น คืออะไรบ้าง ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบ จิตจะเกิดขึ้นรู้ได้ไหม เกิดมาขณะเกิด ก็ไม่รู้ละ ใช่ไหม โลกไม่ปรากฏ อยู่ไหนก็ไม่รู้ เกิดในโลก ก็ไม่รู้ค่ะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่รู้ เกิดเป็นคนก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้หมด เพราะไม่มีการปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะขณะนั้น เป็นผลของกรรมหนึ่ง ในบรรดากรรมทั้งหมดในสังสารวัฎ ที่เป็นปัจจัยให้จิตประเภทหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลของกรรม เป็นผลของกรรมหนึ่งด้วย ไม่ใช่หลายกรรม แต่กรรมนั้น ประมวลกรรมอื่นๆ ที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้นไว้ด้วย ที่จะให้ผลตามกำลังของกรรม ที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่ละหนึ่งขณะ ที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้างพวกนี้

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าเหตุ คือ กรรมมี ผลของกรรมมี ผลในชาตินี้ ขณะแรกก็คือทำให้เกิด เป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จะไม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นก หนู ปู ปลา เต่า แมลง ทุกสิ่งทุกอย่างหมด ไม่ใช่ผลของกุศลกรรม ก็ไม่สามารถที่จะฟังธรรม หรือว่ามีความเข้าใจอะไรได้เลย เพียงแต่เกิดมา แล้วก็อาศัยการสะสมมา ทำให้เห็นไป ได้ยินไป อยู่ไปวันๆ

    เพราะฉะนั้น มนุษย์นี่จะต่างกับสัตว์ตรงไหน ถ้าไม่มีปัญญา ก็อยู่ไปวันๆ ค่อยเห็นไปวันๆ คิดไปวันๆ จำไปวันๆ

    เพราะฉะนั้น ธรรมก็เป็นเรื่องที่ทั้งหมดให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่จะไปละง่ายๆ เขาบอกให้ละ เราก็ละแล้วไม่ต้องไปติดข้อง พูดได้ยังไง คนนั้นไม่มีเหตุผลเลย ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ถ้าไม่ดึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ก็คิดว่าจะไปละได้

    ด้วยเหตุนี้ การฟังแต่ละคำเนี่ย ขาดซักหนึ่งขณะ ก็ไม่ได้กำลังสะสมที่จะให้เข้าใจซึ่งกำลังรู้ว่าไม่มีเราทีละเล็ก ทีละน้อย จนกว่าความเข้าใจจะมั่นคงขึ้น ไม่ต้องเดือดร้อนที่จะต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น

    เพราะถ้าไปทำ ปิดกั้นทันที เป็นอัตตาทันที แต่นี่กว่าจะรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรานี่ก็ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเราไม่ได้ทำ จะโกรธก็ไม่ได้ทำ จะหายโกรธก็ไม่ได้ทำ ทุกอย่างหมด เป็นธรรม ซึ่งถ้าไม่ฟัง จะไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา

    ด้วยเหตุนี้ การที่จิตจะเกิดขึ้นรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แน่นอนใช่ไหม จะกล่าวว่า รู้และไม่มีสิ่งที่ถูกรู้นี่ไม่ได้ ไม่มีเหตุ ไม่มีผลไม่ใช่คนที่หาเหตุผล หรือ มีปัญญาที่จะรู้ความจริง แต่ต้องเข้าใจว่าธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องรู้ และเมื่อรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้

    เดี๋ยวนี้ กำลังมีสิ่งที่ถูกรู้ พอตื่นขึ้นมา ลืมตา ก็มีสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมด เดี๋ยวรู้ทางกายแข็งแต่รู้ทางตาเห็น เดียวรู้ทางหู ได้ยินเดี๋ยวรู้ ทางลิ้น ลิ้มรสต่างๆ เป็นธาตุรู้ทั้งวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดเลย แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เรา เห็นไหม ผิดไปเรื่อยๆ และได้ยินได้ฟังคำผิด ก็ยิ่งผิดไปใหญ่

    เพราะฉะนั้น จึงมีมิจฉาทิฎฐิ หรือ ความเห็นผิด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ต่างกับความจริง จึงเป็นเดียรถี ผู้ที่มีความเห็นอื่น ที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ต้องมีเหตุผล ละเอียดยิบ จิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ จิตจะรู้อะไร แต่ก็รู้เฉพาะตรงสิ่งที่กำลังรู้ด้วย โดยสิ่งนั้นต้องกระทบ ถ้าไม่กระทบ จิตจะเกิดขึ้นรู้ได้ยังไง อย่าง แข็งอยู่บนโต๊ะนี่ แข็งไหมคะ

    ผู้ฟัง แข็งครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้จับจะแข็งไปยังไง

    ผู้ฟัง โต๊ะผมทราบว่ามันแข็ง

    ท่านอาจารย์ จำได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดเป็นรูปร่างอย่างนี้แต่ไม่ใช่แข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นไห, เพราะฉะนั้น จะรู้แข็งจริงๆ นี่ ต้องกระทบขนาดนั้นรู้ขนาดนั้นปรากฏขณะนั้น จึงกล่าวได้ว่า จิตเกิดขึ้นรู้แข็ง แต่ว่าถ้าเห็นแล้วจะบอกว่าแข็งนี่ ไม่ใช่ ใช่ไหม แข็งกระทบตา ไม่ได้แน่นอน แต่สิ่งที่มีอยู่ที่วัตถุที่แข็งนั้นแหละต่างหาก เป็นอีกธาตุหนึ่ง อีกรูปหนึ่งไม่ใช่แข็งอยู่ร่วมกัน สิ่งนั้นสามารถกระทบตาได้ และเมื่อกระทบตา ถ้าไม่มีธาตุรู้ ซึ่งกระทบสิ่งนั้นที่เกิดพร้อมจิตให้จิตรู้สิ่งนั้น แต่ต้องเพราะขณะนั้นกระทบสิ่งนั้น

    เพราะขณะนี้ บางคนได้ยินเสียงบางคนเห็น บางคนคิดแล้ว แต่ว่าจะมีการกระทบอะไรจิตจึงเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น สภาพกระทบไม่ใช่แข็งต่อแข็งกระทบกัน ใช่ไหม แต่ต้องเป็นธาตุรู้ ซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งนั้นเป็นปัจจัยให้จิตรู้แจ้งสิ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้น อื่นจากจิตเป็นเจตสิกทั้งหมด จึงมีคำว่า ผัสสะเจตสิก ขณะนี้ที่เสียงปรากฏ เพราะผัสสะเจตสิกกระทบเสียง จิตจึงเกิดขึ้นรู้เสียง พร้อมกับผัสสะที่กำลังกระทบเสียง ถ้าผัสสะกระทบเสียง จิตจะเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น เจตสิกนี้เป็นธาตุรู้ ซึ่งมีหน้าที่เดียว คือ กระทบกับสิ่งที่ปรากฏที่จิตเกิด และก็รู้สิ่งนั้น เราที่ไหน ตรงไหน จะเป็นละได้ยังไง มาบอกให้ละนี่รู้หรือเปล่าว่าไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเข้าไปละอะไรได้ ต้องรู้จริงสามารถความรู้นั่นแหล่ะ ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีความรู้บอกให้ละเท่าไหร่ ก็ละไม่ได้ แค่พูดไปสิหารู้ไม่ว่า ความจริงลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ที่จะละ เพียงมีคนบอกให้ละ นี่ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองพยายาม และก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ให้รู้ความละเอียด จิตเป็นธาตุรู้ แต่ต้องเป็นไปตามผัสสะเจตสิก ซึ่งกระทบก่อน พร้อมกันนั้นจิตจึงจะเกิดพร้อมผัสสะนั้น ถ้าผัสสะเกิดไม่กระทบจิตเกิดไม่ได้เลย แต่เวลานี้ถ้าได้ยินเสียง ก็รู้ได้เลย ผัสสะกระทบเสียง จิตรู้เสียงเกิดพร้อมกัน และก็ดับพร้อมกัน แล้วก็สภาพจำ ก็จำเสียง ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ ที่จิตรู้ แต่ขณะนั้นหน้าที่ต่างกันหมดเลย

    จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะผัสสะเกิดขึ้นกระทบสิ่งนั้น จิตจึงรู้สิ่งนั้น และสภาพจำ คือ สัญญาเจตสิก ก็จำสิ่งที่ปรากฏ เกิดมาจำอย่างเดียว ไม่ว่าจิตกระทบอะไร ปรากฏสัญญา สภาพจำ จำสิ่งนั้น สภาพรู้ สภาพจำ เพราะโต๊ะเก้าอี้นี่ ก็จำอะไรไม่ได้หรอก แข็งก็ต้องไปแข็งไป

    ด้วยเหตุนี้ แต่ละหนึ่งที่ได้ฟัง เก็บไว้ ปลูกฝังลงไป ให้มั่นคงที่จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา มิฉะนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะถึงระดับอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งยิ่งกว่าฟังเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจก่อน เพราะกำลังรู้ ตรงนั้นเข้าใจตรงนั้นด้วย เวลานี้เราพูดถึงเห็น และก็กำลังเห็น แต่ไม่เข้าใจเฉพาะตรงเห็น เพราะมีอย่างอื่นปรากฏด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างงั้น คนที่ตาบอด ซึ่งไม่มีจักขุประสาท ก็คงจะเดือดร้อนน้อยกว่าคนที่มองเห็นหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ เขาอยากเห็นไหม เห็นไหม เราจะไปรู้ได้ยังไง คนนั้นก็พูดเรื่อง แหมวันนี้อากาศดี ท้องฟ้าสวย มีเมฆ มีอะไรๆ คนตาบอดอยากเห็นไหม ใช่ไหม แทนที่จะจะเห็นแล้วชอบ ก็กลายเป็นยังไม่เห็นก็ยังอยากเห็น

    เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นแล้วจะชอบสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ทุกอย่างไม่พ้นไปจากความเป็นจริง ธรรม ที่เป็นความอยากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตาบอด ตาดีอยากทั้งนั้น ใช่ไหม เพราะอยากเกิดขึ้นจริงอยาก จะเอาอย่างอื่นมาเป็นอยากไม่ได้ ต้องสภาพนั้นที่เกิดขึ้นอยาก ซึ่งภาษาบาลีมีชื่อ โลภะ เจตสิก อยากนี่เป็นความติดข้อง

    ผู้ฟัง ดอกไม้สวย

    ท่านอาจารย์ สงบไหม

    ผู้ฟัง ชื่นใจ

    ท่านอาจารย์ สงบไหม

    ผู้ฟัง เห็นทุกๆ คน

    ท่านอาจารย์ รับประทานอาหารอร่อย สนุกสนาน

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ สงบไหม อร่อย ไม่อร่อย สงบไหม เห็นไหม ไม่ได้รู้ความจริงเลยหลง คือ อยู่ๆ ไปโดยผ่านทุกอย่าง ด้วยความไม่รู้ เร็วมากเลย เป็นไปตามอารมณ์ เป็นไปตามการสะสม แต่ไม่ได้เป็นไปตามปัญญา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    15 ต.ค. 2568