ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453


    ตอนที่ ๑๔๕๓

    สนทนาธรรม ที่ บ้านพลตรีเสริม ภู่หิรัญ

    วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ แล้วพูดคำที่สามารถทำให้เราได้เข้าใจถูกตามความจริงว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ถ้าเป็นนามธรรมเกิด ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ แล้วไม่ไปไหนด้วย เมื่อรู้แล้วก็ดับ เห็นแล้วก็ดับ ได้ยินแล้วก็ดับ แต่ละคำที่คิดแล้วก็ดับ แล้วทรงแสดงว่าก่อนคิดจะเกิด ก่อนเห็นจะเกิด มีจิตประเภทไหนเกิดสืบต่อกัน ละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจถูก ถ้าถามว่าฟังทำไม ก็ฟังเพราะเหตุว่าเราไม่ได้รู้ความจริง เมื่อได้ยินคำอื่นซึ่งไม่ใช่ที่เราคิด คำนั้นกับคำที่เราเคยคิดมาก่อน คำไหนถูกต้อง คำไหนจริง นี่คือประโยชน์ของการฟัง

    เมื่อครู่นี้เราไม่ได้พูดถึงคำว่า ปฏิจจสมุปบาท คืออะไรต่างๆ เพราะเหตุว่าเราต้องเข้าใจตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตาม ต้องตั้งต้นตั้งแต่ต้น เพราะถ้าเรียนครึ่งๆ กลาง หรือเรียนตอนปลายก่อน ไม่ได้เรียนตอนต้น ไม่ได้เข้าใจตอนต้น จะเข้าใจจริงหรือ

    ดังนั้น เราจะไม่นำปฏิจจสมุปบาท หรือว่าอริยสัจจะ อายตนะ ธาตุใดๆ มาพูดถึง แต่จะพูดถึงทีละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ธรรมคืออะไร ที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดง และสภาพธรรมที่มีจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงจากที่ได้เเต่จำคำ ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้เลย มาเป็นความเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ เพราะมีจริงๆ ถ้าไม่มีจริงๆ จะพูดถึงสิ่งนั้นโดยละเอียดยิ่งได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ก่อนว่าธรรมคืออะไร ต้องมั่นคงว่าธรรมเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้เลย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เปลี่ยนไม่ได้ เพราะตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ได้ตรัสรู้

    ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงบ้าง เเต่ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ถูกคือถูก ผิดคือผิด ก็จะรักษาคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาให้เราได้ฟัง และได้เข้าใจขึ้นได้ ถ้าบอกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ เเต่ไม่เข้าใจธรรมก็คือเป็นชาวพุทธไม่ได้ เพราะพุทธคือ รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ได้ทรงแสดง ไม่ใช่ว่าเราไปรู้เอง คิดเอง

    ผู้ฟัง เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาค่อยๆ ดีขึ้น ฟื้นขึ้น

    ท่านอาจารย์ มีทางเดียวคือ ให้คนเข้าใจธรรมถูกต้อง โดยการพูดความจริงทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นการรักษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปคิดกันเอง และทำสิ่งที่ทำลายพระศาสนาโดยความไม่รู้

    ก่อนอื่นต้องทราบว่า ความไม่ดีทั้งหมดเพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเป็นปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งปัญญาจะนำไปในกิจที่เป็นประโยชน์ และถูกต้องทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกิจอะไรก็ตาม โดยขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็เข้าใจผิด ทำผิดๆ เช่น สำนักปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุุทธเจ้าโดยให้คนไปทำ แต่ไม่มีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นการช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ส่งเสริม เพราะไม่เข้าใจจริงๆ

    ไปสำนักปฏิบัติ กลับมาแล้วก็ทุจริตได้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะอะไร จะไม่มีทุจริตได้จริงๆ เมื่อไหร่ ขั้นไหนของปัญญา ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร

    วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวันที่มีโอกาสได้ฟังสิ่งซึ่งมีประโยชน์ที่สุดและมีค่าที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้น แต่ละขณะก็นำมาซึ่งความรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้ก็ไม่มี วันไหนๆ ก็ไม่มีที่จะได้ฟังคำซึ่งพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นต้องเห็นค่าของทุกคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ และใครไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย นอกจากได้ฟังจากคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว

    ดังนั้นแต่ละนาที ประโยชน์สูงสุดก็คือ ได้เข้าใจคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมดเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี ซึ่งเป็นคำที่ทุกคนมีโอกาสได้ฟัง แต่ต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือ ต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ถ้าไม่เข้าใจจริง ความเข้าใจก็คลาดเคลื่อน แล้วถ้ามีคนที่คิดเองก็ยิ่งทำให้พระศาสนาอันตรธาน พ้นจากความเข้าใจถูก ความเห็นถูก

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง และคำจริงที่ได้ฟัง การฟังเพื่อประโยชน์คือ การเข้าใจถูกต้อง วันนี้กรุณาซักถาม จนกว่าจะเข้าใจเเต่ละคำถูกต้องจริงๆ จึงจะเป็นประโยชน์ ขอเชิญเลย

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวันของเราที่อยู่ท่ามกลางอกุศล แล้วสิ่งที่มีจริงที่ควรรู้ยิ่งในชีวิตที่เกิดมาในชาตินี้ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ สั้นๆ แต่ยาก ก็คือทุกคนรู้จักสิ่งที่มีจริง ถูกต้องไหม เพราะกำลังปรากฏทางตา เห็นสิ่งต่างๆ เสียงก็ปรากฏ ทุกอย่างก็ปรากฏทั้งวันเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นปรากฏแต่ไม่รู้ความจริง จนตลอดชีวิตก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจได้เลยตั้งแต่เกิดจนตาย จนกว่าจะรู้ประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างถูกต้อง แต่ก็คิดเองไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ จนถึงจากโลกไปก็ด้วยความไม่รู้อีก เเต่ว่ามีผู้ที่สามารถเปิดเผยความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจะฟังคำต่างๆ เหล่านั้นเพื่อเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า ต้องไตร่ตรองเอง คิดเอง

    ผู้ฟัง อะไรเป็นสิ่งที่จะเกื้อหนุนให้มั่นคง ในการที่จะเห็นประโยชน์ของการเข้าใจสิ่งที่มีจริง ณ ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ กำลังอยากหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น นอกจากสิ่งที่มีจริงคือ เห็นขณะนี้ ก็ยังมีการอยาก การยึดถือ ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือแม้แต่สภาพเห็น จึงมีความอยากเห็น แต่ถ้ารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วยังไม่รู้ ก็ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ได้ยินเท่านี้ก็อยากจะถึงการที่จะดับกิเลส หรืออะไร เพราะฟังจากคำถาม เป็นคนที่เคยฟังมาแล้ว จึงสามารถที่จะพูดคำธรรมบางคำได้ ไม่ใช่คนที่ไม่เคยฟังเลย ถ้าคนที่ไม่เคยได้ฟังธรรมเลยจะไม่พูดถึงคำต่างๆ เหล่านี้

    ฟังแล้วต้องเป็นคนที่ตรง ตรงจริงๆ ว่าฟังทำไม ฟังเพื่ออะไร เพราะกำลังฟังอยู่ ทั้งๆ ที่กำลังฟัง ถ้าไม่รู้จุดประสงค์จริงๆ ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากการฟัง ดังนั้นฟังทำไม ฟังเพื่ออะไร ทั้งหมดคือการไตร่ตรอง แต่ว่าถ้าไม่มีใครถามให้คิดก็จะผ่านไปเลย และก็งงว่าเราฟังทำไม มีประโยชน์อะไรที่จะฟัง

    เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจก่อนฟัง ทำไมฟัง ไม่ใช่เพียงแค่อยากฟัง ใช่ไหม อยากฟังตั้งหลายอย่าง แต่นี่คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืม ที่ฟังนี้เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงฟังเพื่อให้รู้ว่าพระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าอยากจะรู้มาก แต่รู้ว่าต้องฟัง จึงสามารถที่จะเข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร เพราะทุกคำของพระองค์ต้องมาจากการที่ได้ตรัสรู้ เป็นผู้ที่รู้ประโยชน์ของการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    ทุกคนเกิดมาหลายชาติแล้ว นับไม่ถ้วน แต่ว่ามีบ้างไหมที่จะคิดอย่างพระโพธิสัตว์ มีสิ่งที่กำลังปรากฏแน่นอน และความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้น จะเห็นความอยาก กับการที่มีฉันทะ มีความพอใจในความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี เพราะสิ่งที่มี มีโดยที่ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น คิดก็มี เห็นก็มี ได้ยินก็มี

    ในวันหนึ่งๆ มีใครบ้างที่คิดว่า เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจสิ่งที่มีให้ถูกต้องว่า สิ่งนี้ไม่ได้มีตลอดไป เห็น ไม่ได้เห็นทั้งวันอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่าเห็นไม่ได้หายไปไหน หรือว่าไม่ได้ดับไปเลย เพราะฉะนั้น ความจริงของเห็นเมื่อเกิดขึ้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่วันหนึ่งๆ ก็ไม่ได้มีแต่เห็น ได้ยินเสียงก็มี ได้กลิ่นก็มี ลิ้มรสก็มี แล้วความจริงของสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆ ที่เหมือนมีเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น การที่พิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่มีด้วยความที่มีฉันทะ ที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี เพราะมีจริงๆ ได้ยินแล้วหมดไป ไปไหน ถ้าได้ยินเกิดขึ้นอีกก็ไม่ใช่ได้ยินที่ดับไปแล้ว แต่ต้องเป็นได้ยินใหม่ ดังนั้นถ้าใครเห็นประโยชน์ว่า เกิดมาแล้วไม่รู้สิ่งที่มีซึ่งบังคับให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็ตาย บังคับไม่ให้ตายก็ไม่ได้ สิ่งต่างๆ ที่สะสมมา ติดข้องต้องการทั้งหมดก็ไม่ปรากฏอีกต่อไป ไม่กลับมาอีกเลย และเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรอีก ก็แสดงเห็นว่าจากการพิจารณา ค่อยๆ เห็นว่าสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง และหลากหลายมาก แต่ความจริงแท้ของสิ่งที่มีคืออย่างไร

    นี่เป็นการเริ่มต้นของการที่ล้อมรอบด้วยสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้สักนิดหนึ่งว่าสิ่งนั้นๆ คืออะไร แล้วทำไมไม่มีอยู่ตลอดเวลา โกรธเกิดขึ้น ไม่ได้ตลอดวัน ทั้งวัน ทั้งปี ทั้งเดือน โกรธนานเท่าไรก็แล้วแต่เหตุปัจจัย และเดี๋ยวนี้โกรธไม่มี โกรธไปไหน อะไรทำให้โกรธนั้นหายไป

    ชีวิตเป็นสิ่งซึ่งถ้าเห็นประโยชน์ว่า มีแต่ความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ก็เพราะมีจริงจึงสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น บำเพ็ญบารมี เพราะเหตุว่าอกุศลธรรมคือ ความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นความรู้ได้ ไม่ว่าเกิดเมื่อไหร่ต้องเป็นอย่างนั้น ใครจะไปเปลี่ยนอกุศลให้เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนความโลภให้เป็นความโกรธ ใครจะเปลี่ยนความไม่รู้ให้เป็นความรู้ ไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น ทุกครั้งที่เกิดเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ความละเอียดอย่างยิ่งมาจากการมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏ แล้วก็มีการไตร่ตรองพิจารณาเพื่อให้เข้าใจความจริง ซึ่งแสนยาก

    สังเกตุได้ รู้ได้จากชีวิตของแต่ละคนว่าฟังธรรมมานานเท่าไหร่ แต่มีความเข้าใจในคำที่ได้ยิน เข้าใจคำ แต่เข้าใจสิ่งที่คำนั้นกล่าวถึงหรือยัง เช่น เห็น มีใครบ้างที่ไม่เห็น ทุกคนรู้จักเห็นเพราะกำลังเห็น จะบอกว่าไม่รู้จักเห็นได้อย่างไร เห็นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนี้ คือมีสิ่งที่กำลังปรากฏเวลาเห็นเกิดขึ้นเเล้วก็คิดว่านี่คือถึงที่สุดของความเข้าใจความจริง แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร เห็นมี ซึ่งใครก็ไม่ได้ทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้วิเศษมาบอกว่าเขาทำให้เห็นเกิดได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    แสดงให้เห็นว่า เกิดมาล้อมรอบในสิ่งที่มีด้วยความไม่รู้ จะรู้ได้ต้องไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งอกุศลทุกอย่าง เพราะไม่รู้ ถ้าขณะใดเป็นความดีงาม ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้เขากังวลใจ เป็นต้น แต่รู้ว่าถ้าค่อยๆ ชำระจิตซึ่งไม่รู้ โดยการที่ทำให้ความไม่รู้แล้วเกิดโทษมากมายที่เป็นอกุศลต่างๆ ด้วยการทำความดี เพราะขณะใดที่ทำความดี ขณะนั้นไม่มีความชั่วเกิดร่วมด้วย ธรรมที่เป็นฝ่ายดีต้องเป็นฝ่ายดี ต้องเกิดกับสิ่งที่ดี ถ้าจิตเป็นสภาพซึ่งผ่องใส ปัณฑระ หมายความว่า จิตแท้ๆ ตัวจิต เฉพาะจิต ไม่ดี ไม่ชั่ว แต่ว่ามีสภาพธรรมซึ่งมีความหลากหลายมาก ธรรมที่ดีก็มีที่เกิดกับจิต ธรรมที่ไม่ดีก็มีที่เกิดกับจิต เป็นต้น

    แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเริ่มมีการไตร่ตรองได้ยินได้ฟัง และสนใจที่จะรู้ว่าความรู้ ความเข้าใจถูกต้องจะนำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่าความไม่รู้ คนนั้นทั้งๆ ที่เกิดในโลกนี้เเต่ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ก็เริ่มจากการที่เมื่อได้ยินเเล้วสนใจไหม หรือคิดว่าไร้ประโยชน์

    นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะรู้ว่า ผู้ใดสามารถที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด และก็เข้าใจธรรมได้ถูกต้อง ไม่ใช่คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องแล้ว เพราะต้องมีคนที่รู้กว่า และคนที่รู้ถึงที่สุดจากการที่ได้ฟังคำนี้ จริงไหม ก็ต้องมาจากคนที่ได้รู้ความจริงนั้น จึงสามารถที่จะกล่าวความจริงได้ ถ้าไม่รู้ความจริงก็กล่าวความจริงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียด จะชวนใครให้ฟังธรรม รู้เลย พูดอยู่แท้ๆ ต่อหน้าต่อตาก็ไม่สนใจเลย รู้ได้จากการที่คุยกันบ้าง และหลับไปบ้าง รู้ได้เลยว่าพยายามที่จะไม่หลับ เเต่นิ้วค่อยๆ ลงมาทีละน้อยๆ

    แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถกั้นสิ่งที่ปรากฏที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นได้ เขาเองก็คงไม่อยากจะหลับขณะที่ฟัง แต่ใครจะห้ามความง่วง ถ้าไม่ง่วงจะหลับไหม เเล้วอาการของความง่วงก็ค่อยๆ มาทีละเล็กทีละน้อยจนมากขึ้น จนไม่รู้ตัวว่าขณะนั้นทำอะไร แสดงให้เห็นว่าความจริงต้องเป็นความจริง ขณะนั้นไม่ได้ฟังคำที่มีประโยชน์ที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แวดล้อมทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร และแม้แต่คนที่เข้าใจว่ามีตัวเองกำลังอยู่ตรงนั้น กำลังฟัง หรือกำลังทำอะไรก็ตามแต่ มีคนที่รู้ความจริงที่จะพูดถึงขณะนั้น สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นตัวเป็นใคร ความจริงคืออะไร จึงต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธาผ่องใส ไม่มีความติดข้องในตัวตน แต่รู้ว่ามีสิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากคำของผู้ที่ได้รู้ความจริงนั้นแล้ว

    ทุกคนขณะนี้กำลังพูดถึงตัวเองหมด ทุกคนเป็นอย่างนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น มีความมั่นคงที่จะรู้ ที่จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือว่า แค่ฟัง ก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เหมือนยากที่สุด แต่ความจริงก็คือสิ่งที่มีทั้งหมดนี่เอง

    ผู้ฟัง เจริญกุศลท่ามกลางอกุศล คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้รู้จักความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏแวดล้อมตัวทุกขณะ รู้จักหรือยัง

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าอะไร

    ผู้ฟัง รู้ว่าเห็น รู้ว่าได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ทำเห็นให้เกิดขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ทำ

    ท่านอาอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และอยู่ๆ เห็น ก็เกิดโผล่ขึ้นมาเฉยๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่อาศัยทำให้เห็นเกิดขึ้น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ รู้จักสิ่งนั้นหรือยัง ยังไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกำลังอยู่ท่ามกลางความไม่รู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เเม้เห็นมีจริง ก็ไม่รู้ว่าทำไม่ได้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อย่างอื่นทำให้เกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าอะไรทำให้สิ่งนั้นๆ ๆ ๆ เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ต้องมีเหตุ

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้เหตุนั้นไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คืออยู่ท่ามกลางความไม่รู้ และความไม่รู้เป็นกิเลสหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกิเลส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยู่ท่ามกลางกิเลสหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบคำถามได้แล้วใช่ไหม การสนทนาจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าผู้ฟังไม่เข้าใจ หรือคิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นที่เป็นประโยชน์ที่สุดก็คือ เป็นผู้ที่ต้องตอบโดยคิด ไม่ใช่โดยจำ ไม่ใช่โดยฟังเขามา จึงจะเป็นความเข้าใจของตนเองซึ่งมีค่าที่สุด คนอื่นมอบให้ก็ไม่ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว จะบันดาลให้คนอื่นรู้อย่างพระองค์ก็ไม่ได้ แต่รู้ว่าทุกคำที่ตรัสไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์ เป็นปาฏิหาริย์ จากการไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้นว่ามีอะไรในโลกนี้ และสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น เป็นเราหรือเปล่า เป็นเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเป็นอะไรก็ตามความเป็นจริง เข้าใจถูกเมื่อไหร่ขณะนั้นรู้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้กับ ไม่รู้ ก็ต่างกัน

    ผู้ฟัง ฉันทะที่จะรู้ความจริงเป็นอย่างไร ต่างกับอยากจะรู้ความจริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำ แล้วก็อยากจะรู้ความจริงว่า ฉันทะคืออะไร คือความต้องการที่จะทำ ซึ่งไม่ใช่ความติดข้อง แต่ความต้องการที่จะทำเกิดกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ แต่โลภะเกิดกับโทสะมูลจิตไม่ได้ และโทสะก็เกิดกับจิตที่มีโลภะเกิดร่วมด้วยไม่ได้ แต่ฉันทะสามารถที่จะเกิดได้ทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และฝ่ายที่เป็นอกุศล เพราะเหตุว่า ขณะนั้นไม่ใช่โลภะคือความติดข้อง และไม่ใช่โทสะซึ่งเป็นความขุ่นเคืองไม่พอใจ แต่กำลังทำสิ่งใดทั้งๆ ที่โกรธ ทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ทำได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นทำเพราะโกรธ โกรธต่อไป ทั้งๆ ที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็โกรธต่อไป ตอนนั้นอยากจะทำดีไหม

    ผู้ฟัง ขณะนั้นก็คงไม่อยากทำดี เพราะว่าอยากจะโกรธต่อไป

    ท่านอาจารย์ กำลังโกรธ ไม่อยากทำดีใช่ไหม แต่ต้องการโกรธ

    ผู้ฟัง ต้องการโกรธ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือฉันทะ ทุกคนบอกว่าไม่ชอบโกรธ ไม่ชอบก็แสดงว่าไม่ใช่ความติดข้องใช่ไหม แต่ทำไมมีโกรธ เเล้วโกรธก็ไม่หยุดด้วย ยังอยากจะโกรธต่อไปด้วย กำลังทะเลาะกัน ไม่เห็นหยุดสักทีเพราะต่างมีฉันทะที่จะทะเลาะ ไม่ใช่มีโลภะที่อยากทะเลาะ แต่ว่าเป็นฉันทะที่จะทะเลาะกัน

    ผู้ฟัง ขณะใดที่มีความโกรธเกิดขึ้นก็ต้องมีฉันทะเกิดร่วมด้วยเสมอใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ฉันทะที่จะโกรธ ทางฝ่ายกุศลก็เช่นเดียวกัน คุณชานนท์ตอนบินมาทำธุระ มีฉันทะไหม

    ผู้ฟัง ณ ขณะนั้นคิดว่าเป็นวิริยะมากกว่า

    ท่านอาจารย์ บางทีก็ไม่ค่อยอยากมาหรอก ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากทำงาน แต่ต้องทำใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต้องทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็ต้องมีฉันทะเกิดร่วมด้วย เมื่อเสร็จงานแล้วจะกลับไปก็ได้ แต่ทำไมไม่กลับ เพราะมีฉันทะที่จะได้ฟังธรรม แล้วก็มาที่นี่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เห็นความต่าง เพราะเหตุว่าฉันทะเกิดกับกุศลก็ได้ เกิดกับอกุศลก็ได้ แต่โลภะ โทสะ ต้องเกิดกับอกุศลเท่านั้น

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ฉันทะที่จะรู้ความจริง ต้องเป็นฉันทะที่เป็นฝ่ายกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจถูกต้อง แล้วก็เห็นจริงๆ เข้าใจจริงๆ ว่ามีหนทางเดียว ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น ทุกอย่างต้องตรงและถูกต้อง จึงจะเป็นธรรมที่ไม่ใช่อกุศล แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีเรา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เดี่ยวนี้จริงๆ แล้วไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะรู้ฉันทะที่ต่างกับโลภะได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังรู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เเสดงให้เห็นว่ากำลังข้ามขั้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันที่จะเข้าใจถูกต้องที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกว่าจะถึงขั้นนั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริง โดยไม่ใช่บังคับบัญชา ไม่ใช่โดยอยาก ขณะนี้อยากรู้เรื่องนี้ใช่ไหม แต่เวลาสภาพธรรมปรากฏกับปัญญา เพราะเราอยากหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เพราะเราอยากเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะมีเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เพราะความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่ได้คิดเลยว่าการที่เราจะเข้าใจเรื่องฉันทะ จนกระทั่งรู้ความต่างกันของฉันทะกับโลภะก็ต้องด้วยเหตุปัจจัย แต่เหตุปัจจัยนั้นยังไม่ถึงเลย แต่ใจเอื้อมไปถึงว่าไม่ใช่เพียงแค่ฟังเข้าใจ ยังอยากจะรู้ขณะที่เป็นฉันทะด้วย เพราะฉะนั้นโลภะไม่ไปไหนไกลเลย ตามติดตลอด ไม่ว่าจะเห็น เพียงแค่เห็นดับ จิตเกิดสืบต่อ ๓ ขณะ อกุศลเกิดแล้ว ใครรู้

    การที่จะมีความเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ ก็คือ สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ ควรรู้สิ่งนั้น ควรเข้าใจสิ่งนั้น ตามลำดับจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ถ้าเราคิดถึงฉันทะ ขณะนั้นคิด ควรรู้ไหมว่าไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    21 ก.ค. 2568