ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445


    ตอนที่ ๑๔๔๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมซินนามอน เรสซิเดนซ์

    วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ เวลานี้กำลังไม่รู้ ก็ไม่เห็นการเกิดดับ แต่เห็นได้ เมื่อรู้ และเข้าใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องชัดเจน เพราะว่าคำในภาษาบาลี จะเป็นภาษาซึ่งมี รากฐานมีเหตุ มีผล กำกับตายตัวไม่คลาดเคลื่อนเพียงคำว่า ญา คำเดียวรู้ แต่รู้ต่างกัน เช่น ขณะนี้ เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีการรู้เสียง ไม่มีธาตุซึ่งเกิดขึ้นได้ยิน เสียงปรากฏได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ญาธาตุ โสตวิญญาณ เป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ โดยการมีสิ่งที่ปรากฏ ต่อเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น รู้สิ่งนั้น กลิ่นเวลานี้ไม่ปรากฏ กลิ่นปรากฏเมื่อไร ก็ต่อเมื่อมีธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ เพียงรู้แจ้งสิ่งนั้น ที่กำลังปรากฏ เช่น สีต่างๆ หลากหลาย ถ้าไม่เห็น แต่บอกว่ามันต่างกันอย่างนี้นะ ชัดเจนไหม ได้ยินแต่ว่า ต่างกันอย่างนี้นะ แต่ไม่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่ชัดเจน ใช่หรือไม่ แต่บอกว่า สีน้ำเงินนี่จนเกือบดำเลยใช่หรือไม่ ถ้าไม่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่เหมือนกำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น สภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ คือ จิต อีกคำหนึ่งใช้คำว่า วิญญาณะ หรือวิญญาณ เพราะฉะนั้นมีสภาพที่รู้แจ้งทางตา ก็เป็นจักขุวิญญาณ รู้แจ้งทางหู โสตะ ก็คือโสตวิญญาณ ธาตุรู้ที่ต้องอาศัยหู ถ้าไม่มีประสาทหู ซึ่งมองไม่เห็นเลย แต่ว่าเป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง ตาก็คือ รูปพิเศษมองไม่เห็น แต่มี เพราะกำลังมีสิ่งที่ปรากฏ เมื่อสิ่งนั้นกระทบตา ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบตา ก็ไม่เห็น ข้างหลังนี่ไม่เห็นเลย ตาก็มี แต่รูปนั้นก็มีแต่ไม่กระทบ ไม่เป็นปัจจัยให้รู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้น วิญญาณ หรือ จิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้ง แต่ไม่ใช่สัญญาความจำ และไม่ใช่ปัญญาความเห็นถูก แต่ก็เป็นความรู้ต่างๆ นี่คือ การที่เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนเกิดมา แล้วก็จำทั้งนั้นเลย เห็นเมื่อไรก็จำ จำอะไรจำสิ่งที่เห็น ได้ยินเสียงก็จำแล้ว จำอะไร ก็จำเสียงที่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้น เสียงคน ไม่ว่าจะกี่คน ไม่ซ้ำกันเลย แค่โทรศัพท์ได้ยินเสียงก็รู้ว่าใคร ไม่เหมือนกันจริงๆ โดยวิญญาณ คือ โสตวิญญาณที่รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏเป็นเสียงนั้นๆ ถ้าขณะนั้นไม่ได้ยิน จะบอกว่าเสียงนั้นต่างจากเสียงอื่นบอกไปเถอะ สักเท่าไหร่ ก็ไม่รู้แจ้งเพราะสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏ แต่พอปรากฏเมื่อไหร่ รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฎ จึงเป็นวิญญาณคือจิต มีจักขุวิญญาณทางตาเห็น โสตวิญญาณทางหูได้ยิน ฆานะ คือ จมูก ฆานวิญญาณคือสภาพที่กำลังรู้กลิ่น กำลังลิ้มรสอร่อยมากเลย นั้นขมไป นี่เปรี้ยวไป แค่นั้น แค่นี้ก็เพราะ ชิวหาวิญญาณ ชิวหา คือลิ้น เกิดขึ้นลิ้มรส คือ รสนั้นปรากฏแจ่มแจ้ง ชัดเจนกับขณะที่กำลังลิ้มรส ทางกายก็เหมือนกัน เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ก็รู้ได้เมื่อกระทบกาย เพราะฉะนั้น จึงมีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กาย วิญญาณ กี่โลก

    ผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ๕ทางนี้ให้มีแน่ รวมทั้งอะไร ทางใจ มโนวิญญาณใช้ได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำ จะกว้าง จะแคบ จะลึก แล้วแต่ในที่นั้นที่ใช้คำอะไร ถ้ากล่าวถึงโลก ๖ ก็ต้องเป็นมโนวิญญาณ รู้ได้ทางใจ คิดนึก ไม่ต้องอาศัยตาเห็นก็คิด ไม่ต้องได้ยินเสียงก็คิด ไม่ต้องได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่สัมผัส ก็คิด แต่คิดตามที่จำ

    เพราะฉะนั้น สัญญา ไม่ใช่ วิญญาณ แต่เป็นสภาพที่จำ สภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏที่ใช้คำว่า วิญญาณ หมายเฉพาะ จิต เพราะฉะนั้น ขณะที่จำ ไม่ใช่จิตจำ เพราะจิตทำอะไร จิตรู้แจ้ง จะไปจำได้อย่างไร หน้าที่ของจิตก็คือ รู้แจ้ง ก็ต้องรู้แจ้งอย่างเดียว แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จะทำกิจเฉพาะของตน ของตน แล้วก็ดับไป ไหนเรา แล้วเป็นเรามาในสังสารวัฎนานเท่าไหร่ แล้วจะเป็นต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ใช่อยู่ดีๆ ปุบปั๊บก็มี การได้ยินหรือมีความเข้าใจแต่ต้องเป็นไปตามการสะสม ยังมีอีกมากมายหลายคำใน ๔๕ พรรษา นี่ไม่กี่คำ ความลึกซึ้งแค่ใหน ความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้ได้ ต่อเมื่อเข้าใจธรรมของพระองค์ ถ้าใครไม่เข้าใจธรรม ผู้นั้นไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ใครที่ได้เข้าใจแล้ว ก็เป็นกำลังส่วนหนึ่ง โดยความเข้าใจของเราเองแต่ละคน ที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อดำรงรักษาสิ่งที่มีค่าที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด สำหรับทุกคนที่เกิดมาที่มีชีวิตอยู่ ได้เข้าใจถูก เพราะว่าจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีโอกาสที่จะได้เข้าใจต่อไปหรือไม่ หรือสิ่งที่เข้าใจวันนี้ เล็กน้อยมาก เพราะยังมีอีกมากมาย ที่จะต้องเข้าใจถูก เพราะอะไร เพราะไม่รู้มานานเท่าไหร่ในสังสารวัฎ เกินกว่าที่จะประมาณได้ และยังเพิ่มขึ้นทุกวันด้วย

    เพราะฉะนั้น กว่าความรู้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็ยังดีกว่าไม่รู้เสียเลย เพราะฉะนั้น ก็ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง และประโยชน์ของคนอื่น ที่จะช่วยกันรักษาสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดของการที่เกิดเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้มีโอกาสจะเข้าใจธรรมด้วย ก็คงจะไม่หยุด และไม่รั้งรอ ที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อทะนุบำรุงรักษาให้พระพุทธศาสนาดำรงยั่งยืนต่อไป อีกไม่นาน ไม่ใช่ว่าจะยั่งยืนอย่างที่เราหวัง เพราะคนไม่รู้ ไม่ศึกษา ไม่เข้าใจธรรมมีมาก เทียบไม่ได้เลยกับ ส่วนน้อยที่สุดที่ได้ฟังธรรม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ด้วยการรู้ว่า ยังไม่รู้อีกมาก อย่าเพิ่งรีบร้อน ที่จะไปเข้าใจต่อปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ายังไม่รู้ว่าคืออะไร อย่างสมาธิ คืออะไร

    ผู้ฟัง จิตหรือไม่

    ท่านอาจารย์ จิตไม่ใช่สมาธิ ธรรม ที่มีจริงๆ นี่ จำแนกจากหนึ่ง คือ ธรรมทั้งหลายเป็นสอง คือธรรม ที่เกิดมีจริง แต่ไม่รู้อะไร ภาษาบาลี จะใช้คำว่ารูปธรรม แล้วพูดตาม เขาก็ต้องออกเสียง อย่างเป็นรูปธรรม แต่ของเราเป็นรูปธรรม เรามักจะตัดคำหลังไม่ออกเสียง ส่วนสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ด้วยธรรมพิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย ไม่ได้มี แต่สิ่งที่ไม่รู้อะไร เพราะถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อใดที่เกิด เมื่อนั้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะเป็นสภาพรู้เป็น ธาตุรู้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ สีสัน วัณณะกำลังปรากฏ เป็นรูปธรรม แต่สภาพรู้ที่กำลังเห็น ไม่ใช่เรา เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วดับไป นั่นคือ นามธรรม

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีในโลกนี้ คือ ธรรม ทั้งหลายเนี่ยก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรม กับ รูปธรรม ถ้ามีแต่รูปธรรม ไม่มีนามธรรมเลย อะไร อะไรก็ไม่ปรากฏใช่หรือไม่ ต้นไม้ ภูเขา หิน ก็ไม่มี อะไรที่จะรู้ไปเห็น แต่เพราะมีธาตุรู้ แต่เมื่อไม่รู้ว่า เป็นธาตุรู้ ซึ่งต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เกิดแล้วโดย ไม่รู้ก็เป็นเรา เข้าใจว่าเป็นเรา เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดแต่ความจริง คือ แต่ละหนึ่งนี่ มารวมกัน รูปร่าง สัณฐานต่างๆ เป็นดอกไม้ เป็นภูเขา แยกออกไปแล้ว ก็เหมือนกันหมด เล็กที่สุดก็ยังแข็ง มีสีปรากฏกระทบได้ว่า เล็กแค่ไหน มีสี มีกลิ่น ก็แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏ เพราะธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นสิ่งนั้นจึงปรากฏได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรก็ปรากฏไม่ได้เลย กำลังเห็นนี้เป็นธาตุรู้ กำลังได้ยินเป็นธาตุรู้ กำลังคิด คิดเรื่องไหน ก็รู้เรื่องนั้น ต้นไม้ รูปธรรม คิดไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าอะไร ก็ต้องสามารถเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสมาธิมีจริง เป็นธาตุรู้ แต่ธาตรู้มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ซึ่งเราใช้คำว่า จิต หรือ วิญญาณ นอกจากนั้นแล้ว เป็นเจตสิกทั้งหมด เป็นสภาพธรรมหลากหลาย เดี๋ยวเกิดกับจิตนี้ เดี๋ยวเกิดกับจิตนั้น เช่น เวลาโกรธเกิดขึ้น จะไม่เหมือนความสนุกเลย ใช่หรือไม่ ความสนุกความเพลิดเพลินมีจริง แต่จิตเป็นสภาพรู้แจ้ง สิ่งที่เราเข้าใจว่าขณะนั้นสนุกมาก เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน คือ จิต ส่วนสภาพรู้อื่นๆ เป็นเจตสิกทั้งหมด ขยันมีหรือไม่ ก็คือความเพียร ต้องเกิดกับจิต ไม่ไปเกิดกับต้นไม้ ใบหญ้า

    ด้วยเหตุนี้ จิตซึ่งเป็นสภาพรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดเพราะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น จิตหลากหลายมาก ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ก็คือ จิต เจตสิก เป็นนามธรรม และรูปซึ่งไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นสมาธิ สภาพที่ตั้งมั่น เป็นเจตสิก และคำว่าตั้งมั่น ตั้งมั่นทีละหนึ่งในอารมณ์หนึ่ง เพราะจิตหนึ่งเกิดขึ้น จะมีความตั้งมั่น ๒ อย่างของเจตสิกเกิดไม่ได้ ต้องเป็นเจตสิกอื่นๆ อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นค่อยๆ ขยายออกไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าไม่ใช่เรา เพราะเพียงแต่บอกว่าไม่ใช่เรา ใครก็ละไม่ได้ ต้องเป็นเราไปเรื่อยๆ แต่พอเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั้นเองละ เพราะไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่รู้แจ้งเป็นจิต หลากหลาย เพราะเจตสิกนานาชนิด เกิดบ้างไม่เกิดบ้างกับจิตนั้นบ้าง กับจิตนี้บ้างเป็นเจตสิก อย่างโกรธเกิดพร้อมกับความติดข้องได้ หรือไม่ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น โทสะความขุ่นใจ ความโกรธ ความไม่พอใจเป็นเจตสิกหนึ่ง ชื่อว่า โทสะเจตสิก ไม่ชอบใช่ไหม ถ้าอย่างงั้น กลัวเป็นอะไร ไม่ใช่จิตเเล้วใช่หรือไม่ เพราะจิตรู้แจ้งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น กลัวเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต เป็นเจตสิกอะไร โทสะ สำหรับคนที่ศึกษาแล้วรู้เลย สิ่งใดก็ตามที่ไม่น่าพอใจ ไม่ติดข้อง ขณะนั้นก็คือ โทสะเจตสิก เฉยๆ มีไหม เป็นอะไร เป็นเจตสิกอะไรอีก

    ถ้าเราไม่ศึกษาเราเดาหมดเลย กลับไปกลับมา สลับกันไปหมด แต่พอถึงเจตสิกอะไรมีถึง ๕๒ อย่าง แต่ถ้าไม่รู้ว่า ๕๒ มีอะไรบ้าง จะไปตอบก็ไม่ได้ แต่พอรู้แล้วจึงตอบได้ นี่ คือเบื้องต้น ยังอีกมากนัก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น พระศาสนาอันตรธานแล้ว จากคนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่ว่าใครทั้งนั้น จะบอกว่า มีพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ในเมื่อไม่เข้าใจก็ต้องไม่มี เพราะฉะนั้น วิกฤตที่ว่าคนส่วนใหญ่ นอกจากไม่เข้าใจแล้วยังทำสิ่งที่ผิดๆ เพราะเข้าใจว่าเป็นพระพุทธศาสนา ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง ก็มีหลายท่านที่หาหนทางที่จะเข้าใจธรรม เป็นสิ่งยากยิ่ง ที่บุคคลจะค่อยๆ เข้าใจว่าคำที่พระศาสดา คือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง หนทางที่ถูกต้อง คืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็มีเรื่องที่ว่ามีผู้หญิงสวยมากอยู่คนหนึ่ง ไปหาเขาให้เจอสิ จะรู้ไหมว่าเขาอยู่ไหน ไม่รู้เลยว่า เขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และบอกว่าเขาเป็นคนที่สวยที่สุดในจักรวาลนี้ เป็นที่ไหนก็ได้สักแห่งหนึ่ง ไปหามาให้หน่อยจะเจอไหม ไม่มีทางเจอเพราะไม่รู้ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร

    เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปหาธรรม และเราไม่รู้ว่าธรรม คืออะไร แล้วจะไปเจอธรรมได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้ว่า อะไรเป็นธรรม พอเห็นอะไร ก็บอกว่านี่เป็นธรรม เราก็เชื่อ เชื่อไปหมด แต่เราไม่รู้ว่าเป็นธรรมหรือไม่ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราโง่ แต่ว่าสอนให้เราซึ่งไม่รู้อะไรตามความเป็นจริง ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่าความจริงคืออะไร

    เพราะฉะนั้น จะใช้คำว่าธรรม หรือไม่ใช้คำว่าธรรม แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่อย่างที่เราคิด เวลานี้มีเห็น เห็นเกิดก็ไม่รู้ เห็นดับไปแล้ว ก็ไม่รู้ เมื่อครู่นี้เราอยู่นอกห้องเห็นอย่างหนึ่ง เข้ามาในห้องเห็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ทุกขณะ สั้นแสนสั้นที่สุด ซึ่งใครไม่รู้ว่า รวดเร็วแค่ไหน แต่พระปัญญาคุณ ทรงแสดงความจริงว่า หนึ่งขณะนี้ ไม่ใช่ขณะก่อน และก็ไม่ใช่ขณะต่อไป เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเกิดและดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วใครรู้ ไม่มีใครรู้สักคนเดียว ทุกคนก็ได้แต่เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นประตู เป็นหน้าต่าง เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ แล้วอะไรล่ะที่เป็นประตู อะไรล่ะ ที่เป็นหน้าต่าง อะไรล่ะที่เป็นโต๊ะ

    เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ สัตว์ คือ ผู้ที่ติดข้อง เราติดข้องในรูป อยากได้รูปสวยๆ ทุกอย่างในห้างสรรพสินค้าก็ไปหาซื้อมาแต่ละร้าน แต่ละร้านทุกอย่างหมด ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ติดข้อง และแสวงหาทุกวัน ตั้งแต่ลืมตา จนหลับตา จนตาย เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงเลยว่าไม่มี เหมือนตอนที่ก่อนมีเรา ก็ไม่มีเราใช่หรือไม่ แล้ว ก็ปรากฏว่ามีการเกิดขึ้น ยึดถือสิ่งที่เกิดนั่นเองว่าเป็นเรา แล้วพอจากโลกนี้ไป ไม่มีเราอีกเลยใช่หรือไม่ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจากชาติก่อนมา โดยไม่รู้ว่าชาติก่อนทำอะไรที่ไหน อาจจะเคยนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ ใครจะรู้ว่า เพราะเกิดเร็ว ตายเร็ว ก็อยู่ตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ ถึงสิ่งที่เป็นโลกก่อนหรือชาติก่อน เพราะเหตุว่า เหมือนประตูที่ปิดสนิท ก่อนนั้นก็เห็นทุกอย่างหมด แต่พอประตูปิดแล้ว มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่สามารถจะรู้ต่อไปได้ เพราะฉะนั้น กำลังเป็นอย่างนี้ โดยไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า ชาตินี้เป็นคนนี้ จะจบสิ้นเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องจบสิ้น โดยไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในทุกขณะ ไม่ว่าจะกี่ชาติ แต่ถ้าไม่เกิดไม่มี ก็แสดงว่ามีปัจจัยที่เกิดมากมายเหลือเกิน แต่ละอย่าง เมื่อครู่นี้อาหารที่โต๊ะก็คงมีหลายอย่าง แต่ละอย่างต้องเกิด ไม่เกิดไม่มี ทางตา ทางลิ้น ไม่มีใครนั่งรับประทานแต่ข้าวใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็มีรสต่างๆ ที่แสวงหา ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพที่ติดข้อง พอใจในสิ่งที่ไม่มีแล้ว แต่สืบต่อจนกระทั่งเหมือนยังมีอยู่

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ไม่รู้ไปหมดทุกอย่าง จนกว่าจะได้ฟังคำจริง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทำไมรู้ว่าเป็นคำจริง ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เราไตร่ตรอง ให้พิจารณาแต่ละคำว่า คำนั้นน่ะ ใครเปลี่ยนได้ไหม เช่น สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนให้ไม่มีได้ไหม เปลี่ยนให้ไม่จริงได้ไหม ก็ไม่ได้ จากแข็งให้บอกว่านี่หวานได้หรือไม่ ไม่ได้เลย แข็งปรากฏจะบอกว่าหวานไม่ได้ แข็งต้องเป็นแข็ง พอกระทบลิ้นรสปรากฏ จะบอกว่าไม่ใช่เค็มนะนี่ เป็นแข็งก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดยิบ แต่มารวมกันเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง หนึ่งด้วยความไม่รู้ก็ทำให้หลงเข้าใจว่า สิ่งที่มีเกิดแล้วนั่นเอง เราก็ไม่ได้ทำ แต่มาเป็นเราได้อย่างไร คิดดู แต่ละคำ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่เกิดแล้ว มีแล้ว แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เราก็ไม่ได้ทำ เราก็ไม่มี มีแต่สิ่งที่มีจริงเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้ง ความละเอียดของธรรม ซึ่งสัตว์โลกไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ตราบใดที่ไม่ได้ฟังคำจริงจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ หมายความว่า รู้ความจริงถึงที่สุด โดยฐานะของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง โดยฐานะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งไม่เท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับหนึ่ง และในฐานะที่เป็นสาวก เพราะฉะนั้น โพธิสัตว์ เป็นผู้ที่กำลังข้อง หรือแสวงหาในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น เมื่อแสวงหาความจริงก็เป็นโพธิสัตว์ สัตว์ที่แสวงหาที่จะเข้าใจถูกต้องในความจริง

    เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังธรรม มีความเข้าใจถูก เห็นประโยชน์ ไม่ละเลย คิดว่ารู้เท่านี้ไม่พอ ยังต้องรู้ต่อไปอีก แสดงว่าขณะนั้นไม่ใช่การติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส แต่ติดข้องที่จะเข้าใจความถูกต้อง ความจริงซึ่งมีจริงๆ ในขณะนั้น จึงเป็นโพธิสัตว์ ใครจะเป็นโพธิสัตว์ระดับพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม หรือว่าขอเป็นเพียงสาวกโพธิสัตว์ก็พอ เพราะแค่สาวกโพธิสัตว์นี้ก็แสนยาก ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่ฟังธรรมเลยแล้วจะเป็นโพธิสัตว์ แต่ว่าใครก็ตามที่ฟัง และเห็นประโยชน์ ฟังต่อไปจะไม่เป็นพระโพธิสัตว์ได้อย่างไร ในเมื่อเกิดมา ก็เต็มไปด้วยความต้องการ ในรูป ในเสียง อาหารอร่อยทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็มีโอกาสได้รู้ความจริง และเห็นว่าความจริงเป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง แสวงหาความจริง โดยการฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เรียกว่าโพธิสัตว์ ก็เป็นใช่ไหม แต่จะเป็นระดับไหน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่สามารถ จะมีพร้อมกันได้ ๒ พระองค์ เพระความรู้ต้องไม่มีใครเปรียบได้เลย พร้อมทุกอย่าง ในเรื่องของอภินิหารในเรื่องของ ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือบุคคลอื่นใดทั้งหมด มีเพียงพระองค์เดียว จึงได้ฟังคำของพระองค์นั้น เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงที่ได้ตรัสรู้ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย และพระชาติต่างๆ จะเห็นได้ว่าเพื่อเรา ที่ทุกคำที่ได้ฟังเดี๋ยวนี้ กว่าจะได้ฟังอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ที่เป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญคุณความดีที่ยากที่จะทำได้เท่าไหร่ ไม่มีใครเปรียบได้เลย

    มีคำอุปมาว่า ถ้าท้องจักรวาลทั้งหมด ไม่ใช่แค่โลกนี้ เต็มไปด้วยไฟ จะลุยไปเพื่อที่จะได้ถึงฝั่งของการที่ตรัสรู้ความจริงเพื่อคนอื่น ทำได้ไหม พระมหาโพธิสัตว์ทำได้ จึงทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วแต่ว่าขณะนั้น เป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยปัญญา หรือว่ายิ่งด้วยศรัทธา หรือว่ายิ่งด้วยความเพียร ตามที่ได้รับคำพยากรณ์ ว่าอีกนานเท่าไรจะได้ตรัสรู้ ก่อนนั้นก็ต้องมีความเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ความจริง ที่จะให้คนอื่นได้รู้ด้วยมาก่อนที่จะได้รับคำพยากรณ์ แต่คำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า หมายความ บุคคลนี้แน่นอนที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เบิกบานปิติหรือไม่ ถ้าเราอยู่ในสมัยนั้น ที่ว่าถึงเราไม่รู้ธรรมในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่พยากรณ์พระโพธิสัตว์พระองค์นี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีเวลาที่สามารถจะบำเพ็ญความดี จนกระทั่งรู้ความจริงได้ เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ไม่ท้อถอย ความจริงกำลังมี แต่ไม่รู้ แต่รู้ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่ด้วยความหวัง ไม่ใช่ด้วยความต้องการ ไม่ใช่ด้วยความเห็นผิด ดึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาต่ำอย่าง จนกระทั่งว่าไม่ต้องฟังธรรม ไม่ต้องเรียนธรรม ไปสำนักปฏิบัติ และก็ปฏิบัติอะไร นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง หลับบ้าง ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะละกิเลสได้หรือ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคน ต้องเป็นคนที่ตรง มีเหตุผล ไตร่ตรอง นั่นคือ ปัญญาที่ไม่เห็นผิดว่าไม่มีเหตุอะไร ก็จะละกิเลสได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาขณะนี้ กำลังถูกทำลายด้วยคำของผู้ที่ไม่ได้กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำของตัวเอง เพราะฉะนั้นต้อง เป็นคนที่มีเหตุผล มีความจริงใจ มีความมั่นคง สิ่งไหนผิด ต้องว่าผิดอย่างไร อย่างไรก็ถูกไม่ได้ ถ้าถูกจะเปลี่ยนให้เป็นผิดก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาธรรม แล้วกล่าวโทษคนที่ศึกษาธรรม ผิดหรือถูก เห็นหรือไม่ ต้องตรง แต่ถ้าใครไม่ได้กล่าวธรรม แล้วบอกว่าเป็นธรรม เขาผิดใช่ไหม ก็ต้องบอกว่าผิดจะบอกว่าถูกได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง จะทำให้รู้ความจริง และก็ความรู้ถูก เป็นประโยชน์แต่ความรู้ผิดเป็นโทษ เพราะฉะนั้น ได้ฟังอะไร ก็ต้องไตร่ตรอง ให้ถึงที่สุด จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่รับรองทันที สำนักปฏิบัติก็ไปสำนักปฏิบัติ ปฏิบัติ คืออะไร ก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ บุคคลที่ไปสำนักปฏิบัติ เขาก็จะพูดให้ฟังว่าที่เขาไปปฏิบัติ ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้างนี่ ก็ปิดวาจาหนึ่งกิจกรรมที่เขาจะต้องทำ

    ท่านอาจารย์ สอนให้ปิดวาจา พระพุทธเจ้าปิดวาจาของพระองค์หรือไม่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    18 ก.ค. 2568