ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460


    ตอนที่ ๑๔๖๐

    สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร

    วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ ซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าวาระไหน เพราะว่าดับแล้ว แต่ปรากฏนิมิต เพราะฉะนั้น จึงแสดงว่ารูปนิมิต ทุกอย่างที่มีปรากฏได้โดยความเป็นนิมิตเท่านั้น ไม่สามารถจะปรากฏได้อย่างทีละหนึ่งเลย

    เพราะฉะนั้น จะเห็น เข้าใจเห็น ก็เห็นนั่นเองที่เป็นนิมิตแล้ว จิตก่อนนั้นไม่มีปรากฏ จิตหลังนั้นก็ไม่มีปรากฏ วาระทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ แต่ปรากฏลักษณะที่ไม่ใช่เราเพราะเป็นธาตุรู้ และลองคิดดู เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ ฟังเรื่องธาตุรู้ เข้าใจเรื่องธาตุรู้ แล้วจะไม่เป็นเราหรือ ในเมื่อวิปัสสนาญาณที่หนึ่งก็ยังไม่เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งก็ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง พร้อมทั้งการระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าทำให้พระองค์ด้อยลงไปจากความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยคิดง่ายๆ ว่า นี่คือพระองค์ตรัสรู้และสอนเรา เรารู้ตามแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง มีความเข้าใจ ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่ารู้อะไรบ้าง มากน้อยเท่าไหร่ เพราะแค่คิดทั้งนั้นเลย จึงเป็นปริยัติ ซึ่งต้องรอบรู้ก่อน ซึ่งถ้าไม่มีความจำสัญญาที่มั่นคงจากความเข้าใจในขั้นฟัง สติปัฏฐานเกิดไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นสตินั่นดับแล้ว คืออะไร สติปัฏฐานหรือ ถ้าไม่ใช่สติปัฏฐานจะไปรู้การดับได้อย่างไร เเละสติปัฏฐานเพียงแค่เกิดตอนต้นๆ ก็ไม่ถึงปฏิเวธ

    เพราะเหตุว่า เป็นเพียงความงามในท่ามกลางที่รู้หนทางว่า ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยเเน่นอนที่จะทำให้ภาวะนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพียงเท่านั้นจะให้มากกว่านั้นหลายๆ นาม หลายๆ รูปก็ไม่ได้ ต้องแล้วแต่ว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่แสดงการที่ไม่มีความสงสัยในภาวะที่เป็นรูปธรรม ในภาวะที่เป็นนามธรรม เพราะประจักษ์สิ่งใดจะไม่มีการสงสัยในสิ่งนั้นอีกเลยในความเป็นนามธรรม และรูปธรรมนั้นหมดกิเลสหรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพียงเห็นภัยยังไม่เห็นเลย ขนาดอย่างนั้น คือ ไม่มีโลกอย่างนี้เลย เพราะโลกมีตั้งหลายอย่างใช่ไหม ถ้ามีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็ไม่มีเลย เข้าใจความหมายของคำว่าโลกเลย สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นจึงมี ถ้าไม่เกิด มีไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ที่ว่ามีโลก มีทวีป มีแม่น้ำ มีทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอย่างต้องเกิดหมด เร็วมากด้วย แล้วก็เกิดดับสืบต่อสุดที่จะประมาณได้ จึงลวงไม่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรม นานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ ผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์แล้ว แต่ละพระองค์บำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเราจะมาประมาทว่า นามรูปเกิดแล้ว ดับแล้ว แวบมาแวบไป ไม่ใช่อะไรอย่างนั้น เพราะเหตุว่า แม้สติสัมปชัญญะเกิดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ลักษณะนั้นได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ พระมหากรุณาที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา แสดงความลึกซึ้งแค่ไหน จนกระทั่งพุทธบริษัทสามารถจะมีความเข้าใจมั่นคง ที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ จึงปรินิพพาน เพราะฉะนั้น ก็เห็นจริงๆ อย่าคิดถึงสิ่งซึ่งเมื่อได้ฟังก็ใช่แล้ว คิดตรงนั้นตรงนี้ ไม่มีทาง ปริยัติแค่ไหน สอดคล้องกันไหม ไม่ว่าคำใดทั้งสิ้นต้องสอดคล้องกันหมด ไม่ว่าจะพูดคำไหน อย่างเมื่อครู่นี้ที่ถาม แล้วเป็นอย่างนั้น แล้วใช่อย่างนี้ไหม ก็คือว่าต้องเป็นธรรม โดยนัยต่างๆ ประการต่างๆ

    เพราะฉะนั้น นามรูป ปริจเฉทญาณ จริงๆ ก็จะมีความเข้าใจในคำว่า นามธรรม ไม่ใช่ชื่อ แต่ภาวะที่รู้ โลกก็ไม่มี แต่มีธาตุรู้ ไม่มีโลก ไม่มีอะไร เพราะถ้ามีโลก ก็สี ไม่ใช่นาม เสียง ไม่ใช่นาม แม้แต่คิดก็เป็นเราคิด ยังมีความเป็นเราอยู่ แต่ภาวะจริงๆ ที่ปรากฏว่าไม่มีหลายๆ อย่างรวมกันอย่างนี้อีกเลย โลกไม่มี มีแต่สิ่งที่มี คือ เกิด

    แต่ขณะนั้นปัญญาไม่สามารถที่จะแทงตลอด หรือระลึกถึงภาวะที่ยังไม่มีแล้วมี เพราะเหตุว่าเป็นญาณแรก ญาณแรกไม่ได้รู้อะไรเกินกว่าลักษณะที่เป็นธาตุรู้ กับลักษณะที่ไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่มีความสงสัยในความต่างกันของนามธรรม กับรูปธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น

    เพราะขณะที่เป็นธาตุรู้ มืดไหม ไม่มีอะไรเลย แต่มีธาตุรู้ แค่รู้ จะสว่างได้อย่างไร คิด ไม่สว่างเลย จำ ก็ไม่สว่างใช่ไหม ทั้งหมดที่เป็นธาตุรู้ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ถ้ามีรูปปรากฏ ไม่ใช่นาม รู้เลยทันทีในความต่างของนามธรรมกับรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น นามธรรม ซึ่งจะไม่รู้ ไม่มี โดยนามธรรมซึ่งเป็นนิพพานไม่ได้ปรากฏ เพราะเป็นนามธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็นความเข้าใจที่มั่นคง เป็นเรื่องละ และเป็นเรื่องรอด้วยความอดทน ไม่ใช่รอด้วยความเป็นเรา เหตุพร้อมหรือเปล่า ถ้าเหตุไม่ถึง ไปนั่งรออะไร แต่ที่เข้าใจขึ้นๆ วันหนึ่งต้องถึง ต้องมีความมั่นใจแน่นอนว่าถึงแน่นอน แต่ไม่ใช่ถึงลวงๆ หลอกๆ ฉันถึงแล้ว ฉันรู้แล้ว ฉันประจักษ์แล้ว นี่ใช่แล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วจะบอกว่านี่ใช่แล้ว ก็ไม่ใช่

    เพราะเหตุว่า ไม่มีเราที่จะ นี่ใช่ แต่สภาพทั้งหมดที่ปรากฏที่เป็นนามธรรม ขณะนั้นต้องอยู่ในความมืดทั้งหมด แม้วาระที่เป็นทางปัญจทวาร แสนสั้นแค่ไหนเมื่อเทียบกับมโนทวารตามที่เราศึกษา ความจริงมโนทวารตั้งหลายวาระ ทั้งๆ ที่รูปนั้นก็ดับไปแล้ว ก็ยังมีวาระแรกรู้รูปนั้นต่อ แต่ไม่ใช่โดยการเห็น

    จึงกล่าว เห็นหนึ่งขณะ คิดดู เพียงจิตที่เกิดก่อน รู้เห็น แต่ไม่เห็น สัมปฏิจฉันนะก็รู้ตาม แต่ไม่เห็น สามารถที่จะรู้ได้ เช่น เราคิดถึงหอยทอด มีอะไรบ้าง หนึ่งคำ เเล้วนำไปสู่รูปร่างสัณฐานของแป้ง ของหอย ของอะไรๆ ที่อยู่ในนั้น คิดได้หมด แต่ไม่ได้ปรากฏ ไม่มีอะไรปรากฏเลย มีแต่ในความทรงจำ

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ทรงแสดงสามารถจะค่อยๆ เข้าใจในความไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืมว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรียนเพื่อเรารู้ เราจะได้ถึง เราจะได้หมดกิเลส ไม่ใช่ เเต่ต้องละไปเรื่อยๆ ละความติดข้องที่เคยติดข้องในสิ่งที่มีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ยังเป็นสิ่งนั้น ซึ่งไม่ใช่ความจริง

    เพราะความจริงไม่มีอะไรเลย มีแต่สิ่งที่เกิดและดับ แต่ว่าปัญญาจะต้องสมบูรณ์ขึ้นตามลำดับ พูดอย่างนี้ดูเหมือนง่าย แต่ปัญญาสมบูรณ์ขึ้น ไม่ใช่เรารู้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ขึ้น มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น รู้ตามความเป็นจริงว่า นี่ใช่ นี่ไม่ใช่ จะไม่ไปกล่าวตู่ นี่เป็นนั่น นั่นเป็นนี่ เป็นอันขาด เพราะเหตุว่านั่นคือ ความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ วิปัสสนาญาณทุกวิปัสสนาญาณมืดสนิท แต่รู้ เช่น เสียงไก่ ตรงนั้นต้องมืดแน่ๆ ใช่ไหม มีแต่เสียงไม่มีอื่นเลย กับสภาพที่ได้ยิน ทั้งสองอย่างต่างกัน ทำไมกล่าวว่าวิปัสสนาญาณมืด เพราะเหตุว่ามโนทวารหลายวาระ ส่วนทางปัญจทวารแค่หนึ่งเดียว ต่อด้วยมโนทวารกี่วาระ แล้วทีละหนึ่งเท่าไหร่

    เพราะฉะนั้น ความมืดจะมากไหม และก็มีสิ่งซึ่งขณะนี้เหมือนสว่างตลอดเวลา แต่ความจริงเทียบแล้ว ในขณะที่มีความมืดที่เป็นมโนทวาร เสียงปรากฏนิดเดียวในความมืด มีสิ่งเดียวที่ปรากฏว่าสว่าง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ ทั้งสิ้น แค่เเวบเดียวเพราะว่าเหมือนฟ้าแลบ ฟ้าแลบยังนานพอที่เราจะรู้ว่าฟ้าแลบ ใช่ไหม แต่นั่นเพียงแค่รูปที่กระทบตาเป็นแสน ให้รู้ว่าไม่ใช่มโนทวาร เพราะว่าไม่ต้องมีชื่อไปบอกว่านี่ไม่ใช่มโนทวาร ไม่มีการที่จะไปคิดจำอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าสิ่งนั้นปรากฏให้รู้เหมือนกับที่ได้เข้าใจทุกอย่างตรงตามนั้น แต่ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ จะสงสัยว่านี่อะไร มาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นนามธรรมก็ไม่รู้ เป็นรูปธรรมก็ไม่รู้ แต่ไปบวกกับความคิดปริยัติ ก็เข้าใจว่าใช่เเล้ว เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้

    ซึ่งกว่าจะเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ก็คือ เป็นผู้ที่รู้สิ่งที่จริง แล้วก็รู้ว่าสิ่งใดไม่จริง แต่ถ้ายังไม่รู้สิ่งที่จริงก็ยังหลงเข้าใจว่า สิ่งนี้แหละจริง ใช่ไหม อย่างโลกจริงแน่ มีคนนั้นคนนี้ นั่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ อย่างนั้นเป็นเราใช่ไหม ไม่เป็นเราก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่นี่ถึงความไม่มีเรา ไม่ใช่มี ไม่มี แต่มีธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ต้องเร็วขนาดไหน แต่ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ปรากฏเป็นนิมิตทั้งหมด เเล้วต้องเข้าใจวิปัสสนาญาณ ตรุณวิปัสสนา เทียบกับมหาวิปัสสนา หรือวิปัสสนาที่มีกำลังมากกว่านี้ ดังนั้นปัญญาจะถึงระดับไหน และจะมาจากไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจก็จะเป็นปัญญาให้ได้เลยอย่างนั้นหรือ ก็เป็นเราที่หลงผิด จึงฟังเพื่อละด้วยความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีทางละ และก็หวังต่อไป เดี๋ยวปุ๊บปั๊บ นั่นนี่ ก็แล้วแต่จะคิดไป แต่ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วปัญญาอยู่ไหน และเหตุที่จะให้ปัญญานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และทุกอย่างต้องเป็นอนัตตา ไม่คิดมาก่อน ไม่หวังมาก่อน

    ท่านพระสารีบุตรไม่ได้หวังเลยว่า ท่านจะเป็นถึงพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยปัญญา แต่ปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้ว แค่เห็นท่านพระอัสสชิ ท่านรู้ไหมว่าท่านจะได้เป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าแม้หนึ่งก็ไม่มีทางรู้ได้ แต่มีปัจจัยที่จะให้เกิด และก็ดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็เป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือ ไม่ประมาททุกคำที่ได้ฟัง ต้องไตร่ตรอง ต้องเข้าใจละเอียด ไม่ใช่กล่าวผิดๆ แม้แต่ไปทำสติ มีไหมที่พระพุทธเจ้าจะตรัสให้ทำสติ ทุกคำ เขาก็อาจจะบอกว่า นี่ไงพระสูตรว่าอย่างนี้ จงอย่างนี้ จงอย่างนั้น แต่พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เอาคำนี้ไปทิ้งไว้ที่ไหน และจะไม่สอดคล้องกันได้หรือ แต่คนนั้นไม่ได้เข้าใจต่างหากว่า ต้องมั่นคงในความไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น ทรงแสดงความจริงว่า ถ้าไม่มีความเพียร สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ไหม ฟังแค่นี้ก็ร้องว่ายาก ไม่ฟังดีกว่า ก็ไม่มีทางที่จะพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ เหมือนพวกเดียรถี ความเห็นอื่น พระสัมมาสัมพุทธประทับตรงนี้ เเต่เขาไปหาครูอาจารย์อื่น

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องมั่นคง ต้องละเอียดและต้องรู้ว่า คำของพระองค์ทุกคำแสดงให้รู้ ให้เข้าใจเพื่อให้ละ นานถึง ๔๕ พรรษา แสดงโดยละเอียดถึงเจตสิกทุกอย่าง จิตทุกประเภท รูปทุกอย่าง รูปอะไรที่จะเป็นรูปที่ทำให้สามารถรู้ความจริงได้ ทั้งที่ปรากฏ หรือที่ไม่ปรากฏ อย่างเช่น เสียง จะให้ปรากฏอย่างสีสันวัณณะก็เป็นไปไม่ได้ ใครก็ทำให้ปรากฏอย่างนั้นไม่ได้ แต่อย่างนั้นก็ยังเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมใดๆ ต้องมั่นคงเเม้แต่คำว่า ธรรม ธรรมก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ใช่ใคร เป็นสิ่งที่มีจริง ทุกคำต้องสอดคล้องและมั่นคงขึ้น จะไม่หลงทาง อย่าลืม นามรูปปริจเฉทญาณ อย่างนี้หรือเปล่า

    อ.อรรณพ ช่วงหลังที่ท่านอาจารย์เข้มข้นมาก ในเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสำนักปฏิบัติทำลายพระธรรมคำสอนอะไร ก็เห็นจริงตามนั้น แล้วก็อนุโมทนาท่านผู้ที่คิดถึงพระศาสนาจริงๆ ที่ท่านมาช่วยกันที่จะทำให้คนตาหูสว่าง

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมหน้าที่ของพุทธบริษัท ไม่ใช่คนเดียว บริษัทที่เข้าใจพระธรรม แล้วก็มีความหวังดี มีความเป็นมิตรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อทำด้วยใจที่เห็นแก่คนอื่นที่จะค่อยๆ เข้าใจถูก เพื่อจะได้เป็นพุทธบริษัทที่ดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกลัวอะไร ทำไมไม่พูด

    เพราะเหตุว่า เวลานี้คนเข้าใจผิด ถ้าเขามีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ถูก ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตของเขา ที่เขาจะไม่หลงผิดในชาตินี้ ซึ่งต่อไปชาติหน้าคิดดูก็แล้วกันว่าจะหลงผิดอีกสักเท่าไหร่ ไม่กลับมาอีกเลย ทั้งๆ ที่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง

    เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่พุทธบริษัทที่จะอนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน ที่จะดำรงพระศาสนา เพราะว่าเราได้ฟังคำที่ทำให้เราได้เข้าใจว่า อะไรถูก อะไรผิด และถ้าสามารถที่จะทำให้คนอื่นได้ยินได้ฟัง คำที่พระองค์ตรัสไว้ทั้งหมด ๔๕ พรรษา เขาก็อาจจะค่อยๆ ละสิ่งที่ผิด แล้วในที่สุดก็จะเข้าใจถูกกันมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีเลย เขาจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ถ้าเทียบปริมาณของสำนักปฏิบัติกับคำที่เราพูดก็น้อยกว่ากันมาก

    ดังนั้นจึงยังไม่พอ ที่คิดว่าไปพูดทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย แต่ประโยชน์มากมายมหาศาลแก่ทุกคนที่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม แล้วไม่คิดที่จะให้เขาได้ฟังหรือ ไม่คิดที่จะให้เขาเข้าใจถูกหรือ ไม่คิดที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ในเมื่อเข้าใจแล้วก็ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ถ้าเขาคิดว่าผิดหรือไม่เข้าใจก็เชิญสนทนา ฟังความเห็นที่ต่างคนต่างคิด ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย อะไรถูกต้องก็ต้องทิ้งความเห็นของตนซึ่งไม่ถูก

    บางคนเบื่อมากเลย เมื่อไหร่จะหยุดสักที หยุดได้อย่างไร ถ้าหยุดเขาก็ไม่เข้าใจ แล้วปริมาณของความไม่รู้ก็ต้องเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่หยุด เพราะเหตุว่า ก็มีคนที่เข้าใจธรรมแล้วพอที่จะศึกษาต่อไปได้ อย่างคนที่เข้าใจธรรม จิต เจตสิก รูปเป็นพื้นฐาน อ่านพระไตรปิฎกเองได้ มีคำที่ไพเราะมาก

    แต่ว่าไม่ใช่ไปติดที่ตัวหนังสือ ไม่ใช่หนังสือว่าอย่างนี้ ค้นเพิ่มอีกเเล้วก็ท่องจำไป ข้อนี้ ๕ มีอะไร จำไป เอาข้อนั้น ๗ มีอะไร จำไป ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปเรียนเป็นข้อๆ แต่ก็สามารถรู้ว่าไม่ใช่เรา และก็อยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ต้องเรียนเพื่อเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เรียนเพื่อไปจำแล้วก็ไม่รู้ แค่เป็นผู้ตรง ทุกอย่างเป็นธรรม แค่นี้ ตรงได้แค่ไหน พูดไป พูดไป เพื่อให้รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ให้ตรงขี้น


    สนทนาธรรม

    ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    อ.อรรณพ ความเป็นภิกษุตามพระธรรมวินัย และจะเกี่ยวข้องมีบทบาททางการเมืองอะไรต่างๆ ก็เป็นแค่ประเด็นย่อยๆ แต่ว่าความเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญหานี้ เราก็คงจะลืมที่จะคิดว่า จริงๆ แล้วเราได้ยินคำว่าชาติ แล้วก็ศาสนา แสดงว่าศาสนาต้องมีความสำคัญ มิฉะนั้นเราก็คงจะไม่ต้องเตือนกัน เรื่องชาติทุกคนก็รู้ ทุกคนอยู่รวมกันเป็นชาติหนึ่งชาติใด ในประเทศหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีสิ่งซึ่งสามารถที่จะทำให้คนในชาติมีความสงบ ไม่เดือดร้อน แต่ไม่มีใครพ้นปัญหาอะไรไปได้สักคนเดียว ทุกคนก็มีปัญหา แต่ว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร เพราะเหตุว่า มีแต่ปัญหาแต่จริงๆ แล้วก็คือ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรทั้งหมด จะแก้ได้ต่อเมื่อเรารู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร

    ตอนนี้มีปัญหาเรื่อง พระภิกษุสมควรที่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าพระภิกษุเป็นใคร จึงสามารถที่จะบอกได้ว่าควร หรือไม่ควรที่จะเกี่ยวข้องกับการเมือง

    วันนี้ก็เป็นวันที่เรามีโอกาสที่จะได้ไม่ลืมพระพุทธศาสนา จากปัญหานี้เพียงข้อเดียว แต่ก็เตือนว่าตลอดทุกวันๆ เราลืมสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งเรากล่าวว่าเป็นที่พึ่ง เป็นพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง แต่เราพึ่งอะไรบ้าง พระรัตนตรัย ลืมสนิท ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องของพระพุทธศาสนา ซึ่งทุกคนก็ยอมรับว่า คนที่ได้เห็นพระภิกษุตามท้องถนน หรือที่หนึ่งที่ใดตามวัดวาอาราม ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่ง เครื่องหมายว่ายังมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ไม่รู้จักภิกษุ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา

    เพราะฉะนั้นก็น่าคิดว่า พระพุทธศาสนากับความเข้าใจของชาวพุทธ หรือคนที่เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ ถูกต้องไหม เป็นพระพุทธศาสนาที่แท้จริงหรือเปล่า เพราะว่าชาวพุทธขณะนี้ ก็จะเห็นพระภิกษุมีการเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนหนึ่ง แล้วยังเห็นอะไรอีกมากมายหลายเรื่องที่เหมือนกับคฤหัสถ์ ซึ่งไม่ใช่พระภิกษุ ก็เป็นที่สงสัยว่าแล้วพระภิกษุเป็นใคร พระภิกษุเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะที่เป็นคฤหัสถ์ เพราะก่อนนั้นยังไม่มีภิกษุเลย มีแต่คนที่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น พระองค์เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้ จึงอยากฟังคำของพระองค์ว่า ผู้ที่จะเป็นผู้ที่ประเสริฐอย่างนั้น คำของพระองค์จะกล่าวเรื่องอะไรบ้าง และเป็นความจริงอย่างไรบ้าง

    ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว คนฟัง ก่อนที่จะเป็นพระภิกษุก็เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ชาวบ้านธรรมดาก็มีอัธยาศัยหลากหลายกันมาก อย่างทุกคนที่อยู่ที่นี่มีใครอยากเป็นพระภิกษุบ้างไหม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นส่วนน้อยจริงๆ ไม่ใช่ใครอยากเป็นก็เป็น ใครอยากบวชก็บวช ใครทำอะไรวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไปเป็นพระภิกษุ มีคนกราบไหว้ นั่นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เริ่มรู้จักภิกษุแล้วว่า ภิกษุคือใคร เพื่อที่ต่อไปจะได้มีความเข้าใจ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร ที่ควรและไม่ควร กับใคร อย่างไร

    เพราะเหตุว่า ถ้าเราไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ฟังคำของคนอื่นเเล้วเชื่อเขาเลย ถูกไหม หรือว่า ฟังแล้วใครพูดก็ตาม แต่คำของคนนั้นสามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจขึ้น ในสิ่งซึ่งไม่เคยได้ฟังมาก่อน คำนั้นเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ลืมพระพุทธศาสนา ลืมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลืมว่าพระภิกษุคือใคร

    ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ไม่ลืม เพราะกำลังจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวถึงพุทธบริษัท บริษัท ก็หมายความถึงผู้ที่มีความเห็น มีความเข้าใจธรรม แล้วก็รวมกันเป็นชาวพุทธ ต้องมีหน้าที่หรือเปล่า หรือว่าชื่อเท่านั้นเป็นหน้าที่ว่าเป็นชาวพุทธ เป็นชื่อชาวพุทธที่ไม่ได้ทำอะไรเลยที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา นั่นเป็นชาวพุทธหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ทุกคำจะมีประโยชน์มีค่าจริงๆ เมื่อได้ทำให้มีความเข้าใจจากสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะว่าก่อนพระพุทธศาสนาจะบังเกิดมีขึ้น จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีคำที่เราได้ฟังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้วเลย เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีคุณค่าที่จะตอบปัญหาทุกปัญหา แก้ปัญหาได้ด้วยความเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดง

    เวลานี้ มีใครรู้จักพระภิกษุบ้าง ไม่ใช่เป็นเพียงครองจีวร และจีวรคืออะไร ทำไมไม่ไปแต่งตัวอย่างอื่นอย่างชาวบ้าน เพราะเหตุว่า จีวร หมายถึง ผ้าที่ไร้ค่า มีตำหนิ ชาวบ้านไม่ต้องการ โจรขโมยก็ไม่ต้องการลักไป สมควรกับผู้ที่สละละชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ทุกคำต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

    พระภิกษุ คือผู้ที่ไม่ใช่คฤหัสถ์ คฤหัสถ์ คือชาวบ้านธรรมดา แต่พระภิกษุเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วมีความเข้าใจ และรู้จักอัธยาศัยของตนเองที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต คือ ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะประพฤติอย่างไร พระภิกษุในพระธรรมวินัยก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามทั้งกาย วาจา และใจ ต้องเป็นการขัดเกลากิเลสทั้งหมด

    เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดจดจากกิเลส ทรงแสดงหนทางที่จะให้ละความไม่ดีทั้งหมด ถ้าใครยังไม่เห็นว่าตัวเองไม่ดีก็ไม่คิดที่จะละ แต่จากการฟังคำของพระองค์ก็เริ่มเห็นโทษของสิ่งที่มีในตนว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย ควรจะให้ละ ลด คลายลง จนกว่าจะดับหมดสิ้น

    เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำสอนของพระองค์ว่า นำไปสู่การที่จะละสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดที่เป็นอกุศล แต่ว่ามีสองเพศ คือ แม้แต่เราซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ฟังธรรมได้ ใครก็ฟังได้ สำหรับทุกคนที่เห็นประโยชน์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    28 ก.ค. 2568