ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
ตอนที่ ๑๔๕๒
สนทนาธรรม ที่ บ้านพลตรีเสริม ภู่หิรัญ
วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน ตรงนั้นเป็นสำนักของพระองค์ ถ้าพระองค์ประทับอยู่ใต้ร่มไม้ ตรงนั้นคือสำนักของพระองค์ เมื่อประทับอยู่ใต้ร่มไม้ คนไปสู่สำนักของพระองค์ คือที่พระองค์ประทับอยู่
สำนักก็คืออยู่ตรงไหน ตรงนั้นเป็นสำนัก มีสำนักช่างทองไหม ช่างทองอยู่ที่อื่นหรืออยู่ที่นั่น ก็ต้องอยู่ที่สำนักนั้นจึงเรียกว่า สำนักช่างทอง สำนักช่างไม้มีไหม ใครอยู่ตรงนั้น แม่ครัวไปอยู่ หรือใครอยู่ ก็ต้องช่างไม้อยู่ที่นั่น ช่างไม้อยู่ตรงไหน ตรงนั้นก็เป็นสำนักของช่างไม้
เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ขณะนี้เป็นสำนักของทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะอยู่ตรงนี้ก็เป็นสำนัก ไม่ต้องไปไหนก็เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่ามีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กำลังได้ฟัง เพื่อไตร่ตรองให้เข้าใจถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นรู้ คือเข้าใจถูกแต่ละคำที่พระองค์ตรัสรู้ทั้งนั้น
อ.อรรณพ บางท่านก็พูดถึงเรื่องปฏิบัติ กับ การฝึกฝน เเม้ในพระไตรปิฏกก็มี เช่น จิตที่ฝึกแล้วย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้บอกว่า ใครฝึก แต่บอกว่าจิตที่ฝึกแล้ว ละเอียดไหม ต้องตรงไหม ที่พระองค์ตรัสไว้ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแน่นอน และธรรมก็หลากหลาย เป็นแต่ละหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรที่เกิดบ่อยๆ ก็มีมากใช่ไหม
ถ้าขณะนี้ความเข้าใจมีนิดเดียว แล้วเราจะอบรมให้มีมากขึ้นโดยวิธีไหน เมื่อเป็นเพียงขั้นฟัง ก็ไม่ใช่อีกระดับหนึ่งที่จะมีการเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ตรงนั้นเท่านั้น พูดถึงเห็นว่า เกิดดับ พูดไปเท่าไหร่ๆ เห็นก็เกิดดับ แต่ใครรู้แจ้ง ใครกำลังประจักษ์เห็นซึ่งเกิดและดับโดยไม่มีอย่างอื่น เพราะขณะใดก็ตามที่เห็นเกิด จะมีได้ยิน จะมีคิดนึกพร้อมกันไม่ได้ เพราะว่าจิตซึ่งเป็นสภาพรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะว่าสภาพรู้อื่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ เจตสิก เป็นสิ่งที่เกิดกับจิต เช่น หิว ทุกข์ สุข ชอบ ไม่ชอบ เบื่อ ง่วง ทั้งหมดมีจริง อะไรที่มีจริง ต้องมีจริง และก็ไม่ใช่เราด้วย จึงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ขั้นฟัง คือการอบรมในขั้นเข้าใจให้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดมากขึ้น มีขึ้น ก็คือ อบรม เวลาเราใช้คำว่าภาวนา เราไม่รู้หรอกว่าหมายความถึงอะไร ภาวนาหมายความถึง สิ่งที่ไม่มี ก็ให้มีขึ้น และสิ่งที่มีเล็กน้อยก็ให้มากขึ้น เจริญขึ้น จึงเป็น ภาวนา คือ การอบรม เราคงไม่ไปอบรมความเห็นผิด เราคงไม่ต้องไปอบรมโลภะให้มีมากๆ เราคงไม่ต้องไปอบรมความไม่รู้ให้เกิดบ่อยๆ เราคงไม่ต้องไปอบรมโลภะ หรือว่าความสงสัย เพราะว่ามีอยู่แล้ว ซึ่งควรจะมีน้อยลง ไม่ใช่ว่าควรจะมีเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมก็คือ เมื่อเเสดงเเล้วต้องตรงกับไม่มีเรา มีแต่ธรรม และเมื่อไหร่จะประจักษ์ได้ชัดเจนว่า หนึ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ต่างกับอีกหนึ่งๆ และเกิดพร้อมกันไม่ได้ ขณะนี้เหมือนเห็นด้วยได้ยินด้วย เร็วอย่างนั้น เหมือนมายากล แต่ว่าความจริง คือ ขณะที่เห็นจะมีเสียงปรากฏไม่ได้ แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏที่เห็นเท่านั้น ในขณะนั้น
ขณะที่กำลังได้ยิน ต้องไม่มีเห็น แต่ดูเสมือนว่าทั้งเห็นทั้งได้ยินเกิดพร้อมกัน ไม่เคยขาดเห็นเลย ไม่ว่าจะได้กลิ่น ไม่ว่าจะลิ้มรส ไม่ว่าจะคิดนึก ก็มีเห็น แต่รู้ความจริงไหมว่าเห็นต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย แต่ว่าอย่างอื่นแทรกคั่นมากมายจนเหมือนเห็นไม่ดับไปเลย
เพราะฉะนั้น กำลังเห็นไม่ใช่ขณะที่กำลังลิ้มรสปรากฏ แค่นี้ก็ต้องประจักษ์ชัดเจน จึงจะสามารถละความเป็นเราซึ่งฝังมาลึกและนานมาก แต่ก็สามารถที่จะดับได้เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นจากขั้นการฟัง เเล้วรู้ว่าแค่ฟังอย่างนี้ยังดับกิเลสไม่ได้หรอก เพราะแค่ได้ยินเรื่องของเห็น เรื่องของได้ยิน ทั้งๆ ที่เห็น ได้ยินกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความรู้อีกขั้นหนึ่งที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ ในบรรดาธรรมทั้งหมด ไม่มีเราใช่ไหม แล้วคืออะไรที่ถึงเฉพาะสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วยความเข้าใจถูก ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น แสดงชื่อของสภาพธรรมที่หลากหลาย เป็นธรรมฝ่ายอกุศลมีอะไรบ้าง ธรรมฝ่ายโสภณ ฝ่ายดีงามมีอะไรบ้าง เราได้ยินคำว่า สติบ่อยๆ เหมือนมีสติใช่ไหม แต่ไม่ใช่ ที่มีคนบอกว่าข้ามถนนต้องมีสติเดี๋ยวรถชน อะไรๆ ก็ต้องมีสติทั้งนั้นใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย นั่นไม่ใช่สติ แต่ก็เรียกด้วยความไม่รู้ จึงเข้าใจผิดได้ง่ายมากเมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด แล้วก็คิดเองหมด แล้วจะถูกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนได้ เเละเป็นความจริง สติ ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี เวลาข้ามถนนจะมีสติ จะดีอย่างไร ใช่ไหม
สติ ต้องเป็นไปในสิ่งที่ดีงาม เช่น ทาน ศีล และภาวนา แค่ ๓ คำ แต่ความเข้าใจต้องมากมายในทั้ง ๓ คำนี้ ไม่ใช่ว่า รู้แล้วๆ ๆ เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ทาน การให้ เป็นการสละกิเลสหรือเปล่าที่ไม่ให้ ที่บ้านมีของตั้งมากมายหลายอย่าง ให้หมดได้ไหม ไม่ได้เลย นานๆ ถึงจะให้ใช่ไหม แล้วให้อะไร ก็ให้สิ่งที่สามารถให้ได้ ลองมาขอสิ่งที่ให้ไม่ได้ ใครจะให้บ้าง ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น การให้จะมีได้ตามกำลัง คือ ให้ในสิ่งที่สามารถให้ได้ เท่าที่จะให้ได้ด้วย ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อระลึกรู้ว่าเเม้การให้นั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นสติ สภาพหนึ่งที่ดีงาม ดีงามคือ ระลึกได้เป็นไปในทางฝ่ายกุศล ถ้าระลึกเป็นไปในเรื่องจะไปดูหนัง ดูละคร นั่นไม่ใช่สติ เพราะว่าจะสนุกสนาน แต่การที่จะเป็นสติได้ต่อเมื่อระลึกเป็นไปในทางที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นการสละ ไม่ใช่เป็นการหวังจะได้ ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก บางทีเราคิดว่าเป็นกุศลแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสละเอียดถึงขณะจิตซึ่งสลับกันได้ เพราะฉะนั้นใครจะรู้ ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ควรรู้ถูกตามความเป็นจริงไหม หรือว่าควรไม่รู้ต่อไป ทั้งๆ ที่ยังมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ฟัง ให้ไตร่ตรอง ให้เข้าใจ เป็นเรื่องที่ละเอียดทุกคำ สงสัยคำไหน ที่สงสัยเรื่องปฏิบัติ ตอนนี้ชัดเจนหรือยัง
ผู้ฟัง แต่ก่อนนี้ผมเคยไปตามสำนัก เขาฝึกให้เรารู้สึกตัว ประโยชน์ที่ได้ก็คือ เราเดินไปที่ไหน แม้แต่ก้อนหินก็ไม่เคยที่จะสะดุด หรือเหยียบเลย เนื่องจากว่าเราเกิดความระวัง เกิดความเคยชินที่เราไปฝึกกัน แต่เมื่อมาฟังอาจารย์ก็รู้ได้ทันทีว่า นั่นละความเป็นตัวเราไม่ได้ ถ้าไม่เริ่มต้นมาจากที่ว่า ธรรมคืออะไร แล้วอะไรเป็นธรรม ตรงนี้
ท่านอาจารย์ เเล้วเริ่มต้นที่จะเป็นคนตรงๆ เป็นสัจจะ ต้องการรู้สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ฟังต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความถูกต้อง กล้าที่จะพูดสิ่งที่ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ต้องกล้า
ท่านอาจารย์ ต้องกล้า ต้องไม่ลืม เพราะจริง เป็นประโยชน์ แล้วทำไมไม่กล้า ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักประโยชน์จริงๆ ต้องกล้าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถามว่า ที่ว่าเป็นประโยชน์ อะไร ตรงไหนเป็นประโยชน์ที่ไปสำนักปฏิบัติ สำนักอะไรก็ได้ หรือไม่ใช่สำนักก็ได้
ผู้ฟัง อย่างเช่น เราเดินไปไหน เราก็จะไม่เดินชน เนื่องจากว่าเราระวังตัวตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ ประโยชน์คือ เราเดินไม่ชนอะไร นั่นหรือคือการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์ให้เราเดินไม่ชนเท่านั้นหรือ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ถือเป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ประโยชน์เลย ก็เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นต้องตรงจริงๆ
ฟังอย่างนี้แล้ว รู้จักสติไหม รู้สึกตัวหมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้ใครไม่รู้บ้างว่ากำลังนั่ง รู้ใช่ไหมว่ากำลังนั่ง แล้วเป็นปัญญาตรงไหนในเมื่อเป็นเรานั่ง เพราะฉะนั้นรู้สึกตัว ทั่วพร้อม คือรู้อะไร ทั่วตรงไหน เดี๋ยวนี้มีอะไร
ผู้ฟัง มีคิด
ท่านอาจารย์ มีคิด แล้วรู้สึกตัวตรงคิดเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง คิดเป็นคิด
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลยที่กำลังคิด ใช่ไหม เพราะเหตุว่าไปเข้าใจและนำคำที่ได้ฟังมาตอบ แต่ขณะนั้นไม่ได้รู้อะไรเลยทั้งสิ้นใช่ไหม แต่มีความยินดีที่เราสบายใจ เราเดินไม่ชนอะไร นี่ไม่ใช่คำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงว่า ขณะนั้นไม่มีเรา เพราะฉะนั้น อะไรเดิน อะไรนั่ง ไม่ใช่ให้รู้สึกตัวว่านั่ง ก็เป็นเรานั่งไม่เห็นจะแปลกอะไร ใช่ไหม และความจริงมีเราหรือเปล่า และนั่งนั่นเป็นอะไร
ผู้ฟัง คือ เมื่อไม่มีเรา ชาติที่แล้วก็ไม่มีเรา ชาตินี้ก็ไม่มีเรา ชาติหน้าก็ไม่มีเรา เมื่อไม่มีเรา แล้วเราจะต้องการอะไรอีก
ท่านอาจารย์ ไม่มีเราแล้วเราจะต้องการได้หรือ แค่นี้ก็แสดงความไม่รู้ และความเป็นเราซึ่งหนาแน่น เหนียวแน่นมาก เอาไม่ออก พูดออกมาก็คือเรานั่นเอง สงสัยบ้าง ถามบ้าง หาวิธีบ้าง ก็ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้นกว่าจะไม่เป็นเราขั้นฟัง ต้องมั่นคงกว่าจะถึงปฏิปัตติที่จะมีสติ การระลึกได้คือ ไม่ได้ไปนึกถึงอย่างอื่นเลย แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ และสามารถจะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้นก็รู้เฉพาะหนึ่งซึ่งมี ความจริงก็เกิดดับ จนกระทั่งปรากฏเป็นอย่างนั้น เช่น ความรู้สึก ถ้าขณะนี้เป็นความรู้สึกเฉยๆ ไม่ใช่หนึ่งจิตที่เฉย ต้องหลายๆ ขณะ เกิดดับเป็นเฉย เฉยจึงได้ปรากฏว่าเป็นเฉย ที่จะปรากฏให้รู้ว่าถ้าเข้าใจตรงนั้นมากขึ้น สิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับ ปรากฏได้ แต่ต้องปัญญาที่ละคลายความเป็นตัวตน สภาพธรรมถึงจะปรากฎได้
เพราะเหตุว่าขณะนี้เกิดและดับต่อกันหมดเลย แล้วจะรู้ตรงไหน ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่เริ่มเข้าใจถูกต้องว่ามีมากมาย จนกระทั่งปรากฏว่าเป็นลักษณะนั้น อย่างแข็ง กี่แข็ง กี่ขณะ เพราะว่าเห็นก็มี ได้ยินก็มีสลับ แล้วแข็งก็ยังแข็งอยู่ แสดงว่าแข็งตรงนี้นานพอสมควรที่จะปรากฏลักษณะที่แข็ง โดยความเป็นนิมิตของแข็ง เพราะว่าแข็งเกิดนิดหนึ่งๆ ๆ ๆ จนสามารถเข้าใจว่า แข็งเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับของแข็ง ทั้งๆ ที่แข็งกำลังเกิดดับ
แต่กว่าจะรู้ตามความเป็นจริงต้องไม่ใช่เรา และเป็นปัญญาที่ไม่ได้หวังว่า แล้วหลังจากแข็งดับเเล้วมีอะไรอีก อะไรอีก ความสงสัยและความต้องการจะมีตลอดเวลา เพราะยังมีอยู่ ต้องมีความเข้าใจถึงที่สุดจนกระทั่งเป็นปฏิเวธ สภาพนั้นจึงจะปรากฏ ที่ใช้คำว่า วิปัสสนา คือ รู้แจ้งชัดเจน ทีละหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ทีละหนึ่งเเล้วจะไม่มีการที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดและก็ดับ เพราะว่ารวมกันอยู่ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละ ไม่ใช่ให้ทำให้เกิด ทำไม่ได้เลย มีแต่รู้ แล้วค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา
ผู้ฟัง เมื่อไม่มีเรา แล้วจะศึกษาธรรมไปเพื่ออะไร
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แน่ใจนะ ต้องไม่เปลี่ยนเลย
ผู้ฟัง เเน่ใจ
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แล้วมีความไม่รู้ไหม
ผู้ฟัง ความไม่รู้มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความรู้มีไหม
ผู้ฟัง ก็ค่อยๆ มีขึ้น
ท่านอาจารย์ ความรู้กับความไม่รู้เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ อะไรดีกว่า
ผู้ฟัง ความรู้ดีกว่า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นคำตอบแล้วว่าเรียนไปทำไม ใช่ไหม
ผู้ฟัง เรียนไปเพื่อรู้
ท่านอาจารย์ ไม่เรียนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง คงอีกนานกว่าจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เห็นความลึกซึ้งทีละน้อย ยิ่งเรียนยิ่งลึก ยิ่งเข้าใจยิ่งลึกสุดที่จะประมาณได้ จึงรู้ว่านั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณของพระองค์
ผู้ฟัง คำว่า ปฏิเวธ มีความหมายอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น ที่กล่าวถึงปฏิเวธ หรือว่า ปฏิเวธะ เป็นปัญญาที่แทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นปฏิเวธเป็นผลจากการอบรมปัญญาตั้งแต่ในขั้นของการฟัง ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ฟังในสิ่งที่มีจริง จนปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ มีเหตุมีปัจจัยที่จะให้ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เป็นขั้นปฏิปัตติ ซึ่งก็ไม่ใช่เวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ก็ต้องอาศัยการเวลาที่ยาวนานในการสะสมอบรม จนกว่าจะมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้
เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ คมกล้าขึ้น ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความเป็นจริงของธรรมถึงขั้นปฏิเวธ เป็นวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ จนถึงการรู้แจ้งธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงปฏิเวธ เป็นผลมาจากการอบรมเจริญปัญญาที่ค่อยๆ มีขึ้น ค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ตัวเราที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติเลย
ท่านอาจารย์ ต้องไตร่ตรอง ปฏิเวธะ ออกเสียงตามภาษาบาลี รู้แจ้งอะไร
ผู้ฟัง รู้แจ้งธรรม
ท่านอาจารย์ อะไร
ผู้ฟัง รู้แจ้งในการเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้แจ้งสิ่งนั้นหรือยัง
ผู้ฟัง รู้ แต่ไม่แจ้ง
ท่านอาจารย์ เพียงขั้นไหน
ผู้ฟัง ขั้นการฟัง
ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้แจ้ง นี่คือตรง เพราะฉะนั้น ต้องรู้การที่ยังไม่รู้แจ้งเป็นอย่างไร และรู้แจ้งเป็นอย่างไร
ขณะนี้ที่ว่ารู้แจ้ง ไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น แต่เดี๋ยวนี้อะไรที่ปรากฏ เกิดการประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นของหนึ่ง ถ้าทุกอย่างเกิดมากมายเร็วมาก ไม่รู้จะแจ้งสิ่งไหนใช่ไหม ดับไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีเราที่จะไปทำสติ หรือจะให้สติเกิด หรือจะให้รู้แจ้งได้ แต่ปัญญาความเข้าใจถูกที่อบรมมาแล้ว ทำให้ละความต้องการที่จะทำ เพราะเหตุว่าทำไม่ได้แน่นอน ทำคือเรา และทำก็คือว่า มีความสำคัญผิดคิดว่าทำได้ ไม่ใช่อนัตตา เราทำได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่มีการรู้แจ้ง แต่มีการฟังให้เข้าใจ ก่อนที่จะรู้แจ้ง ซึ่งรู้แจ้งขั้นนี้คือขั้นฟัง รอบรู้หรือยัง
ผู้ฟัง อย่างเรารู้เรื่องอริยสัจจ์ ๔
ท่านอาจารย์ อริยสัจจะที่หนึ่งคืออะไร
ผู้ฟัง คือ ทุกข์
ท่านอาจารย์ รู้แจ้งอย่างไร
ผู้ฟัง รู้ว่าทุกข์ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปตลอด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้แจ้งทุกข์หรือยัง
ผู้ฟัง พอรู้บ้าง
ท่านอาจารย์ พอรู้บ้าง ไม่ใช่รู้แจ้ง ต้องตรง รู้ขั้นฟัง ทั้งๆ ที่ขณะนี้กำลังเกิดดับ สักหนึ่งก็ไม่รู้ ไม่ประจักษ์ขณะที่สิ่งนั้นเกิดและก็ดับ เพราะฉะนั้นจะชื่อว่าแจ้งไม่ได้ ชัดเจนไม่ได้ เพียงแต่รู้ว่า เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้ประจักษ์ขณะเกิด และขณะดับ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ขั้นปฏิเวธ ต้องมีความมั่นคงในขั้นปริยัติก่อน จนกระทั่งเริ่มเข้าใจในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมที่มีปัจจัยแล้วเกิดทั้งนั้นเลย เราไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งซึ่งไม่ใช่ชีวิตประจำวันนั้นเกิด สิ่งใดเกิด นั่นคือปกติของชีวิตประจำวัน ซึ่งมีปัจจัยเกิดทั้งนั้น ไม่มีใครไปทำเลยทั้งสิ้น
ผู้ฟัง ที่ฟังมาเหมือนกับเป็นเรื่องของความจำที่เราไปเรียน ซึ่งเมื่อฟังคำยากๆ แล้วรู้สึกว่าเราจะจำคำพวกนี้ไปเพื่ออะไร
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจจุดประสงค์ ฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจำ ถูกไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้ว จำเกิดพร้อมกับที่เข้าใจ ไม่มีเราไปจำต่างหาก ได้ยินคำว่าธรรม ตอนนี้เข้าใจใช่ไหม แล้วจะลืมไหม หรือว่าเป็นคำยาก
คำที่คิดว่ายากเพราะไม่เข้าใจ แต่เข้าใจแล้วก็เพราะเข้าใจจึงจำได้ ไม่ใช่ไปจำไว้แล้วไม่เข้าใจ เหมือนเด็กๆ เกิดมาได้ยินคำแต่เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจ เขาก็จำแต่ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นก็นั่นพ่อ แม่ อาหาร พี่เลี้ยง หรืออะไร เพราะเขาเข้าใจ และความเข้าใจก็มีความจำในสิ่งที่เข้าใจด้วย ไม่ลืม ต่อไปนี้มีคนถามว่าธรรมคืออะไร เข้าใจ หรือจำ
ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจก็จะตอบได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องต้องจำ แต่เพราะเข้าใจ เพราะฉะนั้นจะไม่ลืม ธรรมมีโดยที่ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น เข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นใช้คำว่า อนัตตา ถ้าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็น อัตตา ดอกไม้เป็นสิ่งหนึ่ง ใบไม้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งหมดคือ อัตตา หมายความถึง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าอนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่ามีดอกไม้จริงๆ ยั่งยืนไม่เกิดดับ เพราะว่าถ้าไม่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งนี้มีเมื่อเกิดขึ้น เกิดแล้วก็ต้องดับไป แต่ว่าการเกิดมีมากมายมหาศาล ทุกอย่างที่มีต้องเกิดทั้งนั้น จึงปิดบังการเกิดดับของแต่ละหนึ่ง แต่ความจริงไม่มีอะไรที่ไม่ดับ ไม่อย่างนั้นเกิดมาแล้วเราก็ไม่ต้องโต เกิดมาโตแล้วเราก็ไม่ต้องแก่ แก่แล้วเราก็ไม่ต้องตาย แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะทุกอย่างเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ กว่าจะปรากฏความเปลี่ยนแปลง จากเด็กเล็กๆ แต่ละวันค่อยๆ โตขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ โตขึ้น และก็ค่อยๆ โตขึ้น แล้วก็มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ หรือความสุขความทุกข์ต่างๆ ก็เกิดขึ้น และก็หมดไป ไม่เหลือเลย
แต่ถ้าเกิดอีกก็ต้องขณะใหม่ แล้วก็เกิดมากพอที่จะปรากฏ เพราะฉะนั้นเพียงเกิดหนึ่งขณะ ไม่มีอะไรปรากฏเลยเพราะเล็กน้อยมาก แต่เมื่อรวมกันแล้วจึงปรากฏ ก่อนที่จะเป็นดอกไม้ใหญ่ๆ ยังไม่มีอะไรเกิดเลยใช่ไหม ที่ต้นไม้ ที่กิ่งไม้ แล้วอย่างไรมีดอกไม้ดอกโตขึ้นมาได้ ก็ต้องมีการเริ่มที่จะเกิด แล้วก็เปลี่ยนแปลง ใหญ่ขึ้นๆ รวมกันมากขึ้น ก็ปรากฏสีสันวัณณะที่ทำให้รู้ว่าต่างกันไป
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างถูกซ่อนเร้นปิดบัง ด้วยความไม่รู้ในความเกิดดับของธรรม ก็หลงเข้าใจว่ามีเรา มีสิ่งต่างๆ มีพ่อ แม่ เพื่อนฝูง แต่เป็นธรรมทั้งหมด ที่ว่าเป็นญาติพี่น้องของเราก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก เหมือนที่ว่าเป็นเราก็เพราะมีเห็น มีได้ยิน มีทุกอย่างในวันนี้ทั้งหมด แต่ก็ดับหมด ทุกวันไม่เหลือเลย จึงไม่น่าสงสัยเลย ถ้าขณะนี้ดับแล้วไม่มีอะไรเกิดต่อ ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดต่อ เพราะฉะนั้นตายคืออะไร แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย คืออะไร
คือ มีสิ่งที่เกิดดับ สืบเนื่องติดต่อปรากฏหลากหลาย จึงเข้าใจว่าเป็นคน เป็นสัตว์ แต่สภาพที่มีจริงก็คือว่า สภาพธรรมนั้นมีลักษณะว่า เห็นเป็นเห็น ทำไมว่าเห็น มีสิ่งที่อาศัยตา เราพูดถึงตาทุกคนรู้ใช่ไหมแต่เฉพาะรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เล็กมาก ไม่ใช่ตาทั้งหมด ตาดำ ตาขาว รูปนั้นเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่มีอยู่ที่ธาตุแข็ง ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เราใช้คำว่า มหาภูตรูป แต่ไม่แข็งไม่อ่อน เป็นรูปหนึ่งที่ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ซึ่งรูปนั้นเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ จะเรียกหรือไม่เรียก จะใช้คำอธิบายเป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่ คำที่จะทำให้เข้าใจได้ว่าสิ่งนี้มีและต้องเกิดด้วย เกิดที่ไหน เกิดที่มหาภูตรูป แต่ไม่ใช่มหาภูตรูป
เพราะฉะนั้นที่มหาภูตรูป ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีทั้งสิ่งที่กระทบตาได้ เป็นสีสันวัณณะปรากฏมีจริงๆ มีทั้งกลิ่น มีทั้งรส ซึ่งเป็นรูปแต่ละรูปที่ต่างกับมหาภูตรูป เกิดตามสมุฏฐานคือ บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดเพราะอุตุ ความเย็น ความร้อนเป็นสมุฏฐาน บางรูปก็เกิดเพราะอาหารที่เราต้องรับประทานเข้าไป ทำให้รูปเกิดขึ้นดำรงอยู่ได้
นี่คือทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นหลากหลาย ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้รวมกันก็เป็นเราไปทุกชาติ แต่เมื่อแยกออกมาแล้วไม่มีตัวตนเลย มีแต่ธรรมซึ่งเกิดและดับ แล้วก็รวมกันปรากฏเป็นรูปร่างให้จำผิด ใช้คำว่าวิปลาส สัญญาคือความจำ ภาษาบาลีไม่มีคำว่าจำ แต่มีคำว่าสัญญาเจตสิก เป็นสภาพที่จำ มีจริงๆ
เพราะฉะนั้น จำคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง สิ่งที่ไม่เที่ยง เกิดดับ เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่ามั่นคง จึงเป็นสัญญาวิปลาส ถ้าเข้าใจผิดว่ามีตัวตน วิปลาสไหม แต่ถ้ารู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่วิปลาส เพราะเป็นความจริง
ต้องฟังทุกคำ ไตร่ตรองทุกคำ เข้าใจทุกคำ ซึ่งถ้าไม่ฟังเราจะไม่รู้จักสิ่งที่เราพูด เช่น ตาย อะไรตาย และตายคืออะไร และทำไมตาย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เกิดมา บางคนอายุสั้น บางคนอายุน้อย มีอะไรเป็นปัจจัย
ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ ไม่ว่าจะอายุสั้น อายุยืนนานสักเท่าไหร่ ทุกอย่างถ้าฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่เราเชื่อ แต่มีผู้ที่รู้กว่าเรา แล้วพูดคำที่สามารถทำให้เราได้เข้าใจถูกตามความจริงว่าไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500
