ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451


    ตอนที่ ๑๔๕๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านพลตรีเสริม ภู่หิรัญ

    วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าให้เขาได้ยินได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย ใครจะปฏิเสธความจริง เวลาที่ฟังสวดพระอภิธรรมเข้าใจไหม ถ้าไม่เข้าใจเป็นบุญหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าบุญคืออะไร จะรู้ได้เลยว่าความไม่เข้าใจแต่ละคำไม่ใช่บุญ ไม่ใช่ให้พูดคำที่ไม่รู้จัก และไม่ใช่ให้จำคำที่ไม่รู้จัก และคิดว่าการทำอย่างนั้นเป็นบุญ เพราะฉะนั้นต้องตรง ไปฟังสวดพระอภิธรรมในงานศพแต่ไม่เข้าใจ เป็นบุญหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น กี่คนที่ไม่เป็นบุญ กี่คนที่ฟังสวดแล้วไม่เข้าใจ ทั้งหมดของผู้ที่ไปในงานศพหรือเปล่า หรือว่าคนไหนฟังแล้วศึกษาธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เข้าใจแล้วจึงเข้าใจได้ จึงเป็นบุญ ต้องตรง แล้วยังจะทำสิ่งที่ไม่ตรงอยู่ต่อไปหรือไม่ เพราะเป็นอกุศล ถ้าจะเป็นกุศลก็เริ่มฟังเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้ถ้าได้ยินสวดที่ไหน ก็คือการทบทวนคำที่ได้ฟังแล้วให้เข้าใจขึ้น ภาษาบาลีคือคำว่า สาธยาย แต่ภาษาไทยเราใช้คำว่า สวด ถ้าสวดโดยไม่เข้าใจก็เสียประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย เสียประโยชน์คืออะไร เสียเวลาที่เวลานั้นจะมีค่าเมื่อมีความเข้าใจ

    ผู้ฟัง คือผมยังติดข้องอยู่กับคำว่า ปฏิปัตติ จากที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่นว่า ปฏิบัติเหมือนกับการฝึกฝน หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วเข้าใจทันทีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ทันที

    ท่านอาจารย์ แค่ได้ยิน ถ้าได้ยินบ่อยๆ แล้วก็เข้าใจคำที่ได้ยินบ่อยๆ ความเห็นถูกต้องก็ต้องเพิ่มขึ้น มากขึ้นกว่าตอนที่ได้ยินครั้งแรกๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องไตร่ตรอง ถ้าเราเรียนภาษาไทย เราต้องตั้งต้นด้วย ก ไก่ กี่วันเราจำได้ กี่วันเราเขียนตามได้ กี่วันเราเห็นที่ไหน เราก็รู้ว่านั่นคือ ก ไก่ ต้องอาศัยกาลเวลา แต่ ก ไก่ ธรรมดามาก น้อยนิดมาก แต่นี่คือตัวธรรมที่ไม่ใช่เรา กำลังมีอย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่เราจะค่อยๆ เห็นจริงว่าไม่ใช่เราแน่นอน เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นแล้วก็หมด ได้ยินแล้วก็หมด ไม่มีการทำ แต่มีการเข้าใจว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีความมั่นคงในความเป็นจริงคือไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าความจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แต่ต่อกันจนไม่มีเวลาให้คิดให้เข้าใจว่าสิ่งนี้ดับแล้ว อย่างแต่ละคำที่พูด จะมีเวลาพอสำหรับคนที่จะเข้าใจถูกต้องไหมว่า ดับหมดเลย ดับ หมด เลย เกิดเป็นเสียงแล้วก็ดับ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ มีเวลาพอที่จะเข้าใจความจริงนี้ไหม เพราะติดกันแน่นมาก

    มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งดูเหมือนมากมายหลายอย่าง แต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ ปรากฏจริงๆ แต่หลับตาแล้วมีไหม

    ผู้ฟัง หลับตา ก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ดอกไม้หายไป โต๊ะหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ปรากฏเลย แต่เมื่อลืมตา มาทันที มากมายหลายอย่างได้อย่างไร เห็นไหม แต่ถ้าเข้าใจความจริงว่าถ้าไม่เกิดไม่มีแน่ๆ เพราะฉะนั้นที่เกิด เกิดมากแค่ไหนจึงจะเป็นพัดลม จึงจะเป็นเสา จึงจะเป็นเก้าอี้ จึงจะเป็นโต๊ะ ต้องมีการเกิดจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานที่หลากหลายโดยสีสันต่างๆ แต่ตามความจริงคือ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีเดี๋ยวนี้ หามีไม่ เพราะเกิดจึงมี แต่ก็ไม่เห็นตอนเกิด แล้วก็ไม่เห็นตอนดับ เพราะเกิดดับเร็วติดกันแน่นมาก จึงปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานให้จำได้ ถูกต้องไหม

    ถ้าจุดก้านธูปหนึ่งก้านก็มีแสงสว่างเพียงจุดเดียว แต่เมื่อหมุนให้เป็นวงกลม ทำไมมีวงกลมตั้งหลายจุดใช่ไหม แต่ความจริงคือจุดเดียว ซึ่งหมดไปอย่างรวดเร็วและก็ต่อกัน จนกระทั่งติดกันเหมือนกับว่าเป็นวงกลมของไฟจริงๆ ฉันใด เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งกำลังเกิดดับ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้การเกิดดับได้ แม้ว่ากำลังเกิดดับ ถูกต้องไหม

    เมื่อครู่ไม่มีเสียงนี้ เดี๋ยวเสียงนี้ก็หมดแล้ว แต่ความจริงทันทีที่มี หมดแล้ว แต่มีเสียงเกิดสืบต่อจนเหมือนกับว่าเป็นนิมิตของเสียงนั้นให้รู้ว่าไม่ใช่เสียงอื่น แต่แม้กระนั้น แค่นิดเดียวต้องดับ เร็วมาก ไม่อย่างนั้นไม่ปรากฏว่ามากมายอย่างนี้ได้ เพราะความรวดเร็ว เหมือนนักเล่นกล เขาทำสิ่งที่คนอื่นงง สงสัย หมวกไม่มีนก แล้วก็หยิบนกออกมาจากหมวก ถ้าเขาบอกวิธีก็ไม่สงสัยเลย แต่ว่าเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็คิดว่าทำไมเป็นอย่างนั้นได้ ฉันใด เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน

    ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงหนทางที่จะเข้าใจความจริงของแต่ละหนึ่งให้รู้ว่า แยกขาดจากกันได้ เมื่อมีปัญญาความเห็นถูกว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แล้วก็เกิดด้วย แต่ก็ต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ ละความสงสัย ละการที่เคยเข้าใจว่า ทุกอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ได้ดับไปเลย จึงเป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจ

    นี่คือปริยัติ การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่เข้าใจตามที่ได้ฟังก็แปลว่าไม่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้จะกล่าวอย่างนี้ได้ไหมว่า เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งเกิดปรากฏแล้วหมดไป สืบต่อกันแน่น เนียนละเอียดมากหลายอย่าง จนไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับเลย ถ้าไม่ได้มีความเข้าใจตั้งแต่ต้น

    พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้ว เป็นเวลาที่ยาวนานที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะพระองค์ได้เคยฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้วก็ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์ คิดดู แต่ละพระองค์กว่าจะอุบัติ และกว่าพระศาสนาจะอันตรธาน และนานมากกว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์ ระหว่างนี้เป็นการอบรมความเข้าใจที่เริ่มมี ให้ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วก็ละความไม่รู้ โดยการรู้ว่าไม่มีเรา แต่ทั้งหมดที่ปรากฏเป็นธรรมที่เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน ทำให้ลวงว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง

    กว่าจะมีความมั่นคงอย่างนี้ นานไหม เพราะวันนี้ฟังแล้วพรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม แล้วก็ฟังอีก แล้วก็เหมือนเดิมอีก คือ ไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แต่มีความมั่นคงว่าต้องเกิดแน่นอน แล้วก็ต้องดับแน่นอน ค่อยๆ มีปัญญา มั่นคงขึ้นทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ยังไม่ถึงปฏิปัตติ แต่ว่าเป็นขั้นปริยัติ จนกว่าปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเกิดจากการฟังเริ่มเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ละครั้งก็คงจะห่างกัน ไม่ติดต่อกัน นานๆ ครั้งหนึ่ง ใช่ไหม การฟังธรรมวันนี้เป็นครั้งแรกสำหรับบางท่าน แล้วอีกนานๆ ไหม กว่าจะได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง

    ดังนั้น สิ่งที่เข้าใจแล้วเเต่ถ้าไม่พูดถึงบ่อยๆ ก็ลืมใช่ไหม แต่ปริยัติทั้งหมดซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอดคล้องกันตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งจำแนกเป็นธรรมวินัย เพราะเหตุว่าธรรมคือ ความจริงซึ่งจะนำความไม่รู้ และความสงสัยออกไป เพราะได้รู้ว่าความจริงต้องเป็นอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือมีความสอดคล้องในปริยัติ ไม่ว่าจะพูดโดยนัยของพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม ธรรมนำความไม่รู้ออก โดยฟังคำที่กล่าวถึงความจริงซึ่งไม่เคยฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงนำกิเลส นำความสงสัย ความไม่รู้ออก ซึ่งถ้าเป็นเพศบรรพชิตคือ เห็นความจริงว่ายากเหลือเกิน เเละเวลาของชีวิตนี้ก็น้อยมาก แล้วสะสมมาที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต โดยเข้าใจธรรมและเข้าใจการสะสมของตนเองว่า สามารถที่จะรักษาชีวิตของบรรพชิต โดยประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช เพราะว่าเป็นคฤหัสถ์ก็ฟังธรรมได้ เด็กเล็กเท่าไหร่เขาฟังธรรมได้ ถ้าสะสมมา อายุ ๗ ขวบก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ดังนั้นแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีพุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี เป็นเพศบรรพชิตสละอาคารบ้านเรือน และก็มีคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเข้าใกล้พระธรรมแต่ละคำที่จะเข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่เดี๋ยวนี้ รู้ธรรมไหนที่เกิดและดับบ้าง ได้แต่ฟังเรื่องของเห็น ฟังเรื่องของได้ยิน และเห็นก็ดับไปแล้ว ได้ยินก็ดับไปแล้ว ยังไม่รู้เฉพาะทีละหนึ่งซึ่งเกิดหนึ่ง และหนึ่งนั้นดับ จะเกิดปรากฏสองขณะพร้อมกันไม่ได้เลย เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ สิ่งนั้นก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น ยังไม่ถึงปฏิปัตติ เพราะเหตุว่า ปฏิ แปลว่า เฉพาะหนึ่ง ปัตติ แปลว่า ถึง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกคนกำลังกระทบสัมผัสสิ่งที่แข็งใช่ไหม ถ้าไม่พูดถึงจะรู้ไหมว่ามีแข็งกำลังกรากฏ ไม่รู้ใช่ไหม แต่แข็งก็ยังคงเป็นโต๊ะ แข็งก็ยังคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่เป็นแข็งก็บอกว่าเป็นแข็ง คือ สิ่งหนึ่งที่แข็ง ไม่ได้รู้ความจริงว่า สิ่งนี้เกิดเป็นสิ่งหนึ่งที่แข็งแล้วดับ แล้วไม่มีเลย

    สำหรับเรากระทบสัมผัสแข็งก็เป็นแข็ง เข้าใจอะไรบ้างไหม ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือเหมือนเดิม เรารู้แข็ง แล้วก็มีแข็ง และแข็งก็ไม่เห็นดับ แต่ความจริงเป็นธรรม แม้แต่ขณะที่กำลังรู้ก็ไม่ใช่เรา เพราะว่าขณะที่รู้แล้วก็ดับ หมดแล้ว จะเป็นเราแต่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำลึกซึ้งเป็นอภิธรรม มีลักษณะของตน เป็นสภาวะซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นปรมัตถธรรม โดยที่ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันหมด ต้องตรงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างไร ก็ตรัสแสดงความจริงของสิ่งนั้นตามที่ได้ประจักษ์

    พระองค์ต้องประจักษ์การเกิดและดับไปของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ จึงได้ทรงประกาศคำสอนของพระองค์ว่า เมื่อไม่มีตัวตน แต่มีธรรม ธรรมก็หลากหลายต่างกันมากมาย ซึ่งประมวลได้เป็นลักษณะที่ต่างกัน ๒ อย่าง คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง มีจริง แต่ไม่รู้อะไร แข็ง หวาน เค็ม เปรี้ยว ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่อะไรเลย เกิดเป็นแข็งอย่างเดียวเเล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้นก็มีธรรมที่ไม่รู้อะไร ทรงบัญญัติใช้คำว่า รูปธรรม ที่ตัวมีไหม ต้องมี แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คิดว่าเป็นแขน คิดว่าเป็นเล็บ คิดว่าเป็นผม แต่ความจริงเป็นธรรม เมื่อปรากฏก็คือแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว

    คนไทยคุ้นกับคำว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วเข้าใจว่าอย่างไร ดิน ไม่ได้หมายความถึงที่เราปลูกต้นไม้ แต่ดินคือ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีลักษณะแข็งหรืออ่อน เป็นลักษณะของธาตุชนิดหนึ่ง ถ้าไม่ใช้คำใด เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้คนเข้าใจ แต่ถ้าใช้คำว่าธาตุดิน ภาษาบาลี คือ ปฐวีธาตุ ธาตุที่อ่อนหรือแข็ง เราก็รู้ได้ว่าทุกอย่างต้องมีอ่อนหรือแข็งซึ่งเป็นธาตุดิน เเล้วก็มีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

    ธาตุไฟก็เย็นหรือร้อน ร้อนมาก แล้วก็ร้อนน้อย จนกระทั่งเหมือนไม่ร้อน แล้วก็ยังยิ่งกว่านั้นอีก คือ เป็นเย็นไปเลย ก็คือธาตุชนิดนั้น ซึ่งมีลักษณะต่างกันหลากหลาย ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม เวลานี้มีลมไหม นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเรา

    เพราะฉะนั้น ตั้งจิตไว้ชอบ ไม่ใช่เราตั้ง แต่จากคำที่ได้ฟัง ทำให้รู้ว่าจุดประสงค์ของการฟัง เพื่อรู้ความจริงว่าไม่มีเรา เป็นทุกข์เพราะหลงยึดถือสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง และก็เป็นเราด้วย เป็นของเราด้วย เมื่อสิ่งนั้นพลัดพลากจากไปจึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ซึ่งทุกข์ทั้งหมดมาจากความติดข้องยึดถือ โดยความเป็นสิ่งที่เหมือนไม่ดับ และก็เป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงถ้ารู้ว่าแค่มีสิ่งหนึ่งเกิดแล้วดับ ตลอดเวลาไม่ว่าในสังสารวัฏฏ์ ปีไหน เดือนไหน ชาติไหนก็ตาม แล้วจะไปติดข้องในสิ่งซึ่งไม่มีแล้วหรือ แค่เกิดมาปรากฏให้ไม่รู้เเล้วติดข้อง แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องก็พ้นจากการที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่ใช่เรา เเละไม่ใช่ของเราด้วย เป็นของธรรมดาซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ไฟเป็นธรรมดาไหม จุดไฟ มีไฟ และก็ดับไฟ ไฟก็ไม่มีแล้ว เป็นทุกข์ไหม เมื่อไม่ใช่เราก็ไม่เป็นทุกข์

    แต่ถ้าเป็นตัวเรา ขณะนี้ทุกอย่างที่เกิดไม่เที่ยงเลย สุขก็สั้นแสนสั้นเล็กน้อยที่สุด แต่เพราะเกิดบ่อยๆ จึงปรากฏว่ามีความสุขมาก พอใจ ชอบมาก แต่ความจริงต้องทีละนิด จนกระทั่งสืบต่อนานก็ปรากฏว่ามาก ถ้าเพียงหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถที่จะปรากฏให้ติดข้องพอใจได้ และโดยเฉพาะหนึ่งนั้นเกิดด้วย และก็ดับไปด้วย นี่คือการที่จะเข้าใจขึ้นว่าจะดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ว่า ไม่มีเรา ที่เป็นทุกข์เพราะเป็นเรา และคิดว่ามีเรา ต้องพิจารณาว่าจริงไหม ถูกต้องไหม แค่นี้ก็ต้องรู้แล้วจริงหรือเปล่า ถ้ายังไม่จริงอยู่ ก็ไม่ต้องฟัง เพราะจะไปฟังสิ่งที่ไม่จริงทำไม

    แต่เพราะเหตุว่าจริงแน่นอน กำลังปรากฏ ก็ต้องรู้ว่าแค่ฟังเท่านี้ดับกิเลสไม่ได้เลย เป็นความรู้ขั้นฟัง ซึ่งใช้คำว่า ปริยัติ ต้องรอบรู้ด้วย ไม่ใช่ฟังแค่นี้ แต่ทั้งหมดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงประกอบกันให้เข้าใจว่า ความไม่มีเราเพราะเป็นอะไร เพราะเป็นธาตุ เพราะเป็นอายตนะ เพราะเป็นอริยสัจจะ เพราะเป็นปัจจัยต่างๆ ทรงแสดงให้ความที่ไม่รู้มานาน และความยึดถือมานานค่อยๆ จางลง เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่เมื่อไหร่เป็นเราเพราะไม่รู้และเพราะติดข้อง ซึ่งอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้พ้นจากทุกข์โดยการรู้ความจริงว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ที่เป็นคนนี้ เลือกเกิดเป็นคนนี้หรือเปล่า

    ใครเลือกได้ ไม่มีใครเลือกได้ เป็นคนนี้เเล้วเลือกเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ ไม่ให้เกิดโรคภัยต่างๆ เลย ให้มีแต่สิ่งที่น่าพอใจทั้งสิ้น เห็นดีๆ ได้ยินดีๆ ได้กลิ่นดีๆ ได้ลิ้มรสดีๆ ได้สัมผัสที่น่าสบาย เลือกได้ไหม ใครเลือกได้ คิดให้ดี ใครเลือกได้ ถ้าเลือกได้ เดี๋ยวนี้เลือกเลย จะเลือกอะไรดี จะเลือกอะไรเกิดขึ้นไม่ได้เลย นี่คือ ความรู้ขั้นปริยัติ ทั้งหมดที่ยังไม่ตรงลักษณะ ไม่ได้ถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจในสิ่งที่มีเพียงหนึ่ง และทีละหนึ่งจึงจะชัดเจน ถ้าหลายๆ อย่างรวมกันไม่เห็นการเกิดดับ ดอกไม้ก็ยังอยู่อย่างนี้ โต๊ะก็ยังอยู่อย่างนี้ เราก็ยังอยู่อย่างนี้

    แต่เมื่อไรที่ถึงเฉพาะหนึ่ง จะรู้ว่าขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น และจะชัดเจนไหม สามารถที่จะรู้รอบในสิ่งเดียวที่ปรากฏว่า เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่มีการที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงไปได้เลย เนื่องจากสภาพนั้นเมื่อเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ได้ไปเลือก ไม่ได้ไปทำ แต่มีแล้วเมื่อมีปัจจัย มีแล้วก็หามีไม่ ไม่กลับมาอีกเลย

    อาหารที่รับประทานเมื่อสักครู่นี้ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน เมื่อเข้าไปสู่ท้อง มีทอดมันไหม มีน้ำพริกไหม ไม่มีเลยใช่ไหม หรือยังมีอยู่ มีแต่สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ปรากฏทีละลักษณะ โดยที่ไม่ได้ไปเลือกให้อะไรปรากฏ ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จะไม่มีปฏิปัตติเลย เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง รู้ว่าเป็นเพียงขั้นฟัง ทั้งๆ ที่ขณะนี้กำลังเห็นก็ไม่รู้ว่าเห็นเกิดและดับ

    เสียง ชัดเจนว่าเกิดและดับ ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่กำลังฟังอยู่ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะยังไม่ถึงเฉพาะหนึ่งว่า สิ่งนั้น ก่อนนั้นไม่มี แล้วเกิดมี แล้วก็ดับไป หามีไม่ หาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง และยากที่ต้องเข้าใจทุกคำ เมื่อได้ยินคำว่า ปฏิบัติ คนไทยคิดว่า ทำ ทำได้หรือ แค่นี้ก็ผิดแล้ว ผิดตั้งแต่ต้นไป จนกระทั่งผิดตลอด ทำให้คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธานจากความเข้าใจ

    ที่กล่าวว่า วันหนึ่งพระพุทธศาสนาจะอันตรธาน แต่ถ้าคนไม่เข้าใจก็อันตรธาน จะมีได้อย่างไรในเมื่อไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น พระศาสนายังไม่อันตรธานหมดสิ้น เพราะเหตุว่ายังมีผู้ที่เข้าใจได้ ศึกษาอบรมปัญญา เพื่อให้เป็นไปตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อจะตรัสรู้ แล้วเรามีความเพียรตรงไหนที่จะไปตรัสรู้ แค่ไปสำนักปฏิบัติ เพียรทำอะไร ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องตามลำดับขั้น ขั้นต้นถ้าไม่มี ขั้นกลางไม่มี ขั้นปลายไม่มี เพราะฉะนั้น ก ไก่ และต้องมี ข ไข่ ไหม ต้องมีอะไรอีกไหม หรือว่าแค่นั้นพอแล้ว จะเห็นได้ว่าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเมื่อครู่นี้หมดแล้ว ต่อไปก็ยังไม่มาถึง และเดี๋ยวนี้ก็แสนสั้น สั้นมาก ไม่มีใครรู้เลยว่าสั้นแค่ไหน แต่ทรงแสดงจิตตามลำดับว่าอะไรเกิดบ้างทีละหนึ่ง รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์จึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เป็นลาภอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ฟังความจริง เหมือนพระอริยเจ้าในครั้งนั้น ก่อนที่จะเป็นพระอริยเจ้า ท่านฟังมานานเท่าไหร่ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ เมื่อในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร พยากรณ์สุเมธดาบส อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมณโคดม

    นานเท่าไหร่ กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละพระองค์ ๒๔ พระองค์ กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้จะได้รู้ความจริง จากพระมหาโพธิสัตว์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราเพียรมาเท่าไหร่ แค่ฟังบางคนก็เบื่อแล้ว แล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไร

    แต่ถ้ารู้ว่าความจริงนี้รู้ได้แน่นอน แม้ไม่ใช่วันนี้หรือชาตินี้ แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้ความเข้าใจนั้นไม่สูญหาย ฟังอีกเข้าใจเพิ่มอีกทีละเล็กทีละน้อย ไม่หลงทาง เป็นพุทธบริษัท หนึ่งในพุทธบริษัท ๔ ในสมัยนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีภิกษุณี ก็มีแต่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา

    ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลยจะมีพระพุทธศาสนาได้หรือ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วใครก็ตามที่ไม่เข้าใจธรรม พระพุทธศาสนาก็อันตรธานแล้วจากเขา แต่ถ้าใครก็ตามที่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจขึ้น พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธานจากบุคคลนั้น จึงสามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาได้

    ดังนั้นจึงมีปริยัติก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ มีความเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏนี้เองดับ วันหนึ่งสามารถจะรู้ได้ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ละคลายความไม่รู้ซึ่งกำลังปิดกั้นด้วยความต้องการ ขณะนี้เราไม่รู้หรอกว่าที่กำลังฟังอยู่นี้เราต้องการเห็น และเห็นดับแล้ว ก็ยังต้องการอย่างอื่นอยู่ตลอดเวลา

    ความต้องการมีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า นี่คือการทดสอบ หมายความว่าฟังแล้วไตร่ตรอง คือ พิจารณาสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อเข้าใจมั่นคงว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า ความเข้าใจที่กำลังเข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า

    ถ้าไม่ลืมคำแรก "ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม" ก็ไม่ยากที่จะตอบ ไม่ใช่ลังเลว่าเราตอบเเบบนี้จะผิดหรือไม่ ต้องตอบอีกอย่างไหม ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่เป็นความจริงหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้มีการฟังธรรม แล้วก็มีการเข้าใจธรรม โดยไม่ใช่เราไตร่ตรอง แต่มีสภาพธรรมที่เกิดกับจิตทำหน้าที่นั้น ที่ทำให้ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเกิดเพิ่มขึ้นจากปริยัติจะนำไปสู่ปฏิปัตติ ที่ใช้คำว่า สติปัฏฐาน หรือว่า สติสัมปชัญญะ เพราะขณะนั้น สตินั้นเกิดพร้อมกับปัญญาที่มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏเพราะได้ฟังมา ถ้าไม่มีการฟังจะมีอะไรมาทำให้สติสัมปชัญญะเกิด

    เพราะฉะนั้น ฟังแล้วกระทบแข็ง ความเข้าใจมีแค่ไหน แค่ฟังว่าเป็นธรรม เกิดหรือเปล่า บางทีก็ไม่เกิดเลยใช่ไหม เหมือนกับฟังส่วนหนึ่ง แล้วก็จะไปปฏิบัติอีกส่วนหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจจะปฏิบัติอะไร แล้วจะรู้อะไร เมื่อไม่เข้าใจ ปฏิบัติก็ไม่เข้าใจ ปฏิบัติแล้วก็ไม่เข้าใจ จะเข้าใจได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร เเละต้องมีปัจจัยที่จะเกิดด้วย

    สติสัมปชัญญะ คือ สติที่เกิดพร้อมกับปัญญา ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ มาแต่ไหน แม้แต่สติพร้อมด้วยปัญญา ขณะนั้นมาแต่ไหน ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่หลงไปทำด้วยความเป็นตัวตน แล้วไม่รู้ความจริงว่าทำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ

    ดังนั้น สำนักปฏิบัติ หรือที่ใช้คำว่าสำนักปฏิบัติธรรม สำนักปฏิบัติวิปัสสนา สอนให้เข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า แล้วถ้าเข้าใจแล้วต้องเป็นสำนักไหม เวลานี้ ที่นี่กำลังเป็นสำนัก เพราะสำนักคือที่อยู่ อยู่ตรงไหนเป็นสำนักตรงนั้น เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน ตรงนั้นเป็นสำนักของพระองค์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    18 ก.ค. 2568