ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459


    ตอนที่ ๑๔๕๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร

    วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ แค่เพียงเกิดและดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ จะนับได้ไหมว่าเท่าไหร่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหม เพราะเป็นเพียงหนึ่งเดียว หนึ่งนั้นจะกลับมาเป็นอีกไม่ได้เลย หนึ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น ดับแล้วไม่กลับมาเป็นหนึ่งนั้นได้ แต่ต้องเป็นหนึ่งใหม่ตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง อะไรจะเกิดขึ้นจะหวั่นไหวไหมว่า เกิดแล้ว ต้องรู้ด้วยว่าเกิดแล้วโดยไม่มีใครไปทำ แค่นี้ก็มั่นคงแล้ว เราทำไม่ดี เรามาแล้วใช่ไหม เราอย่างนั้น เราอย่างนี้ หมดเลยเป็นเราทั้งนั้น แต่ไม่ได้มั่นคงว่า เกิดแล้ว ไม่ใช่เราทำ หรือใครทำทั้งสิ้น แต่ต้องเกิดเป็นอย่างนั้นเพราะมีปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้น ก็เกิดเป็นอย่างนั้น ปัญญาที่เข้าใจนี่เอง อุปนิสสยโคจร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งหมดก็สามารถที่จะรู้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ

    ต้องเข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เรา โดยไม่ใช่กำลังคิดว่า ไม่ใช่เรา แต่ความเป็นสิ่งนั้นไม่ใช่เรา ทั้งหมดจึงเป็นอุปนิสสยโคจร ซึ่งถ้ามีมากก็อารักขา ไม่ให้เราเป็นไปในทางที่ผิดเพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใครชวนไปสำนักปฏิบัติไม่มีทางเลยที่จะไป เพราะว่า สำนักคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ให้ทำ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น แม้แต่สำนักก็ไม่รู้ว่าอะไร ปฏิปัตติก็ไม่รู้ว่าอะไร ก็ชวนให้ไปไม่รู้แล้วจะไปหรือ ดังนั้น กว่าจะเป็นอุปนิสัยยโคจร อารักขโคจร จนกระทั่งถึง อุปนิพันธ เดี๋ยวนี้แข็งมีจริง เกิดแล้วใช่ไหม รู้ตรงไหน แข็งกำลังปรากฏ ถ้าไม่รู้ตรงแข็ง แข็งดับแล้ว ไม่มีอีกเลยที่จะกลับมาให้รู้ตรงนั้น แต่แข็งใหม่ก็เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มีมาก แล้วก็ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้มาตลอดในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ละเอียดจริงๆ ที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วพระองค์จะไปห้ามใครให้ทำอะไร แต่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นโทษอย่างไร ให้ผู้นั้นพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งมีปัจจัย คือ อารักขโคจร ไม่ทำสิ่งนั้นอีกต่อไป เพราะเหตุว่า เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี บังคับบัญชาไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้คือ ถูกแล้ว ไม่ใช่เราก็ถูก

    เพราะฉะนั้น สะสมความรู้สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ด้วย ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเป็นสิ่งที่มีเมื่อปรากฏ แค่คำนี้ คำเดียว ไม่ปรากฏเเล้วยังมีไหม แต่จำไว้ว่ามี มีบ้าน มีเพื่อน มีทุกสิ่งทุกอย่างหมด แต่ความจริงไม่มี เพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เล็กน้อยละเอียดสักเท่าไหร่ก็ตาม เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่า เกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐาน เมื่อเป็นรูปร่างสัณฐานก็จำเลย วิปลาส ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องความเข้าใจพระธรรมทุกคำที่ละเอียด เเละสอดคล้องแล้วก็เป็นประโยชน์ นำมาซึ่งอุปนิพันธโคจร อารมณ์ที่ปรากฏซึ่งทำให้ขณะนั้นสติปัญญาไม่ไปที่อื่นเลย แต่ผูกพันอยู่ที่ตรงนั้น หมายความว่า ไม่ละไปจากการที่จะพิจารณาเข้าใจสิ่งที่กำลังมี

    ดังนั้น ฟังแล้วจนกว่าจะเป็นอุปนิสสยโคจร จนกว่าจะเป็นอารักขโคจร จนกว่าจะเป็นอุปนิพันธโคจร ซึ่งทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าเราผ่านไปก็จำชื่อ แล้วจะสอดคล้องกันอย่างไร ตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งอารักขา จนกระทั่งไม่ทำให้เราไปหลงที่จะมีอย่างอื่นเป็นอารมณ์ นอกจากเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ยิ่งยากเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

    ถ้าบอกให้เราทำก็ไปนั่งทำกันเป็นแถว คิดว่าเดี๋ยวก็จะรู้ แต่ไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโทษด้วย ที่ทำให้เข้าใจผิดว่าพระองค์สอนอย่างนั้น แล้วก็หลงบอกให้คนอื่นทำอย่างนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธจ้า ใครส่งเสริมก็ช่วยกันทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อละความต้องการ และการยึดถือว่ามีเรา หรือเป็นเรา ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่เข้าใจถูกต้อง ไม่อย่างนั้นดับไม่ได้เลย ก็ยังไปติดที่ความดีบ้างอะไรบ้าง แต่ความจริงทั้งหมดต้องมั่นคงว่า ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง อุปนิสสยโคจร ถ้าเป็นไปในทางที่เป็นกุศล ก็เป็นปัญญาของกัลยาณปุถุชน ท่านอาจารย์ให้คำชี้แนะด้วย

    ท่านอาจารย์ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นความจริงถึงที่สุดที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงนั้น จะต้องมีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสถึงโคจร ๓ ซึ่งเป็นหนทาง และเป็นอารมณ์ที่พระองค์ได้ดำเนินแล้ว

    ใครก็ตามที่จะสามารถประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ว่า เป็นธรรม ซึ่งเฉพาะหนึ่งที่สติกำลังรู้ตรงนั้น ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพนั้นด้วยความเข้าใจตามลำดับขั้น ที่จะถึงการประจักษ์แจ้งเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางที่ต้องเป็นไปตามลำดับว่า ถ้าไม่มีการฟังอย่างมั่นคงจริงๆ ว่า ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมเป็นธรรม ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการคิดซึ่งเป็นอารมณ์ ตรึกนึกถึงอารมณ์นั้น ด้วยความถูกต้องได้ว่า ธรรมดา แม้ขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ

    ด้วยเหตุนี้จากการฟัง มาเป็นความเข้าใจขึ้นๆ ตามลำดับขั้น จนถึงขณะที่กำลังเริ่มเป็นสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามไปประจักษ์การเกิดดับ อยู่ดีๆ ก็วอบแวบขึ้นมา มีอะไรมาเป็นเหตุที่จะให้เกิดอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น เขาไม่รู้เลยว่า ขณะที่เกิดอย่างนั้นเป็นเขาที่เห็น เป็นเขาที่คิด เป็นเขาที่จำ จึงไม่มีอารักขโคจร เพราะแค่ฟังว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ตู่เสร็จเลยว่า นี่ไงเสียง ดับแล้ว เมื่อครู่นี้รู้จริงๆ ว่า เสียงเกิดขึ้น ก่อนเสียงเกิดไม่มีเสียง และเสียงก็ดับ เท่านี้ไม่ใช่

    ดังนั้นจึงต้องฟังอย่างละเอียดอย่างยิ่งว่า แม้แต่การที่จะได้ฟังว่าอุปนิสสยโคจร คือพูดถึงอะไร พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เครื่องทดสอบก็คือว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่ามีปัจจัยก็เกิดขึ้นและดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ไม่ว่าอะไรทั้งหมด

    นี่คือ พื้นฐานที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ต้องเปรียบเทียบว่าถึงระดับไหน แต่ต้องมีตั้งแต่ไม่รู้เลย และก็ได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังคำของใครที่จะให้เข้าใจอะไร จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นในขั้นที่ฟัง จนกระทั่งสามารถมีขณะที่ระลึกได้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นสติที่เกิดขึ้นเเล้วก็รู้ว่า ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับเลย แล้วก็ยังไม่รู้ในความไม่ใช่เราด้วย

    เพราะเหตุว่า เพียงเพิ่งที่จะรู้ความต่างว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วขณะไหนที่จะเป็นอุปนิสสยโคจร ที่จะเป็นอารักขโคจร ก็ในขณะนั้นเลย ไม่ต้องรอขณะไหนที่จะไม่ให้เห็นผิด แต่ว่ากำลังจะเริ่มถึงอุปนิพันธ คือ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดก็ได้ฟังมาแล้วว่า ไม่ใช่เรา แล้วสิ่งนั้นก็อารักขา คือไม่ให้เราไปคิดถึงสิ่งอื่นด้วย ใช่ไหม

    แต่ว่ารู้ตรงนั้น คำว่า รู้ตรงนั้น กับ คิดถึงสิ่งอื่น ก็ต่างกัน อย่างเวลานี้มีแข็งใช่ไหม ยังไม่ได้รู้ตรงแข็ง แต่ฟังบ่อยๆ ขึ้น ไม่ใช่ให้เลือกไปรู้ตรงแข็ง แต่อารักขา ไม่ให้ไปจากแข็งที่ปรากฏ ไม่ให้ไปจากเสียง ไม่ให้ไปจากกลิ่น ไม่ให้ไปจากได้ยิน ไม่ให้ไปที่อื่น แต่ให้รู้ตรงนั้น ถึงตรงนั้น เฉพาะตรงนั้น ด้วยการที่บ่อยๆ เนืองๆ อุปนิพันธ ต้องนานเท่าไหร่กว่าจะค่อยๆ ชินในการเป็นธรรม

    จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งตามลำดับขั้น จนถึงการดับกิเลสหมดไม่เหลือเลย เป็นการแสดงความเป็นไปอย่างละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครที่จะไปแทรก ไปทำตรงหนึ่งตรงใดได้เลยทั้งสิ้น จะขาดอันหนึ่งอันใดไม่ได้เลย ในการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตรงตามที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง กว่าที่ความเข้าใจจะมั่นคงพอจะต้องถึงตอนไหน ท่านอาจารย์เคยพูดว่า ถึงวันหนึ่งความเข้าใจก็จะรู้ว่าเราถึงขั้นไหนแล้ว ผมสงสัยที่ว่าขั้นไหน คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราถึงขั้นไหนก็คือ ไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ความเป็นเราลึกแค่ไหน ไม่เคยคิดกันมาเลย ฟังเเล้วก็คิดว่าตรงนี้คงจะเป็นปัญญาระดับที่ไม่ใช่เราแล้ว คิดไปถึงตรงนั้นเลย แต่ว่าตามความเป็นจริง ยิ่งฟังยิ่งรู้ไหมว่าความเป็นเราลึกแค่ไหน เพราะฉะนั้น ที่ฟังมาแล้วทั้งหมดยังไม่ถึงขณะที่จะค่อยๆ ถอนความเป็นเราทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่ายังเป็นเราที่ฟัง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะรู้ความจริงว่า เราไม่ได้เป็นตัวตนที่มุ่งหวังจะเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันได้อย่างไร จากการที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสมาในสังสารวัฏฏ์มากมาย แล้วอยู่ดีๆ เเค่ฟังแล้ว นั่นเป็นวิปัสสนาเเล้ว นี่รู้ชัดแล้ว ขณะนั้นเป็นอย่างนั้นเเล้ว แล้วก็ยังสงสัยอยู่ร่ำไป เพียงแต่ว่าเมื่อฟังแล้วเป็นผู้ที่ตรงว่าเข้าใจไหม เข้าใจแค่ไหนเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วง เพราะความเข้าใจต่างหากที่จะเป็นผู้ที่ละความเป็นตัวตนซึ่งลึกมาก ไม่ใช่เราเข้าใจแค่นี้เเล้ว พอแล้ว เดี๋ยวเราก็รู้แล้ว แค่นี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่าลึกจนไม่ต้องไปคิดว่าจะหมดเมื่อไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาเข้าใจไหม เข้าใจแค่ไหน เข้าใจพอหรือยัง แค่นี้พอไหมที่จะเป็นการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม

    เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตื้นมากเลย แค่พูดแค่นี้ เรารู้วิปัสสนาญาณแล้ว เช่น ฉันกำลังก้าวเข้าไปในห้องน้ำ ขณะนั้นฉันรู้ว่าเป็นสภาพธรรมแล้ว ไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตื้นมากถ้าเป็นเพียงเท่านั้น แต่คิดถึงพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่มีทางที่ใครจะไปหวัง และคิดว่าจะเป็นพระโสดาบัน แต่เป็นแน่นอนเมื่อปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับ โดยไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืมว่า โดยไม่ใช่เรา นี่ยังเป็นเราอยู่ตรงนั้นที่กำลังก้าวเข้าห้องน้ำ ใช่ไหม แล้วก็มีสภาพธรรมที่คงจะเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่สงสัยว่าก็ธรรมดาแค่นี้เอง อะไรก็โผล่ขึ้นมาได้ เกิดขึ้นมาได้เมื่อมีปัจจัย

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความสงสัย มีความต้องการ ขณะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นมาได้ว่านี่เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่เรา แต่ใครคิดและลึกลงไปแค่ไหนหรือยัง ยังไม่ลึกอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า ถ้าลึกจริงๆ ต้องมีความมั่นคงว่า ไม่มีเรา ในขณะที่ฟัง

    ทุกคำในพระไตรปิฎกเป็นคำที่แสดงความไม่มีเรา ทั้งหมดชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าสามารถเข้าใจได้แค่ไหนว่า แม้พระองค์จะตรัสว่า บุตรมีหน้าที่เลี้ยงดูมารดา บิดา ตรงนั้นมีธรรมหรือเปล่า แต่เข้าไม่ถึงใช่ไหม ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมทั้งหมดเลย

    เพราะฉะนั้น แม้มารดาคือใคร ถ้าเป็นมารดา กับเป็นเรา เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา อย่างไรๆ ก็ต้องไม่ใช่เรา แต่มารดามีไหม มี ผู้ให้กำเนิด เป็นอะไร นามธรรม รูปธรรม ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องไม่ลืม มีแต่จิต สภาพรู้เดี๋ยวนี้ไม่เคยขาดไปเลย เมื่อครู่นี้ทำอะไรอยู่ทั้งหมดเป็นเราไปทั้งหมด ทั้งอร่อย ทั้งคิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างทุกประการ

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น อะไรจะเกิดก็คือ เป็นกุศลก็เกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย เป็นความไม่รู้ก็เกิดได้ เป็นความสงสัยก็เกิดได้ ทุกอย่างกว่าจะไม่มีเรา แล้วก็มีปัญญาที่เป็นเครื่องวัดด้วย

    ถ้ากบอยู่ในกะลาเเล้วใครมาบอกว่า ข้างนอกมีอะไรบ้าง กบนั้นจะรู้ไหมว่าอะไร หรือมีคนอยู่ใต้น้ำ คนข้างบนบอกบนบกเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดปานใด ไม่เหมือนที่เคยเข้าใจ ต้องเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยเกิดใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็จะต้องรู้จริงๆ ว่าเพื่อละความไม่รู้ และก็เป็นผู้ที่ตรง ทุกอย่างต้องมีความมั่นคงโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่าอย่างนี้อย่างนั้น แต่ชีวิตประจำวันนั่นเองเป็นเครื่องบ่งชัดว่า มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแค่ไหน

    เมื่อสักครู่นี้รับประทานอาหาร ใครรู้แข็งบ้าง มีแข็งหรือเปล่า มีก็ไม่รู้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมบ้างไหม ทั้งหมดเพราะหลงลืมสติ แล้วจะรู้ไหมว่าเวลาที่สติเกิด ไม่ใช่แค่เมื่อครู่นี้เราไม่รู้ เเต่ตอนนี้เรารู้ว่าแข็ง ไม่ใช่อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าง่ายๆ ใช่ไหม สติสัมปชัญญะ กับสติขั้นฟัง สติขั้นเริ่มที่จะรู้ความต่าง สติขั้นที่รู้ว่าเกิดน้อยหรือมาก ไม่ใช่ว่าเกิดแล้วก็ยังหวัง ยังรอ แต่ขณะที่เกิดกำลังรู้อะไร เข้าใจอะไร อยู่ที่ความเข้าใจเพราะไม่ว่าจะเป็นแข็ง ไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือจะเป็นกลิ่น มีพร้อมทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ไม่รู้สักอย่างใช่ไหม เป็นธรรมดา แต่ถ้ารู้ก็รู้สิ่งนี้เอง ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น แต่ว่าสิ่งนี้ถ้าไม่รู้ก็คือหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าอะไรจะเกิดที่จะให้รู้ได้ และสติจะเกิดเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ ทั้งหมดเป็นหนทางของอนัตตา เป็นเครื่องทดสอบความมั่นคง อุปนิสสยโคจร ต้องอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าได้ยินมาแล้วเราก็จำไว้ แล้วเราจะได้มาทำดู เมื่อเกิดขึ้นก็ว่าใช่แล้ว วันนี้เกิดน้อย อีกนานๆ เกิดอีกสักที ก็เป็นเราทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น แม้แต่เหตุใกล้ให้เกิดสติสัมปชัญญะก็มี ซึ่งทรงแสดงไว้ แล้วคนที่ไปสำนักปฏิบัติมีเหตุใกล้อะไรที่จะให้สติเกิดหรือเปล่า เพราะไม่รู้แม้ว่า สติ คืออย่างไร อะไรเป็นสติ ไม่รู้เลย จึงทำสติเพราะเขาบอกให้ทำ แต่ทำแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นสติหรือเปล่า ไปนั่งทำอะไร ก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้ทั้งหมด

    กว่าจะค่อยๆ ห่างความเห็นผิดมาทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งไม่เหลือเลย ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ใช่โสตาปัตติมรรคก็ยังมีทิฏฐานุสัย สีลัพพตปรามาส ลองคิดดู เรารู้แต่อย่างหยาบๆ ไปไหว้พระอาทิตย์บ้าง งูบ้าง ต้นไม้บ้าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ปัญญาอยู่ไหน

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ และความเข้าใจค่อยๆ ละสิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ตรงไม่จริง ไม่ถูกต้อง ถ้ายังไม่กล้าละก็หมายความว่ายังมีความเห็นผิดอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจตรงจริงๆ เพราะเหตุว่า ความเห็นผิดมีแน่นอน ระหว่างที่ยังไม่ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม จงใจนิดเดียว ปัญญาก็รู้ว่าไม่ใช่ จนกว่าจะละ ก็ยังมีความเห็นผิดละเอียดต่อไปอีก จนกระทั่งปัญญารู้ว่าไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางที่จะละความไม่รู้ เพราะมีความเห็นผิดต่างๆ โดยที่ไม่ปรากฏก่อนที่จะได้เข้าใจ เช่น ไปสำนักปฏิบัติ ตั้งใจไป อยากไปใช่ไหม แล้วเจตนาเจตสิกเป็นมรรคองค์ไหนในมรรคมีองค์ ๘ หรือเปล่า ก็ไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดมาก เเม้เกิดจงใจนิดเดียว แค่จะรู้ ก็รู้ว่าผิด อะไรรู้ ปัญญารู้ว่า ไม่ใช่ มีแต่เรื่องรู้ไปเรื่อยๆ

    อ.อรรณพ ความเป็นเราลึกแค่ไหน จะตอบได้แค่ไหน

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณที่หนึ่ง ปัญญาที่รู้แจ้ง จะมีอะไรสงสัยไหมขณะที่แจ้ง

    อ.อรรณพ ไม่สงสัย

    ท่านอาจารย์ แต่เป็นวิปัสสนาญาณที่หนึ่ง เพราะฉะนั้น ความเป็นเราหมดหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า สะสมมามากระดับไหน ขณะฟังไม่ต้องไปคิดว่า จะเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นสติปัฏฐาน เป็นอะไร เพียงได้ฟังสิ่งซึ่งยังไม่เคยฟังมาก่อน เพื่อจะได้พิจารณาความลึกซึ้งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมเลยว่ากำลังฟังคำของใคร และใครจะชื่อนี้ไม่ได้ ต้องเป็นคุณธรรมสูงสุด ที่สามารถตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง ตรัสรู้ คำนี้

    วิปัสสนาญาณที่หนึ่ง ยังเป็นเราใช่ไหม แต่ขณะเป็นวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่เรา เพิ่มความไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อย แต่รู้ว่ายังมีอยู่ และลองคิดถึงคำว่า วิปัสสนา ระดับไหน รู้แจ้ง ฟังอย่างนี้ไม่มีทางหรอก ก็ได้ยินแค่ว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เชื่อไหมว่าหนึ่ง นิดเดียว แต่ปรากฏเป็นตั้งหลายอย่างในห้องนี้ ประมาณไม่ได้ว่ากี่หนึ่งมารวมกันเป็นหนึ่งนี้ เป็นหนึ่งนั้น จนเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ ปรากฏทันทีที่ลืมตาก็มากมายเหลือเกิน นั่นคือการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว เข้าใจอย่างนี้เป็นวิปัสสนาญาณไหม

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงต้องเป็นความจริง ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณรู้อะไร จะต่างกับขณะนี้ไหม เพราะเหตุว่ากำลังเห็น หนึ่งขณะจะน้อยสั้นสักแค่ไหน ในเมื่อขณะนี้ก็ประมาณไม่ได้เลย เพียงแค่นี้ยังประมาณไม่ได้ แล้วทั้งหมดนี้จะประมาณได้อย่างไร ก็เห็นได้จริงๆ ว่าฟังอย่างนี้ไม่มีทางที่จะรู้แจ้ง

    เพราะฉะนั้น รู้แจ้งจะเป็นอย่างนี้ไหม แต่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังมีอย่างนี้ไหม นี่ก็ต่างกันแล้ว รู้แจ้งสิ่งที่กำลังมีอย่างนี้เลยเดี๋ยวนี้ไหม และอะไรที่จะรู้แจ้งได้ตามที่ทรงแสดงไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจขั้นฟังให้ค่อยๆ คล้อยไปว่า ความไม่รู้มากมายสักแค่ไหน ก็คือก่อนเห็น ไม่มีเห็น แต่มีจิตก่อนเห็น ปรากฏหรือเปล่า มีก็ไม่ปรากฏ จักขุทวาราวัชชน หรือ จะใช้รวมว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต ต้องเกิดก่อน ไม่มีใครรู้ และจิตที่เกิดก่อนปัญจทวารวัชชนต้องมีไหม มี รู้จิตนั้นหรือเปล่า ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณจะไปรู้อย่างนั้นไหม ต้องไตร่ตรอง ต้องเป็นคนละเอียด ไม่ใช่คนหลงทาง เมื่อได้ยินแล้วก็จะเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้ที่ปรากฏยังรู้ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ใครรู้ได้ แต่ต้องรู้ว่าตามความเป็นจริง ปัญญาจะรู้จักขุวิญญาณดับได้ไหม จักขุวิญญาณหนึ่งในวาระหนึ่ง รู้ได้ไหม รู้ไม่ได้ เพราะว่าต่อจากนั้นต้องมีจิตอื่นซึ่งไม่ใช่ปัญญา สัมปฏิจฉันนะต้องเกิดต่อตามวาระของจิต

    เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏ แม้วิปัสสนาญาณจะไปรู้แจ้งอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า หลังจากจักขุวิญญาณดับ ปัญญารู้จักขุวิญญาณไม่ได้ เพราะต้องเป็นสัมปฏิจฉันนะ ทุกอย่างเป็นความจริง

    แต่ความไม่รู้ก็ปรุงแต่งหลากหลายไปต่างๆ แล้วแต่ใครจะคิด แต่ความจริงต้องเป็นความจริง และความจริงตรงตามความเป็นจริง ก็คือว่าเป็นอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อทรงแสดงไว้อย่างนี้เเล้วจะไปเปลี่ยนไหม จะเป็นปัญญาที่จะไปเปลี่ยนได้ไหม ไม่ได้

    ปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ปัญญาไปเปลี่ยนความเป็นจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก รู้อย่างนี้ แต่ไม่ใช่อย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า สิ่งใดรู้ได้เพราะปรากฏ และเมื่อไม่ปรากฏจะรู้ได้อย่างไร ไม่ปรากฏก็ไม่มีทางรู้

    เพราะฉะนั้น ที่เราเข้าใจขณะนี้ มีเห็น ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าเห็นไหน นิมิต ไม่ต้องไปประมาณว่าเห็นไหน ดับทันที ที่พูดนี้ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว ดังนั้นไม่ใช่ไปเป็นเมื่อเป็นวิปัสสนาญาณรู้แจ้ง ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ยังเป็นเราใช่ไหม คิดดู

    เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์หรือยัง ต้องตรง เห็นหรือไม่เห็น อย่างนี้เรายังต้องคิดเลย แล้วถ้าไม่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ฉันเห็น เธอเห็นหรือเปล่า อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง คือต้องตรง จะเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์หลังจากที่อุทยัพพยญาณดับแล้ว ยังไม่พอ จิตต้องน้อมไปสู่ภาวะที่ดับซึ่งเป็นภังคญาณ จึงจะสามารถเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ได้

    เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าแสนง่าย ถึงแล้วหรืออะไรๆ เลยทั้งสิ้น เพราะแม้แต่เพียงญาณที่หนึ่งวิปัสสนาญาณ ก็ต้องเป็นสิ่งซึ่งเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ นับวาระจิตไม่ถ้วนว่าเท่าไหร่ แต่ก็มีวาระหนึ่งในวาระที่นับไม่ถ้วน ที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าวาระไหน เพราะว่าดับแล้ว แต่ปรากฏนิมิต

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    28 ก.ค. 2568