ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466


    ตอนที่ ๑๔๖๖

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ ก็จะไม่รู้เลยว่า โลกแตกดับอยู่ตลอดเวลา เพราะโลก ประกอบด้วย ส่วนเล็กๆ ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นและดับไป แต่ไม่ปรากฏ มีแต่การปรากฏสืบต่อ จนดูเป็นภูเขา เป็นต้นไม้ หรือเป็นอะไรได้ แต่คำจริงของพระองค์ก็คือว่า สามารถที่จะแตกย่อย ทุกสิ่ง ทุกอย่างออก แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีรูปที่ต้องเกิดดับ เล็กกว่าที่แตกย่อยแล้ว นี่คือ พระปัญญาคุณ

    เพราะฉะนั้น ใครจะคิดธรรมเองตามใจชอบ แล้วก็กล่าวง่ายๆ นี่ หมายความว่า เขาไม่เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น กล่าวว่าโลกแตกสลาย โลกเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ก็คือ แต่ละขณะ ซึ่งแสนละเอียด กำลังเกิดดับอสืบต่อ ปกปิดการเกิดดับ ไม่มีใครเห็นเลย

    เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคลเท่านั้น ที่ได้อบรมเจริญปัญญาขั้นฟัง รู้หนทาง ทำให้มีการที่รู้มากขึ้น โดยสติสัมปชัญญะ รู้ตรงหนึ่ง ทีละหนึ่ง ถ้ารวมกันแล้ว ไม่ประจักษ์การเกิดดับแน่นอน เพราะต่อกันแล้วรวมกัน แล้วแต่ถ้าเพียงหนึ่งเกิดขึ้น

    ถ้ารู้เฉพาะหนึ่งจริงๆ มั่นคงขึ้น สิ่งนั้นดับไปเมื่อใด ก็จะเข้าใจคำที่ว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา นั่นคือ ทุกขอริยสัจจะ เป็นอริยหมายความว่า ทำให้บุคคลนั้นเจริญ จนกระทั่ง สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าไม่ถึงการรู้อริยสัจธรรม ก็ดับกิเลสไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำนั้น ก็จะมีความเข้าใจลึกซึ้งขึ้น ตามลำดับ เพราะฉะนั้น เมื่อมีการเห็นความที่สภาพธรรมทั้งหลายนี่ ขณะนี้ กำลังเกิดดับ ย่อมคลายการยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้ารวมกันเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดนั้น ไม่มีทางที่จะละความยึดมั่นในสิ่งนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า อัตตา เป็นอะไรก็ได้ เป็นโต๊ะเอาไปแตกย่อย ก็ไม่มีโต๊ะ รวมกันก็เป็นโต๊ะ ดอกไม้ทั้งเกสร ทั้งกลิ่นทั้งหมด เอาไปแตกย่อยก็ได้ ก็ไม่เป็นดอกกุหลาบไม่เป็นดอกไม้นั้น แต่พอรวมกันก็เป็น

    เพราะฉะนั้น โลกเป็นไปโดยที่ปกปิดไว้ ด้วยการเกิดดับอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวโลก ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งได้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ก็คือว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดานั้นต้องละเอียดมาก สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา ทีละน้อย ทีละน้อย ค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจความจริง ถ้าเป็นเรื่องยาวๆ ก็ต้องฟังละเอียดไปก่อน จนกระทั่ง เข้าใจมั่นคงขึ้น แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จากที่ได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่เกิดขึ้น ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับไปของสภาพธรรมนั่นแหละ คือ แสดงถึงความเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่า เมื่อเกิดแล้วก็ดำรงอยู่ไม่ได้ ก็ต้องดับไป ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราด้วย มีประโยชน์อะไร เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไปเรื่อยๆ ยังอยากจะเกิดดับต่อไป แล้วก็หลงเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นของเรา ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้จักความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยาก ธรรมลึกซึ้ง จึงเห็นยาก

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แม้แต่สุขที่เกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์ แต่คำกล่าวที่ว่า แม้แต่สุขที่เกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์ หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ อยากมีสุขไหม

    ผู้ฟัง อยาก

    ท่านอาจารย์ แล้วก็สุขนั้นก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ สุขไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่สุขมันเกิด มันก็คือ ความสุขใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ดับเร็วสุดที่ประมาณได้ ไม่เหลือเลย ทุกข์ไหม ก็อยากสุข เห็นไหม อยากอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อยากและเป็นสุขไหม

    ผู้ฟัง ตัวที่อยากนั้นเป็นสุข

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับ ยังอยากจะให้มีอีก ไม่หยุดความอยากเลย

    ผู้ฟัง นั่นคือตรงทุกข์ตรงนั้นใช่ไหม ท่านอาจารย์ที่ เน้นให้เห็นนี่

    ท่านอาจารย์ ตัวอย่างไม่เกิด ดีไหม ไม่เคยอยากอะไรเลย ทั้งนั้นดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีอยากเกิดขึ้น เป็นทุกข์ไหม เราอยากจะให้ทุกอย่างคงที่ยั่งยืน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ และก็ไม่ใช่เราด้วย แต่หลงเข้าใจว่าเป็นเรา นี่ก็ผิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น จะมีความหลงผิดไปทุกชาติว่า มีเรา และก็มีความต้องการสิ่งที่ไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ชอบเดี๋ยวนี้ หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เห็นไหม ชอบอะไรสิ่งที่ไม่มีแล้ว ยังคงคิดว่ายังอยู่ แค่เกิดแล้วก็ดับ แต่เพราะไม่รู้ใช่ไหม สิ่งที่เกิดต่อ เหมือนสิ่งนั้นไม่ได้ดับไปเลย ก็หลงเพลิดเพลินยินดี ในสิ่งซึ่งไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา

    เพราะไม่รู้ว่าไม่มีเราด้วย ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่มี มีแต่ธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น และก็ต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ในสังสารวัฎ ใครห้ามไม่ให้อะไรเกิดบ้าง ห้ามไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เกิดแล้วก็ต้องดับไป จะห้ามไม่ให้ดับก็ได้ หรือเปล่าเป็นไปไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง เป็นไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือทุกข์

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่ฟังว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ก็จะมีเราที่ไม่ใช่ธรรมะตลอด

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาเป็นเราอีกนานมาก จนกว่าจะรู้ความจริง ตามลำดับขัั้น จึงสามารถที่จะเห็นจริงๆ ว่าไม่มีเรา เวลานี้แค่ฟัง เห็นเกิด และก็ดับไม่มีเรา พอจะเข้าใจได้แต่ไม่เหมือนกำลังเห็นแล้วเห็น ชัดเจนกว่าไหม

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ชีวิตเป็นปกติ เพราะอะไร จะได้เห็นความจริงที่ได้สะสมมา แต่ละคน ทุกคนในต่างกันมาก ไม่เหมือนกันเลย แล้วก็ทุกวันนี่ ก็จะเห็นว่า คนนี้ก็ไม่เหมือนคนนั้น เพราะอะไร เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมด เพื่อประการเดียว คือให้รู้ความจริง แน่นอนว่า ไม่มีเรา กิเลสทั้งหลายจึงจะค่อยๆ น้อยลงไปได้ แต่ตราบใดยังมีเราอยู่ กิเลสก็มาก เพื่อเราทั้งนั้น ทั้งวัน เราทั้งหมดเลย ขณะไหน ไม่ใช่เราบ้าง

    แต่ว่า เมื่อได้ฟังความจริงว่า ไม่มีเรา เข้าใจมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น นั่นก็จะเป็นเหตุที่ทำให้สามารถเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละเล็ก ทีละน้อย ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ใช่จะรีบรวบรัดไปทำเยอะๆ ให้ได้มากๆ ให้หมดไปเร็วๆ นั่นผิด นั่นคือเรา

    เพราะฉะนั้น ความเป็นเรานี่ จะแอบอยู่ในทุกแห่ง ละเอียดมาก เหมือนอากาศที่แทรกคั่นอยู่ทุกกะลาปะ ที่แตกย่อยออกไปได้ เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาไม่เห็นอย่างนั้นจริงๆ เลย ไม่สามารถที่จะละความเป็นเราได้ ประมาทไม่ได้เลย คิดว่า เดี๋ยวก็ไม่มีเรา เป็นไปไม่ได้ กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วนั่งมานานแล้วใช่ไหม ก็เป็นเรามาตลอด แล้วต่อไปก็ยังเป็นเรา ต่อไปถ้าเป็นคนที่ตรงๆ

    ผู้ฟัง ขออนุญาต ตัวกิเลสมันคือ ความอยากมี อยากได้ ก็สรุปได้ว่าตัวกิเลส ก็คือตัวเราแต่ทำอย่างไรให้กิเลสมันเบาบางลง ให้เราดำรงอยู่อย่าง ที่มีความทุกข์น้อยที่สุดอย่างนี้มันก็น่าจะเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นแนวคิดเอง ว่าหนทางนั้นคงจะ อาจจะ ที่ทำให้ค่อยๆ ลดลงไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา แล้วทำไมถึงจะเข้าใจได้ เพราะว่าเมื่อกี้หมดแล้ว อนาคตยังไม่มาถึง

    เพราะฉะนั้น แทบไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราได้ จะค่อยๆ ละความเป็นเราจากทุกอย่าง ซึ่งปรากฏ โดยที่ในตอนแรกนี่ จะไม่ปรากฏการเกิดขึ้น และดับไป มีแต่ปรากฏหมดทุกอย่าง ตอนเกิดก็ไม่รู้ ตอนดับก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้

    เพราะฉะนั้น จะเป็นตัวเราที่ทำเอง คิดเอง จากการที่ได้ฟังนี่ ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่ง แต่ละคำ นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ไม่ใช่ให้เราไปคิดทำเอง หาหนทางอย่างนั้น อย่างนี้

    แต่คำของพระองค์ทุกคำ จะค่อยๆ ทำให้มีความเข้าใจถูกขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อยว่า เป็นเราไม่ได้ แต่สะสมความเป็นเราไว้นานมากในสังสารวัฎ แสนโกฎกัลป์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ ตรัสรู้แล้ว เราก็ยังมีความเป็นเราอยู่ จนกว่าจะเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี ต้องในสิ่งที่มีด้วย และขณะนี้ เราฟังเรื่องเห็นแต่เห็นก็ดับไป โดยไม่ได้เข้าใจตรงเห็นจริงๆ เพียงแต่โทษเรื่องเห็นพูดได้ว่าแข็งนี่ ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีแข็ง และความจริงแข็งก็ดับแล้ว แต่ก็มีแข็งเกิดสืบต่อซ้ำจนเหมือนเดิม คิดว่าเป็นแข็งต่อ แต่ความจริง เกิดและดับทันที และทรงแสดงความละเอียดว่า กว่าจะมีสภาพธรรมปรากฏ เช่น เห็นไหน ก็ไม่ได้ยิน เหมือนติดกันเลยใช่ไหม ต่อกัน พร้อมกันเลย

    แต่ความจริง ทรงแสดงความห่างว่า จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งนี่ จะมีจิต สภาพธรรมเกิดขึ้น คั่นมากมายหลายขณะซึ่งไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อให้รู้ว่าเราไม่รู้แหละเราก็รู้น้อยมากถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือคิดเองหมด ซึ่งคิดเองไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยที่จะถูกต้อง อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้

    เพราะว่า พระองค์ทรงพระมหากรุณาว่า หนทางนี้ หนทางเดียว คือ หนทางเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ต้องสิ่งที่มีด้วย เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจอะไร ในเมื่อสิ่งนี้ที่ว่ามีดับด้วย แต่ไม่ปรากฏ

    จนกระทั่ง ปัญญานี่ สามารถเข้าใจขึ้นเมื่อไหร่ จึงค่อยๆ ปรากฏตามความเป็นจริง ทุกอย่างเหมือนปกติเลย เหมือนอย่างนี้ แต่มีความเข้าใจขึ้น มีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้นแต่ละนิดเดียวนี่ ละความที่เคยติดข้อง เหมือนการจับดาบมีด ค่อยๆ จับไป ในที่สุดด้านมีดสึกได้ แต่จับครั้งหนึ่งจะไม่ปรากฏว่าด้ามมีดสึกไปเท่าไหร่

    แต่ว่าถ้าไม่มีการจับเลย ไม่มีการเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คิดเองทั้งหมด ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความเป็นจริง ก็หลงไป และก็ไม่มีพระรัตนตรัย คือ ไม่มีผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว และพระอริยบุคคล ซึ่งสืบต่อความจริง ที่สามารถที่จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนอื่นได้เข้าใจว่า นี่เป็นคำของพระองค์ คำอื่นไม่สามารถที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้

    แต่พอฟัง แยกออก ค่อยๆ รู้ว่า ต้องห่างกัน ไม่ใช่ว่า ต่อกันสนิท แต่ว่าจะต้องมีสภาพธรรมระหว่างคั่น ซึ่งไม่ปรากฏ อย่างระหว่างนี้ มีเห็นกับได้ยินใช่ไห แต่มีคิดอยู่ตรงกลาง ตลอดเวลา

    เริ่มรู้จักเราสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะว่า ทำให้เราเนี่ยไม่เห็นว่าความคิดของเรา หรือ ความคิดของคนอื่น จะเทียบเท่ากับ แต่ละคำที่ได้ฟัง ค่อยๆ เป็นความจริงขึ้น

    จนกระทั่งรู้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีแน่ๆ แต่มีธรรมดาแน่นอน และก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้น โดยไม่มีใครไปทำ แต่อาศัยเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดขึ้นเป็นไป ละเอียดมาก ค่อยๆ ฟังคำของพระพุทธเจ้า เพราะมีพระองค์เป็นที่พึ่ง โดยพึ่งคำที่พระองค์ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ให้เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ฉะนั้น เราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มันก็ยังตัวเราอยู่ดี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แน่นอน

    ผู้ฟัง ไม่มีทางเป็นอื่นเลย

    ท่านอาจารย์ จนกว่า จะค่อยๆ เข้าใจว่าอะไรล่ะ ที่ว่าเป็นเรา ถ้าไม่มีเห็นจะเป็นเราเห็นไหมถ้าไม่มีคิดต่อจากที่เห็นจะเป็นเราไหม ทุกอย่างมาจากการที่ไม่รู้ ทำไมว่าเกิดขึ้น และดับไป ก็เข้าใจว่าเป็นเราทั้งหมด จนกว่า จะรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งเกิดขึ้น และดับไปจึงไม่มีเราได้

    ผู้ฟัง ก็คือความว่างเปล่า

    ท่านอาจารย์ นั่นคือ คำที่ทำให้ มีความเข้าใจเกิดขึ้นได้น่าอัศจรรย์ คำอื่นไหมจะทำให้เราได้เข้าใจอย่างนี้ แต่คำนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง เพราะเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งแล้ว จึงกล่าวตามความเป็นจริงนั้นได้ ก่อนตรัสรู้ไม่ได้กล่าวอย่างนี้เลย แต่พอตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงความจริงทุกคำที่เราได้ฟังสืบทอดกันมาเป็น ๓ ปิฏก

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แนวทางที่ มีตัวตนที่จะไปละกิเลศนี่ ก็ไม่มีทางละกิเลสได้ ต้องเริ่มต้นเข้าใจก่อนละความไม่รู้ ละความเห็นผิดก่อนว่า แท้จริงแล้วนี่ ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต้องเพิ่มขึ้น แม้แต่ความเห็นที่ถูกต้อง ก็ต้องค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ถ้าเข้าใจวันนี้เบื้องต้น และไม่ใช่เราเลยแน่ๆ ลองหาดู สิ่งที่มีนั้นเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ไม่มีเราไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นไป แล้วก็ดับไป แต่ละหนึ่งทั้งหมด ไหนเรา ในเมื่อมีเกิดขึ้นและดับไป มีเกิดขึ้นก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจความจริงอย่างนี้ ก็รู้ว่าความจริงนี่ สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ คำว่า ประจักษ์แจ้ง ไม่ได้หมายความว่า ความรู้เท่าเดิมในขั้นฟัง ใช่ไหม แต่ฟังแล้วเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก

    จนกระทั่ง รู้ว่าตราบใด ที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปให้หมดความเป็นเราได้ เพราะสภาพนั้นยังไม่ปรากฏอย่างที่ได้พูดเลย แต่ถ้าปรากฏจริงๆ ว่าเกิดแล้วดับแล้วไม่เหลือนี่ เราที่ไหน ขณะนั้น ก็เป็นธรรมเท่านั้นที่เกิดดับ เพราะฉะนั้น ท่านฟังในก็เป็นขั้นเริ่มต้นที่จะมั่นคง

    จนกระทั่ง สามารถที่จะทำให้ ประจักษ์ได้จริงๆ ทุกคำ ซึ่งน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่มีผู้ที่ประจักษ์แจ้งแล้ว จากการฟัง นานไหมเพื่อละ แต่ไม่ใช่ฟังแล้วอยากจะทำ ให้ประจักษ์แจ้ง นั้นก็คือ ไม่ได้เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ตั้งแต่ต้น

    อ.คำปั่น สิ่งที่จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะปัจจัย มีคำว่าปัจจัยก็คือสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป เห็นเกิดขึ้นได้เพราะอะไร เพราะมีปัจจัย ที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นถ้าไม่มีตา ไม่เห็นแน่ ต้องมีตาและต้องมีสีด้วย แล้วก็ยังมีกรรมที่กระทำแล้วในอดีตด้วย เป็นปัจจัยทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น นี้ก็ คร่าวๆ ในความเป็นจริงของธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันปลูกฝัง ใช่ไหม ไม่มีเลย และก็ปลูกให้เกิดขึ้นฝังให้ลึก จนกระทั่งมั่นคงว่า ไม่มีเรา และการฟังในก็จะฟังด้วยดี เข้าใจขึ้นว่า ไม่ใช่เราเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนกว่าปัญญานั้นจะเติบโต เจริญขึ้นตามลำดับขั้น ต้องตามลำดับขั้นด้วย ถ้าไม่มีขั้นฟัง ซึ่งเป็นปริยัติรอบรู้อย่างมั่นคงว่า ธรรม คืออะไร ก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ที่เมื่อยังไม่รวมกัน ก็จะไม่มีการยึดถือว่าเป็นเรา แต่พอเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ในขณะนี้ และรวมกันหมด ก็ต้องยึดถือแน่นอนว่า และเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด แต่จากการพิจารณาว่า อะไรจริง อะไรถูกต้อง ฝังลงไปลึกๆ ก็จะมั่นคงว่าแท้ที่จริงไม่มีเรา

    แต่ก็เพียงขั้นปริยัติ หรือ รอบรู้ในคำที่ได้ฟัง ซึ่งถ้าไม่มี ความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ปัญญาขั้นต่อไป คือ ปฏิบัติ เกิดไม่ได้ แต่คนไทยฟังธรรม ด้วยความประมาทมาก เขาออกเสียงปฏิบัติว่า ปฏิบัติ และคนไทยก็เข้าใจว่า ทำ

    เพราะฉะนั้น จึงไปทำวิปัสสนา เรียกว่า ไปทำสมาธิ หรือ ไปปฏิบัติ ก็คือทำ ไปทำธรรมได้หรือทั้งหมด ก็ไม่จริงสักคำเดียวตั้งแต่ต้น แต่คนที่จะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นได้ฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้ว่า ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเรา

    แต่ธรรม ทั้งหมดนี่ ถ้าไม่มีการฟังคำของพระพุทธเจ้าเลย จะเข้าใจอะไรไหม ก็ต้องหลงทางไป แต่พอได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็มีความมั่นคงว่า ไหนล่ะเรา แข็งก็เป็นแข็ง เห็นเกิดเป็นเห็น แล้วก็ดับจำก็ต้องมี ไม่ใช่แข็งจำได้ ไม่แข็งเลย แต่จำว่าแข็งเวลากระทบแข็ง ก็จำแข็งไว้เห็นอะไร ก็จำสิ่งนั้นได้ยินอะไร ก็ยังสภาพจำ ก็เกิดดับตามสิ่งที่ปรากฏซึ่งเกิดดับ แต่ละครั้ง ก็ไม่มีเรา

    เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่ง สัมมาสติที่เราใช้คำว่า การรู้ตัวทั่วพร้อมสติสัมปชัญญะ แปลง่ายๆ เอื้อมมือ ไปก็รู้ อย่างงั้น รู้อะไร ก็เหมือนเดิม ไม่เห็นรู้อะไร แต่ขณะนั้นที่รู้ก็คิดว่า นั่นคือ ขณะซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่เพราะได้ฟัง จึงมีการรู้ตรงนั้น ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติ แปลว่า ถึง

    เวลานี้สภาพธรรมเกิดดับทั้งหมด ถึงอันไหน ที่กำลังเกิดดับ ไม่ถึงเลย จนกว่าสติที่เราใช้คำว่าการระลึกได้ ระลึกได้ ระลึกอะไร ระลึกว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏที่เกิดดับ เพราะเข้าใจใช่ไหม กว่าจะน้อมมาสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่เพราะฟังเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้ ขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นสติ

    เพราะฉะนั้น เห็นความเป็นอนัตตา ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาจึงเป็นความถูกต้อง เพระเหตุว่า ถึงที่สุดก็คือ ธรรม ทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ก็จะไม่ไปผิดทาง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับ เรื่อง จิต กับ เจตสิก เรียกคืออะไร

    ท่านอาจารย์ มีก็ไม่รู้ กำลังมีอยู่ด้วย เห็นไหม ทั้งๆ ที่มีทุกวัน มีทุกอย่าง แต่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ไม่ทรงแสดง อยู่ในความมืดสนิท นั่นเป็นสิ่งที่รู้ยาก แม้มี เช่นเดี๋ยวนี้ เราคุ้นเคยกับคำว่า จิต คนนั้นใจดีบ้าง เราใช้คำว่าใจด้วย บางทีก็ใช่ด้วยกัน ว่าจิตใจ แสดงให้รู้ว่า ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน

    เมื่อมีสัตว์บุคคล ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ก็เพราะไม่มีจิต ไม่มีสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ต้องฟังละเอียดมาก กำลังมีเดี๋ยวนี้ แค่บอกง่ายๆ บอกว่าเห็นนี่ เป็นจิต จบแค่นี้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ใช่ไหม ก็ได้ถึงแค่จำว่าเป็น จิต

    ถ้าไม่ใช้คำภาษาอังกฤษ ไม่ใช้คำใดๆ เลยทั้งสิ้น จิตก็ยังคงเป็นจิต นี่แสดงให้เห็นว่าการที่เราจำเป็นต้องใช้คำ ก็เพื่อที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจ ในภาษาของตน ของตนว่า คืออะไร

    เพระเหตุว่า เดี๋ยวนี้ มีจิต ถ้าไม่ฟังมาก่อนไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ เมื่อไหร่เป็นจิต แต่กำลังเห็น โต๊ะไม่เห็น เก้าอี้ไม่เห็น เสาไม่เห็น แล้วเห็นเป็นอะไร เห็นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ต่างกับสิ่งเหล่านั้นโดยเฉพาะถ้าเราตอบว่า ก็กำลังเห็นไงก็เป็นจิต

    แค่นี้ก็ไม่สามารถจะรู้ลักษณะของจิตได้ แต่ต้องบอกมากกว่านั้นอีก จิตเป็นสภาพรู้จะได้เห็นว่า สิ่งที่มี ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง มีแน่นอน แต่ว่า ต่างๆ กันไปละเอียดยิบ จะรวมกันเป็นหนึ่งไม่ได้เลย อย่างแข็งกับเสียงนี่ จะรวมกันเป็นหนึ่งไม่ได้ แต่เสียงอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีอะไรแข็งจะมีเสียงไหม ทุกอย่าง ละเอียดมากๆ ต้องฟังเหมือนกับว่า เป็นสิ่งซึ่งในสังสารวัฎไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมา ทั้งๆ ที่กำลังมีอยู่

    เพราะฉะนั้น ถ้าบอกให้รู้ว่า จิตเป็นสภาพรู้ ถ้ามีแต่เพียงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีสภาพรู้ โลกก็ไม่ปรากฏ อะไรก็ไม่ปรากฏ ค่อยๆ คิดถึง ทีละคำ สิ่งที่มี กำลังมีแน่ๆ ปฏิเสธไม่ได้ แตกต่างกันเป็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่รู้ ก็รวมกันคิดว่าเป็นหนึ่ง

    อย่างดอกไม้นี่ ไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าที่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่ปรากฏ และก็รู้ว่า สิ่งนี้ต่างกับสิ่งนั้นมี ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด และต่างกันใหญ่ๆ เลย ประเภทใหญ่ๆ ก็เป็นสภาพที่เกิดมี แต่ไม่รู้อะไร เป็นประเภทหนึ่ง แต่อีกสภาพหนึ่ง ก็เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย อีกประเภทหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น สำหรับสภาพที่มีจริง แต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย พระะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า รูปธรรม ที่คำว่า ธรรมไม่ได้ เพราะมีจริงเป็นธรรมที่ไม่รู้ จึงเป็น รูปธรรม สภาพธรรมใดๆ ทั้งหมดที่ไม่รู้ เป็นรูปธรรมเท่านั้น ไม่ว่าจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นอย่างเปรี้ยว เห็นไหม มีมะม่วง ก็ไม่รู้ว่า เอ๊ะ รสจะเป็นอย่างไร จนกว่าจะลิ้มรส สัมผัสกระทบลิ้นเท่านั้น

    ถ้าไม่มีธาตุรู้ เราเอาสิ่งนั้นไปกระทบกับโต๊ะ เก้าอี้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอกระทบลิ้น ก็มีธาตุรู้เกิดขึ้น ลิ้นรสที่กระทบ จึงรู้ว่า ไม่มีคำใดๆ ที่สามารถที่จะกล่าวให้ชัดเจน ได้ว่ารสนั้นเป็นอย่างไร เพียงแต่บอกได้คร่าวๆ ว่า หวานหรือเปรี้ยว แต่หวานแค่ไหน เปรี้ยวแค่ไหน เปรี้ยวมะดัน เปรี้ยวมะขาม เปรี้ยวมะม่วง ใช้คำว่าเปรี้ยว แต่รู้ได้ยังไงว่าต่างกัน ถ้าคนที่ไม่เคยลิ้มรสมาดันเลย แล้วบอกว่าเปรี้ยวเขาจะรู้ไหม ว่าเปรี้ยวแค่ไหน เปรี้ยวอย่างไร ก็เคยทานแต่มะม่วงเปรี้ยว มะนาวเปรี้ยว แต่มันดันเปรี้ยวเลย เขาไม่เคยไปทาน ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน

    เพราะฉะนั้น สภาพที่รู้แจ้ง รู้จริงๆ รู้ความเป็นจริงของสิ่งนั้น ก็คือ จิต มองไม่เห็นเลยทุกวันนี้มีจิตเกิดดับสืบต่อ ทีละหนึ่งขณะ และก็รู้สิ่งต่างๆ จนปรากฏเป็นสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้านด้วยสภาพธรรมที่จำ ซึ่งไม่ใช่จิต

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    6 ต.ค. 2568