ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443


    ตอนที่ ๑๔๔๓

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ และธาตุรู้ที่เห็น ก็เป็นธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเป็นความชัดเจนที่จะรู้ความต่างของสิ่งหนึ่ง ทีละหนึ่ง ถ้าพร้อมกัน ก็อย่างเดี๋ยวนี้มากมาย ไม่ใช่ แต่ต้องทีละหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ลักษณะที่เป็นนามธรรมนิมิต ลักษณะที่เป็นรูปธรรมนิมิต

    ผู้ฟัง อาศัยการฟัง เหมือนพอจะเห็นหนทางที่ว่า จะพอศึกษาเป็นไปได้ ในความเข้าใจแม้ว่าจะระดับที่น้อยก็ตามที

    ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดดู แม้ในขั้นปริยัติ คำของพระองค์ยังทำให้เข้าใจได้ แต่คำของคนอื่นไม่ได้ทำให้เข้าใจความจริงเลย เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เกิดจากการฟัง ต้องมีมากขึ้นได้ เพิ่มขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งถึงอีกระดับหนึ่ง มิฉะนั้นก็จะไม่มีอริยสาวก เพราะว่าผู้ฟัง ได้สะสมความเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถึงความเป็นพระอริยะบุคคลตามลำดับ ไม่ว่าภิกษุ หรือ คฤหัสถ์ได้ทั้งนั้น เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้นสำคัญที่ความเข้าใจว่า ไม่มีเรา ตรงนี้ โกรธเกิดขึ้น ถ้ามีปัญญาจริงๆ ขณะนั้น รู้ลักษณะที่ไม่ใช่เรา คือ เป็นสภาพธรรมนั้น ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งหมดก็คือ ไม่ใช่เรา จนกว่าจะหมดความเป็นเรา อีกประการหนึ่ง ถ้ามีความเข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อยว่า ไม่มี แล้วเกิดมี แล้วหามีไม่ จะทำให้เรารู้ว่า เราหลงจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมี แท้ที่จริง ก็เพียงเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่าสืบต่อ จนลวงให้เห็นเหมือนกับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ยั่งยืน แต่ว่าความจริงต้องไม่ยั่งยืน ไม่เที่ยง แล้วก็เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ และทุกอย่างต้องเป็นปกติ เพราะว่า ถ้าไม่เป็นปกติ จะไม่เห็นการสะสมมาตามความเป็นจริง แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วนั้น ส่องถึงการสะสม จึงได้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น และเมื่อมีปัญญาสามารถที่จะรู้ ก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะสะสมมา ถ้าสะสมมาไม่ดี ความไม่ดีก็มีมาก แต่ถ้าสะสมความดี ความดีก็มีมาก

    เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่บุคคล เพราะว่าทุกคนสะสมมาทั้งดีและชั่ว แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ก็เลือกไม่ได้ แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะถึงความรู้ที่ถูกต้องว่า สิ่งนั้นเกิดและดับ แล้วไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใครเลยสิ้น แต่เป็นธรรม ที่เมื่อมีปัจจัย ก็ต้องเกิดเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่หวังจะให้เราไปรู้กลาป หรือไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่การศึกษาพระธรรมให้รู้ว่าเป็นการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ ที่จะทำให้ค่อยๆ ละความที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราโดยความค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ยิ่งศึกษามาก การปรุงแต่งของสังขารขันธ์ ที่จะทำให้เมื่อสภาพธรรมปรากฏ ปัญญามีกำลังตามสมควรของความรู้นั้นว่า จะเป็นความรู้ระดับใด

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีสิ่งที่ปกปิดความจริงอยู่มาก แม้แต่ความไม่รู้หรือกิเลสทั้งหลาย แต่แน่นอนว่าอาศัยการฟังย่อมเป็นประโยชน์อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงไม่ตรัสแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปริยัติ แล้วก็ถึงปฏิบัติ ซึ่งก็สามารถที่จะควบคู่กันไปหรือสลับกันได้ เพราะเหตุว่า ปริยัติ คือ การฟังพระธรรมที่จะเข้าใจขึ้น ถ้าเราฟังอย่างอื่นก็สะสมความเป็นตัวตน หรือความติดข้อง แต่เมื่อฟังธรรม ก็ต่างกันมากเพราะว่าสะสมความรู้ ที่รู้ว่าไม่มีเรา แล้วก็ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม มากๆ ก็จะเป็นปัจจัยทำให้ปัญญามีกำลังคมกล้าขึ้น เพราะเหตุว่า ถ้าเราฟังน้อยจะไปดับกิเลสได้ไม่มีทางเลย แต่ว่าฟังมาก ก็เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดตามระดับขั้น แม้แต่เมื่อเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว การฟังยิ่งทำให้มีความเข้าใจ ในความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่าไม่มีตัวตน มีแต่สภาพธรรมตามกำลังของปัญญาทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ซึ่งเป็นปัญญา แล้วจะไปปฏิบัติ ไปนั่งทำวิปัสสนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความหลงผิด มี ถ้าใครเห็นถูก ก็มีความเป็นมิตรที่จะกล่าวในสิ่งที่จะทำให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรผิด อะไรถูก

    สนทนาธรรมที่โรงแรมซินามอนเรสซิเดนซ์

    วันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า ธรรม บ่อยๆ แต่ว่าใครเข้าใจว่า ธรรม หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น จะรู้ได้เลยว่า ตั้งแต่เกิดเราพูดคำที่เราไม่รู้จัก เช่น คำว่า ธรรมดา พูดบ่อยๆ ใช่หรือไม่ หน้านี้ฝนตกเป็นธรรมดาหรือไม่ หรือว่าผิดธรรมดาก็แล้วแต่

    แต่ต้องเข้าใจว่าเรากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เราไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี แต่เราไม่รู้จักความจริงของสิ่งที่มี ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ได้ยินคำที่เรากำลังคิดด้วยความละเอียดว่า ธรรมดา คืออะไร ต้องมีธรรมคือสิ่งที่มีจริง แน่นอน เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง จะบอกว่าไม่จริงไม่ได้ เห็นจริง ได้ยินจริง กำลังคิดจริง จริงหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าความจริงของสิ่งที่มีจริง ยังไม่เคยมีใครบอกเราว่า แท้ที่จริงถึงที่สุด ซึ่งไม่มีการที่จะรู้ความจริงยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือเข้าใจ คำแรก ได้ยินว่าสิ่งที่มีจริง แค่นี้ก็จะงงกันแล้วใช่ไหม ดอกไม้มีจริงหรือไม่ เสียงมีจริงหรือไม่ ต้องค่อยๆ คิด ว่าจริงถึงที่สุด ยิ่งกว่าที่เราเคยคิด คืออะไร

    เพราะฉะนั้น ธรรมดา มาจากคำภาษามคธี ภาษามคธ ซึ่งดำรงรักษาพระศาสนาไม่ให้คาดเคลื่อนไป ไม่ว่าใครก็ตามที่จะศึกษาพระศาสนา ก็คือ เริ่มเข้าใจความหมายของคำๆ นั้น แต่ไม่ใช่ความหมายเปล่าๆ อย่างพจนานุกรม ว่าคำนี้ คือ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน และ "ดา" มาจากคำภาษาบาลีว่า "ตา" หมายความถึง ความเป็นไปของธรรม ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้นใช่ไหม แต่นี่มีทุกอย่าง ก็ต้องเป็นธรรมทุกอย่าง สิ่งที่มีจริงๆ จะไม่เป็นธรรมไม่ได้เลย เพราะมีจริง

    เพราะฉะนั้น ความจริงถึงที่สุด คือ เราไม่รู้เลย เกิดมาเห็น ใครเห็น เราเห็น จริงหรือไม่ เราหรือไม่ หรือว่า เห็นเป็นเห็น ใครก็ทำเห็นให้เกิดไม่ได้ แต่ก็เห็นทุกวัน อย่างไรกันนี่ ใช่หรือไม่ จะว่าเราทำหรือ

    เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว ได้ยินแล้วเราก็ไม่ได้ทำได้ยิน แต่ก็มีเห็นด้วย ได้ยินด้วย ดูเหมือนว่าพร้อมกัน แต่ว่าตามความเป็นจริง จะเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร เห็นก็ต้องเป็นเห็น ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นจะมีเห็นไหม จะมีเราเห็นไหม ถ้าได้ยิน ไม่เกิดขึ้น จะมีได้ยินไหม และจะมีเราได้ยินไหม นี่ คือ ความเข้าใจผิดละเข้าใจผิดตั้งแต่เกิดทุกชาติ ว่าสิ่งที่มี เกิดแล้วดับหมดไป ไม่ใช่อย่างเดียวกันเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ คิดก็มี จำก็มี ชอบก็มี แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สิ่งนี้เป็นธรรม เกิดจึงปรากฏว่ามีสิ่งนั้น มีสิ่งนี้

    แต่เพราะไม่รู้ ก็เข้าใจว่า เกิดนี่เราเกิด เกิดแล้วก็ต้องเป็นเราทุกขณะไป ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน คิดนึก ตั้งแต่เด็กจนโต เป็นเราไปหมด แล้วเราตอนเด็กอยู่ไหน เรานั่นน่ะไปไหน ตรงนั้นน่ะเหลือไหม เมื่อวานนี้ เราก็เห็น แต่เห็นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้แน่นอน แค่นี้ เหมือนกับว่า แล้วทำไมต้องพูด ทำไมต้องคิด เพื่อละความที่เคยไม่รู้ว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม แค่นี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย กว่าจะเข้าใจขึ้น แล้วเกิดอีก ก็ไม่รู้ว่า ทำไมจึงต้องเกิดอีก ตายแล้วทำไม จึงต้องเกิดอีก เพราะไม่รู้ เห็นดับแล้ว ทำไมต้องเกิดเห็นอีก เมื่อวานนี้ก็เห็น วันนี้ก็เห็น เมื่อครู่ก็เห็น แล้วทำไม่เห็นอีก ก็ไม่รู้สักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้น ไม่รู้จักธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมดา คือ ความเป็นไปของธรรม เกิดแล้วไม่เป็นไปไม่ได้ เกิดแล้วต้องเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเราทำไม่ได้ อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ขณะนี้ก็เสียงเครื่องทำความเย็น เพราะไหม ก็ไม่เพราะ แต่ก็ได้ยินเห็นไหม ทุกอย่างในชีวิต มาแล้วก็ไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย มีอะไรบ้างที่เหลือ อาหารมื้อเช้านี้คงอร่อยดี ขณะที่ปรากฏเท่านั้น พอไม่ปรากฏ อยู่ไหนไม่เหลือ ทุกอย่างเกิดขึ้นและหมดไป หมดไป แต่เร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ถ้าเกิดแล้วดับช้าๆ เราก็เห็นว่าไม่มีเหลือ แต่นี่ เกิดแล้วดับแล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดแทนติดต่อแน่นสนิทเนียนมาก ไม่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดแล้วดับไปก่อน และสิ่งนี้จึงเกิดมีขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ธรรม ก็เป็นไป ตามความเป็นจริงว่า ต้องเป็นอย่างนี้ คือ มีสิ่งที่เกิดขึ้น และก็หมดไป เกิดขึ้นแล้ว ก็หมดไป เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ เราคิดหยาบๆ พอจะรู้ได้ อย่างเมื่อวานนี้ หรือ นั่งตรงนี้ ประเดี๋ยวว่าเราก็ไปไหนแล้ว ก็ไม่รู้ใช่ไหม รับประทานอาหาร และสนทนากันต่อไป ไปไหน ก็กลับบ้าน แล้วก็ไปทำอะไรต่างๆ ตามความเป็นไปของธรรม แต่ละหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นอย่างนั้น จะไม่เป็นอย่างอื่นเลย แลกกันได้ไหม ๓ คนนั่งอยู่นี่ ลองสับเปลี่ยนกันสักหน่อยซิ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

    เห็นตรงนี้ เห็นตรงโน้น เห็นเป็นเห็น แต่ทำไมบอกว่า คุณณภัทรเห็น คุณอรรณพเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างปรากฏ เราจะบอกไม่ได้เลยว่าใครเห็น เพราะเห็นเป็นเห็น งูก็เห็น มดก็ยังเห็น ช้างก็ยังเห็น ถ้าไม่มีรูป มด รูปช้าง มีแต่เห็น บอกได้หรือไม่ว่า เห็นนั้นว่ามด หรือเห็นนั้นว่าช้าง เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ โลกที่ปรากฏเกิดขึ้นเป็นไปนานแสนนาน แล้วก็ไม่หยุดยั้ง เพราะเหตุว่า ตราบใดที่มีปัจจัยสิ่งที่มีทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องเกิด โดยที่ว่าไม่เกิดไม่ได้

    นี่คือเบื้องต้นของการที่จะเข้าใจว่า เราไม่รู้อะไร แล้วใครล่ะที่รู้ จนกระทั่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เกิดความเข้าใจทีเล็กทีละน้อยจนมั่นคง ไม่มีเราแต่มีสิ่งที่เกิด และก็ดับสืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ ดอกกุหลาบดอกหนึ่ง มีอะไรบ้าง มีกลีบ กี่กลีบ ถ้าไม่เห็นจะมีหรือไม่ สักกลีบเดียวก็ไม่ปรากฏ และกว่าจะเป็นสีต่างๆ ตั้งแต่สีชมพูอ่อนๆ จนกระทั่งเป็นสีชมพูเข้ม รู้ได้อย่างไรใช่ไหม ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ ไม่เห็นทั้งสิ้น แต่เวลานี้มีแล้ว ทุกอย่างก็ไม่รู้ว่ากว่าจะเห็นเป็นดอกกุหลาบ เห็นเท่าไหร่ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง เร็วสุดที่จะประมาณได้ เหลือวิสัยที่ใครจะรู้ความจริงได้ นอกจากบุคคลเดียว ที่จะสามารถกล่าวสิ่งที่มีจริงอย่างละเอียดยิ่ง ตรงตามความเป็นจริงด้วยการที่เป็นพระโพธิสัตว์ คำว่าสัตว์ สัตว์โลก คือ ผู้ที่ข้องอยู่ เราข้องอยู่ในโลก เกิดมาในโลก ชอบโลก แต่ก็ไม่รู้ว่าโลกเป็นอะไร แต่ทุกคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวงว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ลองคิดดู จริงหรือไม่ ธรรมสำหรับไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจที่มั่นคง นี่ยังไม่เป็นการที่จะมีความรู้จริง อย่างที่พระสัมมาสัมเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพียงแต่ว่า เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรม ก่อนแสดง ธรรมลึกซึ้ง สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ปัญญาระดับนั้น ได้ตรัสด้วยพระองค์เองว่าธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ลึกซึ้ง เพราะกว่าจะตรัสรู้อย่างที่ได้ฟังจากที่ได้ทรงแสดงแล้ว นานแสนนานเท่าไร กว่าพระองค์จะตรัสรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น นานแสนนานไหม กว่าเราจะเข้าใจแต่ละคำที่เราได้ยิน จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า เมื่อความจริงสิ่งที่ปรากฏนี้เกิด ถ้าไม่เกิดไม่มี เกิดแล้วดับ แต่ไม่เห็นเพราะเร็วมาก และต่อกันสนิท ใครจะไปรู้ว่า เมื่อครู่นี้ดับแล้ว เสียงเมื่อครู่นี้ไปไหน ได้ยินเมื่อครู่นี้ไปไหน ไม่เหลือเลย ให้ทราบแต่เพียงว่าสิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่เกิดขึ้น เป็นธรรมดา ความเป็นไปของธรรมนั้นๆ สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ยังไม่รู้ ยังไม่ประจักษ์ แต่ฟังไว้ ไตร่ตรองว่า จริงหรือไม่ และรู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงทำไม เสียเวลาเปล่าๆ พูดไปก็ไม่มีใครรู้ใช่หรือไม่ แต่นี่เพราะรู้ว่าผู้ที่สะสมมา ต้องมีเหตุ ที่แม้แต่ขณะนี้เป็นกาลครั้งหนึ่ง ได้ยินคำอย่างนี้ได้อยู่ตรงนี้ แล้วได้ฟังคำที่สามารถที่จะไตร่ตรองว่าจริง หรือไม่ ไม่ใช่ให้เชื่อ ทุกคำต้องจริงรับรองว่าจริง แล้วจึงมีความมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ฟังกำลังเป็นความจริงแน่นอน ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่มีความอดทน เพราะรู้ว่า การที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ถ้าไม่สามารถเป็นไปได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องในเบื้องต้น ไม่มีทางที่จะละคลายความเป็นเราจนสภาพธรรมขณะนี้ปรากฏได้ทีละหนึ่ง ขณะนี้มีเห็น มีได้ยิน ไม่ได้ปรากฏทีละหนึ่งเลยใช่ไหม เหมือนพร้อมกัน แต่จะพร้อมไม่ได้แน่นอน เพราะไม่ใช่ธรรมอย่างเดียวกัน แล้วจะพร้อมกันได้อย่างไร แล้วมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นหลากหลายต่างๆ กันด้วย

    เพราะฉะนั้น เริ่มฟังคำจริง ซึ่งเป็นลาภที่ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่าทรัพย์สมบัติเงินทอง ก็สูญหายไปได้ ไฟไหม้ น้ำท่วม แต่ว่าสิ่งที่อยู่กับจิต ที่จิต ในจิต ไม่มีใครสามารถจะนำออกไปได้เลย

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ฟัง และความประพฤติของธรรม ซึ่งเป็นไป มีทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม ที่ธรรมที่ได้ฟังแล้ว ดับแล้วใช่หรือไม่ เมื่อครู่นี้ สะสมอยู่แล้วในจิต ที่จะเป็นพืชเชื้อทำให้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังต่อไป

    เพราะฉะนั้น บางคน ก็ได้ฟังคำว่าธรรม ได้ยินธรรม ก็ไม่สนใจธรรมเลย แต่บางคน สะสมมาที่พอได้ยินว่า นี่ หมายความว่าอะไร มีจริงหรือไม่ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น การเห็นประโยชน์ และการที่จะรู้ว่าเกิดแล้วต้องตายแน่นอน เอาอะไรไปก็ไม่ได้ แต่ความเข้าใจ สิ่งที่มีในชีวิตก่อนตาย เพื่อที่จะสะสมไป ไม่ใช่คนนี้อีกต่อไป เกิดเป็นคนนี้ได้ชาติเดียว ขณะตายแล้ว จะเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย แต่การสะสมสืบต่อที่มีตลอดชีวิต จะสะสมต่อไปในคนต่อไป ซึ่งไม่รู้จะเป็นอะไร แต่ว่าสิ่งที่สะสมมาแล้วเมื่อวานนี้ยังอยู่ถึงวันนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สะสมในชาตินี้ ก็จะติดตามต่อไป ถึงชาติหน้า เพราะฉะนั้น จะเป็นใครก็อยู่ที่การกระทำทั้งหลายในชาตินี้ของแต่ละคน ไม่มีใครทำให้ได้เลย พ่อ แม่มีลูกหลายคน แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ให้เหมือนไม่ได้ เพราะเหตุไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็กำลังต่างกัน เพราะฉะนั้น ต่อไปก็จะต้องต่างกัน

    นี่เป็นสิ่งที่เพียงเล็กน้อยไม่กี่คำที่ได้ยิน จากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระมหากรุณาว่า ถ้าพระองค์ไม่ตรัสคำเหล่านี้ ไม่ทรงแสดงความจริงของธรรม ใครก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่พระองค์ตรัสรู้เพราะได้ยิน ได้ฟังมานานแสนนาน จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เป็นบารมีที่เมื่อถึงเวลาใครก็ยับยั้งไม่ได้ ที่จะให้มีการตรัสรู้ เมื่อถึงเวลาใครจะยับยั้งไม่ให้แสดงธรรมก็ไม่ได้ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ให้ทราบถึงเวลาที่จะเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งต่อไปไม่ใช่อย่างนี้ จะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ จะเป็นหนึ่งที่ดับแล้วไม่ได้ แต่เป็นหนึ่งที่เกิดต่อ แม้ว่าจะเป็นเห็น ก็ไม่ใช่เห็นเดิมนี่ คือ อนิจจังไม่เที่ยง ทุกข์ขัง อนัตตา คนไทยอาจจะได้ยินบ่อยๆ แต่ก็พูดตามได้เพียงแค่ เกิดมาแล้ว ก็ต้องเป็นเด็กและค่อยๆ โตขึ้นแล้ว ก็ค่อยแก่แล้วก็ค่อยๆ ตาย เป็นสิ่งที่ไม่ละเอียด หยาบมาก คิดเพียงคร่าวๆ บางครั้ง บางคราว แต่ธรรมตัวจริงต้องละเอียดกว่านี้ ซึ่งเกิดดับอยู่ทุกขณะไม่เปลี่ยน

    เพราะฉะนั้น คำไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คำนั้นไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะเหตุว่าเป็นความจริงถึงที่สุด เริ่มเข้าใจว่าความจริงคืออะไร ไม่ใช่เราแน่นอน แต่เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่หลากหลายกันมาก แต่ละขณะ ทั้งหมดโลก ไม่ว่ากี่โลก กี่โลก เพราะแม้แต่คำว่าโลก เราก็ไม่รู้ ความจริงถึงที่สุด ว่าโลกคืออะไร แต่โลกในวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการที่จะขจัดความไม่รู้ แม้แต่คำว่า โลก ก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นนั้นเอง คือโลก เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย โลกไม่มี แต่เราคิดถึงโลกกว้างใหญ่มากใช่ไหม ท้องฟ้าอากาศ ดวงดาว ผู้คน ผลไม้ ต้นไม้ต่างๆ ถ้าไม่เกิด มีไหม สักอย่างเดียวก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น เกิดมานิดหนึ่งก็เกิดแล้วใช่ไหม ปรากฏแล้วว่ามี ใช่ไหม แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น โลก คือ สิ่งที่เกิดและดับ โลกได้ยินแล้ว โลกุตตร อุตตระเหนือโลก พ้นจากโลกพ้นจากการเกิดดับ จึงไม่เป็นที่ติดข้อง เพราะรู้ความจริงกว่าสิ่งนั้นจะเปิดเผยปรากฏว่ามี ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักสิ่งที่เหนือโลก

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ มีคำที่น่าสนใจที่จะสนทนา ก็คือ "ทำไม่ได้" ความลึกซึ้งของคำว่า "ทำไม่ได้" ก็คือ เป็นสิ่งที่เกิดตามเหตุ ตามปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ ไม่มีทางจะทำอะไรได้เลย เพราะไม่มีเราแต่เป็นธรรม แล้วใครทำธรรมได้ ทำเห็น ทำได้ยินได้ไหม แต่ได้ยินเกิดแล้ว ไม่มีใครทำ แต่มีเหตุปัจจัยที่ได้ยินต้องเกิด ถ้าไม่มีเสียงกระทบหู เห็นไหม ก็ต้องมีเสียง ใครก็ทำเสียงไม่ได้ หูใครก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อเสียงกระทบหู ได้ยิน ใครทำ เราทำได้ยิน ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลึกลงไป ก็คือว่า มีสิ่งซึ่งเราไม่รู้ แต่คิดว่าเป็นเรา แล้วยังคิดว่าเราทำได้ เพราะฉะนั้น ดูเหมือนเป็นธรรมดา คนที่ไม่ฟังคำของพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจว่า มีเรา แน่นอนถูกต้องไหม ก็เรา กำลังนั่งเดี๋ยวนี้ แต่ว่าไหนล่ะ บอกมาได้ไหมที่ว่าเป็นเราน่ะ อะไร

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ บางครั้งข้อความในพระไตรปิฎก ก็สามารถที่จะทำให้ผู้ที่ศึกษา มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้อย่าง เช่น ข้อความที่ว่าเมื่อเราเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดินครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คุณอรรณพ ถ้าไม่เข้าใจถูกต้องในคำที่ได้ฟัง คือ ในพระไตรปิฏกทั้ง ๓ ปิฏก โทษคืออะไร

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินข้อความในไตรปิฏกอย่าง เช่น เดินก็รู้ชัดว่าเราเดิน ก็คิดแบบเรา คิดแบบตัวตน ไม่ได้เข้าใจตั้งแต่ต้น เพราะถ้าไม่เข้าใจว่า ธรรม คืออะไร ก็เป็นความผิดทั้งหมดเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงความเป็นผิด ตั้งแต่ความเห็นผิด ก็เป็นความเป็นผิด จนไปถึงการประพฤติปฏิบัติที่ผิด จนหลุดพ้นผิดอะไรผิด คิดไปเอง

    เพราะฉะนั้น โทษคืออะไร ที่ท่านอาจารย์ให้สนทนา โทษ ก็คือ เป็นโทษทั้ง กับตนเองแล้วก็ผู้อื่น แล้วก็เป็นการทำให้พระธรรมคำสอนที่แสนจะลึกซึ้งนี้ ก็ถูกลบเลือนไป ด้วยคำพูดที่ผิวเผิน แล้วเป็นไปในทางที่เป็นตัวตน ซึ่งคนก็จะคล้อยไป

    ท่านอาจารย์ ยากที่จะรับฟัง และเข้าใจทั้งหมดนี้เลยใช่หรือไม่ พราะความลึกซึ้ง ต้องไม่ลืมคำนี้เลย ด้วยความลึกซึ้ง จึงต้องศึกษาด้วยความละเอียดจริงๆ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    18 ก.ค. 2568