ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458


    ตอนที่ ๑๔๕๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร

    วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อรู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งเป็นอนัตตา ก็ยังคงเป็นเรา

    ผู้ฟัง เมื่อไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราคาดหวังไว้ แล้วก็เกิดเป็นโทสะ แต่เมื่อระลึกขึ้นมาอีกทีว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอยู่นอกอำนาจบังคับบัญชาของเรา ก็ช่วยอาการไข้ทางจิตหาย ลดลงมาก

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความมั่นคงว่า กว่าจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่ว่าใครสามารถจะไปทำได้เลย แต่ตราบใดก็ตามที่มีการได้ยินได้ฟัง และสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น สามารถที่จะระลึกถึงความจริงของสิ่งนั้นได้ก็ทำให้บรรเทา

    เพราะเหตุว่า กุศลทุกประเภทสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความที่เป็นอกุศลได้ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะอกุศล เพราะไม่รู้จึงโกรธจึงไม่พอใจ และการที่ได้ฟังธรรมมาแล้วก็เป็นเหตุทำให้มีการระลึกได้ แต่ขณะนั้นก็ยังไม่พอ

    แสดงว่าเริ่มมีการสะสมของความเข้าใจที่สามารถจะเกิดคิดได้ ซึ่งก่อนฟังก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ใช่ไหม แต่เมื่อได้ฟังมานานๆ เข้า ไม่ได้ไปบังคับให้คิด แต่เพราะฟังนั่นเองทำให้มีการระลึกได้ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นสติ ที่ระลึกถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ และสามารถที่จะเข้าใจความจริงขณะนั้นว่า ไม่มีเราที่ทำ คิดเเล้วว่า ไม่มีเราที่ทำ แต่ขณะนั้นเพราะเข้าใจว่าไม่มีเราที่ทำ ก็ทำให้ไม่ได้คิดที่เป็นอกุศลต่อไป เเต่แม้กระนั้นก็เป็นเราที่กำลังคิดว่า ไม่มีเราที่ทำ

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเจริญขึ้นของความเข้าใจแต่ละขั้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการคิดอย่างนี้เลย ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แต่คิด ไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง

    ด้วยเหตุนี้ พระธรรมจึงงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จากไม่รู้อะไรเลยจะไปประจักษ์ว่าไม่ใช่เรา เป็นไปไม่ได้ เเต่แต่ละคำที่ได้ฟังสามารถที่จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ได้ไปบังคับที่จะต้องคิดอย่างนั้น

    แต่เพราะฟังแล้วจึงเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นเราไม่ได้ทำอะไร สภาพธรรมนั้นก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แม้เพียงคิดอย่างนั้น แต่ถ้าบ่อยๆ ซึ่งก็บังคับไม่ได้อีกเหมือนกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แสดงให้เห็นว่าก็ยังเป็นประโยชน์ที่ว่า ขณะนั้นความโกรธก็ไม่เกิดขึ้นต่อไปมากมาย โดยที่ไม่มีความเข้าใจว่าขณะนั้นเราบังคับไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จนกว่าจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นคือ คิดดี ดี แต่เป็นเรา ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ จากขั้นที่สามารถที่จะไม่ลืมคำที่ได้ฟัง ทำให้เกิดความคิดอย่างนั้นขึ้นได้ แต่ต่อไปก็จะรู้ว่าถึงอย่างนั้นก็กำลังเป็นเราที่กำลังคิดอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจะค่อยๆ รู้ความจริงเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่หยุดอยู่เเค่ว่าเราสามารถคิดได้ เราค่อยๆ โกรธน้อยลง หรือสิ่งที่ไม่ดีนั้นค่อยๆ ลดลงไป เเต่ยังไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริงที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ไม่ใช่แค่ฟัง ฟัง ถูก ไม่ผิด เข้าใจได้ แต่ว่ายังไม่สามารถที่จะประจักษ์ได้ ซึ่งกำลังของปัญญาก็ต้องต่างกัน

    อ.อรรณพ ท่านผู้ฟังก็เห็นประโยชน์ของการที่คิดถึงเรื่องธรรมแล้วยังได้ประโยชน์ แต่ว่าจะต่างอย่างไรกับ คิดดีที่ยังเป็นเรา เเล้วก็เลยติดอยู่ในความดีที่เป็นเราอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ประโยชน์ใช่ไหม

    อ.อรรณพ ได้ประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ตอนได้ประโยชน์เป็นอะไร

    อ.อรรณพ ตอนได้ประโยชน์ พอใจก็เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ละเอียดอย่างยิ่ง มิฉะนั้นไม่ทรงแสดงจิตต่างกันเป็นแต่ละอย่าง ธรรมละเอียดอย่างนั้น เเล้วในชีวิตประจำวันถ้าเรายังคงเผิน จะถึงความละเอียดอย่างนั้นได้ไหม ดังนั้นแม้ชีวิตประจำวันก็ค่อยๆ ละเอียดขึ้น เพราะรู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ถ้าไม่มีความละเอียด ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ชีวิตประจำวันที่พอใจแล้ว ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะฉะนั้น รู้ได้เลยว่าถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียดที่เห็นอกุศลว่าเป็นอกุศล เราก็ยังคงมีอกุศล และก็เป็นอกุศลต่อไป ซึ่งถ้ากุศลจะเกิด กุศลละเอียดมาก สิ่งที่เคยทำโดยไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ก็จะค่อยๆ เห็นว่าเป็นอกุศล แล้วจึงค่อยๆ เลิก นั่นคือ ยังไม่ได้เห็นว่าไม่ใช่เรา แต่แม้กระนั้น ปัญญาก็ยังตรงที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล เช่น การใช้กระดาษห้องน้ำเช็ดมือ หรือของอะไรก็ตามในที่สาธารณะ ถ้าใช้อย่างไม่คิดเลย เป็นกุศลหรือเปล่า และยังทำอยู่หรือเปล่า

    เห็นความละเอียดไหม ถ้าไม่รู้อย่างนั้นเราจะละอกุศลได้ไหม ก็เพิ่มอกุศลมากขึ้นเรื่อยๆ เลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ต้องให้ใครบอกเราถึงจะทำ แต่การที่เห็นสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ก็ทำให้รู้ว่าควรเป็นกุศลดีงาม คิดถึงคนอื่น คิดถึงอะไรๅ ที่สมควรที่จะทำมากกว่า ไม่เห็นคนอื่นเขาทำ เราก็ไม่ทำ ก็คนอื่นเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาไม่ใช่หรือ แต่เราเห็นไหม ถ้าเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่เห็น แล้วจะเห็นว่าไม่มีเราได้ไหม

    เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดอย่างยิ่งทุกอย่าง ชีวิตประจำวันก็ต้องเป็นกุศลเพิ่มขึ้น บารมีทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดทั้งสิ้น ปัญญานำไปที่จะให้ระลึกได้ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น แม้ขณะนั้นจะไม่ถึงความสมบูรณ์ที่รู้ว่า ไม่ใช่เรา

    แต่การสละสิ่งที่ไม่ดีไปทีละเล็กทีละน้อยสามารถที่จะเป็นปัจจัย ที่จะทำให้สามารถสละความเหนียวแน่นยึดติดว่าเป็นเรา ถ้าไม่สละอะไรเลยก็เต็มที่หมด แล้วจะไม่เป็นเราได้อย่างไร แต่ค่อยๆ สละไปทุกเรื่องอย่างละเอียด อย่างเวลาโกรธ ทุกคนก็โกรธ แต่ถ้าได้ฟังธรรมเข้าใจมากขึ้น ความโกรธนั้นสามารถเป็นปัจจัยให้รู้ได้ว่า ไม่ใช่เรา หรือมิฉะนั้นก็คิดว่าไม่มีประโยชน์ ความโกรธไม่มีประโยชน์ ซึ่งแต่ก่อนนี้ตอนโกรธไม่เคยคิดอย่างนี้เลย แต่คิดว่าความโกรธไม่มีประโยชน์เลย เขาทำไม่ดี แต่เราทำดีได้ไหม หรือเขาทำไม่ดีเเล้วเราก็ไม่ต้องไปช่วย ไปแก้อะไรทั้งสิ้น

    ถ้าเขาลืมเช็ดโต๊ะแล้วเราเช็ดได้ไหม หรือไปเลย ไม่เกี่ยวข้อง แม้นิดแม้หน่อยก็แสดงให้เห็นว่า อย่างนี้ยังทับถมความเป็นเรา เเละกิเลสเพิ่มขึ้น แล้วจะไประลึกได้ว่าไม่ใช่เราก็ต้องเป็นสิ่งที่ยาก

    แต่เพราะได้ฟังแล้วรู้ว่า ไม่ใช่ใครพยายามจะไปเป็น ไม่ใช่เรา ได้ แต่ปัญญาทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ ขัดเกลา ค่อยๆ สละความเป็นเรา ซึ่งขณะนั้นเขาจะไม่รู้เลยว่าสละความเป็นเราที่เคยไม่ดี เป็นเราที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น อกุศลก็ไม่ทับถมมาก เมื่อมีอกุศลเบาบาง กุศลเกิดขึ้นก็ย่อมเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ สละได้ จนกระทั่งสามารถสละความเป็นเราได้ ต้องประกอบกันอย่างละเอียดมาก ไม่ใช่อยู่ดีๆ ฟังธรรมแล้วก็จะไปปฏิบัติ จะไปหมดกิเลส จะอย่างนั้นอย่างนี้ได้ นั่นคือผู้ที่ไม่ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็นได้

    อ.อรรณพ ก็จริงอยู่ที่ว่า เมื่อมีปัจจัยจากการฟังธรรมเข้าใจแล้ว อุปนิสสยโคจรแล้ว ก็มีกุศลเกิดรักษาจิต อารักขโคจร ซึ่งตอนที่กุศลเกิด แม้ไม่ใช่สติปัฏฐาน เเต่เป็นกุศลที่รักษาจิตนั้นก็ดี แต่ว่าอกุศลก็ต้องแสนเร็ว ที่พอใจในกุศลขั้นที่อารักขาจิตนั้นว่า ก็ดีแล้วแค่นี้ แค่นี้ก็ได้ เราก็ได้ประโยชน์แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อุปนิสสยโคจร แค่ไหน คำแรกที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นหรือยัง ฟังกี่ครั้งเป็นเราไปหมดเลย แม้แต่จะคิดอย่างเมื่อครู่นี้ก็เป็นเรา ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นอุปนิสสย หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีกำลังจริงๆ เพราะความคุ้นเคยในการที่จะเข้าใจสิ่งนั้น ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โคจร เป็นอารมณ์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ เป็นอารมณ์กับจิตที่กำลังระลึกได้ ขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่ามั่นคงแค่ไหน ถ้ามั่นคงก็คือว่าขณะที่ทำดี ก็ไม่ใช่เรา กำลังเช็ดโต๊ะที่เปรอะเปื้อนที่คนอื่นทำไว้ ก็ไม่ใช่เรา

    ดังนั้นที่มั่นคงจริงๆ ไม่ใช่มั่นคงเรื่องอื่น มั่นคงว่าไม่มีเรา ค่อยๆ มีความมั่นคง ซึ่งความเข้าใจว่าไม่มีเราจะตามไป โดยไม่ต้องมานั่งคิดว่าไม่ใช่เรา แต่ในความไม่ใช่เราที่เข้าใจขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่า กุศลก็ไม่ใช่เรา ดีเท่าไหร่ก็ไม่ใช่เรา แต่ถ้าลืม ก็เป็นเรามีกุศลมาก เราทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ หรืออะไรเป็นต้น ไม่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า อุปนิสสยโคจร คือคำของพระพุทธเจ้าที่จะเป็นอุปนิสัย การได้ยินบ่อยๆ เป็นที่อาศัย ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างนั้นได้ก็ต้องมีความมั่นคง โดยทุกอย่างจะขาดความมั่นคงไม่ได้ตามลำดับขั้น เราจะมั่นคงเพียงแค่ความดีก็แปลว่า เราไม่มั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่ถ้ามีความมั่นคงว่า ไม่มีเรา แม้กำลังทำดีก็ด้วยความเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทในคำที่ได้ฟังว่าเรามั่นคงแค่ไหน ที่ต้องมั่นคงจริงๆ ก็คือว่า ไม่ใช่เรา จะเป็นอกุศลก็ไม่ใช่เรา ถ้าเวลาเป็นอกุศลแล้วเดือดร้อนคือ ไม่มั่นคงว่าไม่ใช่เรา แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ไม่ใช่เรา ก็จะไม่เดือดร้อนอย่างคนที่ไม่มีความมั่นคง ใช่ไหม

    ดังนั้นที่มั่นคงจริงๆ ไม่ใช่มั่นคงเรื่องอื่นเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรม มั่นคงไหม เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แค่นี้ จะอุปการะให้มั่นคงไหมว่า ไม่ใช่เรา

    ชีวิตวันหนึ่งๆ อาจจะกำลังแต่งตัว เอื้อมมือไปหวีผม หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะที่เข้าใจมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา ก็จะทำให้เกิดเเม้ความคิด หรือความรู้สึกว่า ไม่ใช่เรา ได้ทีละเล็กทีละน้อย โดยความเป็นอนัตตา แม้แต่คำว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ก็เป็นอุปนิสสยโคจร อารมณ์ของจิตที่ไม่ลืม ที่ทำให้ระลึกได้ ไม่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าไม่มีความมั่นคงระลึกไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้น จะรู้ว่ามั่นคง หรือไม่มั่นคง ก็ต่อเมื่อสามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้น ในความเป็นธรรมของสิ่งนั้น จึงกล่าวได้ว่ามั่นคง

    อ.ธิดารัตน์ เหมือนกับมั่นคงนิดหนึ่ง ก็มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏกับปัญญา ตามกำลังของปัญญาที่ก็ต้องเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ๆ ๆ

    ท่านอาจารย์ แม้แต่เดี๋ยวนี้ ชัดเจนไหมที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องทุกอย่างหมด อนุสัยกิเลสที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ทิฏฐานุสัยจึงจะหมดไปได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเกิดแล้วดับ ไม่คำนึงถึงเลย

    เพราะเหตุว่า ขณะนั้นแม้จะไม่มีปัญญาที่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นธรรม แต่เพราะมีความมั่นคงในความที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมก็ไม่เดือดร้อน เดี๋ยวนี้ สติ ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่เดือดร้อน เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่าบังคับบัญชาไม่ได้ นี่คือจะเป็นปัจจัยให้สติเกิด ระลึกสิ่งที่เราไม่เคยคิดมาก่อน เดี๋ยวนี้ ใครจะรู้ ขณะต่อไปคืออะไรไม่รู้ แต่ขณะต่อไปก็คือ เดี๋ยวนี้นี่เอง เพราะขณะเมื่อครู่นี้ก็ดับไป ใครรู้บ้างว่าจะเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อเป็นแล้วขณะนั้นสามารถจะเข้าใจถูกด้วยใจที่มั่นคงว่า ไม่ใช่เราที่กำลังรู้ ก็ไม่เดือดร้อนอะไรเลยสักอย่าง

    โดยที่ไม่ใช่ว่า เรา ทำเป็นไม่เดือดร้อน เรา พยายามคิดถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อไม่เดือดร้อน ไม่ใช่เลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งเป็นอนัตตา จึงสามารถที่จะมีความมั่นคงในคำว่า ธรรม ไม่มีใครสามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้ เกิดแล้วปรากฏ เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เป็นอย่างที่เป็นนั่นเอง และก็เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความต่างกันของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ดับไปแล้วหมดเลย แต่สะสมสืบต่อ เป็นที่อาศัย-นิสสย อุป-ที่มีกำลัง โคจรเป็นอีกคำหนึ่ง คืออารมณ์ อุปนิสสยโคจร คำที่มั่นคงที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ได้ยินก็เป็นธรรม ฟังธรรมก็เป็นธรรม แล้วได้ยินกับฟังธรรมต่างกันตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน ได้ยินอะไรก็ได้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ได้ยินเสียงที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงที่ทำให้สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น จึงรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม คือสิ่งนั้นมีจริงๆ ในภาษาไทย

    ผู้ฟัง แล้วตรงที่รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม หลังจากที่ได้ยินแล้ว ตรงนั้นคือการฟัง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟัง จะคิดอย่างนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าได้ฟังธรรมแล้วก็มีความคิดเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ วิถีจิตใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เมื่อเสียงปรากฏกระทบหู เกิดการได้ยิน และก็ดับไป แล้วจิตอื่นเกิดต่อ มีเสียงนั้นเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น จากฟังก็เป็นคำ ที่เริ่มเข้าใจความหมายของคำ และก็มีความเข้าใจ

    ผู้ฟัง ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ หมายถึงไม่ใช่ฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจจะเป็นธรรมได้ไหม ก็เป็นเราฟัง

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจก็เป็นธรรม อกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ นั่นฟังแล้วถึงได้เข้าใจว่าเป็นอกุศลจิต ถ้าไม่ฟังเลยก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศลจิต

    ผู้ฟัง ฟังแล้วทราบว่าเป็นอกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ถ้าไม่ได้ยินคำว่าธรรม จะเข้าใจธรรมไหม

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่า ธรรม ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่รู้ว่าพูดว่าอะไร สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็มีจริง เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง กำลังมีจริงๆ ใครไม่ให้มีก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงนั่นเองเป็นธรรม ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้เลย เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีอารมณ์ นับถ้วนไหม นับไม่ถ้วนเลยว่าอะไรที่ฟังบ่อยกว่าอย่างอื่น เช่น ตอนดูโทรทัศน์ฟังอะไรบ้าง ทุกวันเช้าสายบ่ายค่ำมีอารมณ์อะไรที่มีกำลัง ขณะนั้นมีกำลังมากเป็นที่อาศัย ที่จะทำให้เดี๋ยวกลับไปก็ต้องเปิดโทรทัศน์อีกแล้ว ใช่ไหม ก็เป็นที่อาศัย

    ดังนั้นต้องรู้ว่าที่กล่าวถึง อุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร ทั้งหมดนี้ใครเป็นผู้กล่าว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงอารมณ์อย่างนี้ เพราะฉะนั้น เป็นอารมณ์ของบิดา ถ้ากล่าวถึงว่าอะไรเป็นอารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือนี่เอง เพราะว่ากว่าที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้มาก่อน ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อตรัสรู้แล้วก็รู้ความเป็นจริงว่า ถ้าไม่มีการฟังเลย ฟัง มีเสียงเป็นอารมณ์ แต่เสียงนั้นกล่าวถึงอะไรก็มีสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ ถ้ากล่าวถึงเรื่องอื่นทั้งหมดซึ่งไม่ใช่ธรรมก็มีเรื่องอื่นทั้งหมด และในชีวิตของเราในสังสารวัฏฏ์ เราฟังเรื่องธรรมมากพอไหมที่จะเป็นอุปปนิสสยโคจร จนกระทั่งอารักขา คุ้มครองไม่ให้เราไปในทางที่ผิด หรือในทางอกุศล ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ที่เราไม่เกิดอกุศลเห็นผิดเพราะอะไร ถ้าเราไม่มีการฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคง อะไรจะคุ้มครองเราไม่ให้ไปในทางที่ผิดได้

    เพราะฉะนั้น การคุ้มครองไปในทางที่ถูก จนถึงถูกที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ อุปนิพันธ เพราะเหตุว่าเราฟังเรื่อง เราฟังเสียง แต่เราไม่รู้ความจริงว่า ขณะนี้เสียงดับแล้ว จิตที่ฟังก็ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นและดับไป ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังอย่างนี้ จะมีความเข้าใจได้ไหมว่าไม่มีเรา ซึ่งกว่าจะไม่มีเราจริงๆ ก็ต้องฟังคำของบิดา คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้กำเนิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน

    ด้วยเหตุนี้เราต้องรู้ว่า เรากำลังฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ที่สามารถทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งถึงที่สุด คือดับได้ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ต้องรู้ประโยชน์ รู้คุณค่า รู้การที่จะมีสิ่งนั้นต่อไป เพราะทุกคำของพระองค์เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา ใช่ไหม ไม่ใช่จุดประสงค์ให้เราเป็นคนดีเลิศ แต่ว่ายังคงเป็นเราอยู่ แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา

    ดี เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เราอยู่ที่ไหน ดีนั่นเป็นเราได้ไหมในเมื่อหมดแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว หรือไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรืออะไรทั้งหมดก็ตาม มีปัจจัยจึงเกิดได้ ทรงแสดงปัจจัย ความเป็นสิ่งที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ โดยละเอียดยิบอย่างยิ่ง แม้แต่รูปธรรม จนกระทั่งถึงสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น เสียง ใครมองเห็น และเสียงมีได้อย่างไร ถ้าไม่มีมหาภูตรูป คิดดู แม้เสียงหนึ่งก็ยังทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งถึงความหลากหลายว่า เสียงนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากอุตุ ฟ้าร้อง หรือว่าเกิดจากจิต ที่เป็นไปตามความคิดที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ทุกอย่างเป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเรา

    เพราะฉะนั้น ฟังแล้วสงสัย ดีไหม อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ ดีไหม ก็ไม่ใช่เรา ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ฟังสิ่งซึ่งสามารถทำให้ได้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ดีกว่าไปรู้หมดเลย คำนี้ว่าอย่างนี้หมายความถึงอะไร อยู่ที่ไหนอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะเป็นเราทั้งหมด แต่อุปนิสสยโคจร มั่นคงหรือยังว่า ไม่มีเรา แค่นี้

    ไม่ว่าจะพูดอะไรกัน เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เรา เสียงก็เป็นเสียง ได้ยินก็เป็นได้ยิน คิดก็เป็นคิด ชอบก็เป็นชอบ จำก็เป็นจำ ทุกอย่างทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อเป็นอุปนิสสยโคจรว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียวจนกระทั่งอารักขา คุ้มครองไม่ให้ไปในทางที่ผิดได้ ไม่ไปสำนักปฏิบัติ ไปทำไม

    เพราะฉะนั้น นี่เพราะอุปนิสสยโคจร แต่ถ้าไม่มีอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนี้ อะไรก็คุ้มครองไม่ได้ ก็ต้องไปตามความเห็นผิด ซึ่งก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ทุกคำ เป็นคำที่จะให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีว่า ไม่ใช่เรา แต่เพราะเคยเข้าใจผิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ และไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ก็จะได้เข้าใจทุกคำเพื่อรู้ว่า แม้กำลังฟังก็เป็นธรรมซึ่งเกิดดับ ไม่ใช่เรา แล้วไม่ใช่แต่เฉพาะเพียงเสียงกับฟัง ทุกอย่างหมดไม่ว่าไปทางไหน เกิดแล้วจึงปรากฏ แต่ไม่มีใครเห็นการเกิดและดับกัน มีแต่การสืบต่ออย่างแนบเนียนมาก รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ปกปิดความจริงว่าขณะนี้ไม่มีอะไร แต่มีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปแต่ละหนึ่ง

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น กุศลที่จะเป็นอารักขโคจร ที่มาจากในส่วนของอุปนิสสยโคจรในพระศาสนานี้จริงๆ จะต่างจากกุศลที่เกิดจากการสะสมทั่วๆ ไปอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่าว่า ไม่ให้ทำอย่างนี้ ไม่ให้ทำอย่างนั้น แค่นี้ก็ต้องรู้ว่า อะไรเป็นอารมณ์ของบิดา ไม่ใช่เป็นการไม่รู้แล้วก็ห้ามไม่ให้ทำ เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจความจริง

    ขณะที่กำลังดูโทรทัศน์เป็นธรรมหรือเปล่า พูดได้ ตอบได้ แต่เป็นขณะที่กำลังดูหรือเปล่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามั่นคงไหม เป็นอุปนิสสยโคจร คือคำของผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความจริง มั่นคงระดับไหน ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น ห้ามไม่ให้ทำอย่างนี้ เพราะห้ามไม่ได้ แต่ว่าเข้าใจได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธ ศาสนา คำสอนของผู้รู้

    ดังนั้น เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง จะทำอะไรก็ตามแต่ เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าเป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เป็นแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งต่างกันไปหลากหลาย แค่เพียงเกิดและดับ แล้วไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏฏ์ จะนับได้ไหมว่าเท่าไหร่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    28 ก.ค. 2568