ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454


    ตอนที่ ๑๔๕๔

    สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร

    วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ ถ้าเราคิดถึงฉันทะ ขณะที่คิดนั้นควรรู้ไหมว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ควรจะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ผ่านไปมากมาย แล้วก็ยังคิดนั่นคิดนี่ อยากนั่นอยากนี่ ขึ้นมาอีก ทำตามความอยากก็มี หรือว่าแม้แต่ฉันทะ ก็รู้ว่าจะรู้ได้เพียงแค่ฟัง ยังอยากจะเข้าใจเกินกว่านี้ไหม หรือว่ารู้แล้วว่าเข้าใจไม่ได้ก็เข้าใจแค่นี้ ตามที่สามารถจะเข้าใจได้เดี๋ยวนี้ เพราะฉันทะไม่ได้ปรากฏดี ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็มีฉันทะ

    ขณะนี้มีทุกอย่างที่เรากำลังพูดถึง แต่ไม่ได้เข้าใจแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ ตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ด้วยความอยากที่จะรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น กำลังคิดเป็นสิ่งที่ควรรู้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ควรรู้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คิดไปเรื่องอื่นอีกใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะรู้คิด

    ผู้ฟัง ก็ตอบไม่ได้ จนกว่าจะมีเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ก็มีความมั่นคงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยมากมายหลายประการ ทุกอย่างที่ไม่รู้ ต้องเป็นสิ่งที่ถ้าไม่รู้ก็ละไม่ได้เพราะไม่รู้ความจริง สิ่งนั้นปรากฏแล้วรู้เมื่อไหร่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะละความติดข้องในสิ่งที่กำลังมี โดยไม่เลือกว่าเมื่อไหร่ วันไหน และอะไร

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นฉันทะที่จะรู้ความจริงแล้วก็เป็นไปตามลำดับ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้น เจตสิก สภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เพราะจิตแท้ๆ จิตเท่านั้น จิตล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปน ผ่องใสเป็นปัณฑระ แต่เมื่อมีอกุศลเจตสิกเกิดด้วย จิตนั้นก็เป็นอกุศลด้วย ถ้ามีโสภณเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย จิตนั้นก็เป็นกุศลจิต หรือกิริยาจิต จิตของผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ที่จะไม่เหลืออกุศลใดๆ เกิดขึ้นได้เลย แม้จิตขณะนั้นก็ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย

    ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เกิดดับเร็วที่สุด และเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รวมกันเหมือนกับเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งแยกกันไม่ได้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทีละหนึ่ง ซึ่งต่างกันแต่เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกัน และเกิดร่วมกันด้วย จึงทำให้หลงผิดว่าเป็นเราที่กำลังอยู่ตรงนี้ หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แยกย่อยออกไปเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมหลากหลายมาก แต่สามารถเข้าใจได้ โดยการที่ต้องตามลำดับ ขณะนี้มีฉันทะเกิดร่วมด้วยไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ขณะเห็น มีฉันทะเกิดร่วมด้วยไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ใครจะรู้ ทั้งหมดมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกครั้งที่เข้าใจถูกต้องก็เป็นการที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้แล้วก็ทำสิ่งซึ่งจะเป็นคุณความดี เพื่อที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ ก็เป็นความกตัญญูและกตเวที คุณชานนท์รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม

    ผู้ฟัง รู้บ้าง

    ท่านอาจารย์ พระคุณมากไหม ยิ่งใหญ่ไหม

    ผู้ฟัง ยิ่งใหญ่มาก

    ท่านอาจารย์ จากความไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณอย่างนี้แล้วจะทำอะไร

    ผู้ฟัง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงทำประโยชน์แก่ชาวโลก อนุเคราะห์ชาวโลก คำของพระองค์ควรดำรงรักษาไว้ไหม

    ผู้ฟัง ควร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะทำอะไรเมื่อเข้าใจธรรมแล้ว

    ผู้ฟัง ก็ให้ความเข้าใจแก่ผู้อื่นเท่าที่เป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เพื่อดำรงรักษาพระคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก ให้คนอื่นได้รับมรดกซึ่งสิ่งประเสริฐที่สุด สิ่งที่โจรก็ลักไปไม่ได้ สูญหายไปไม่ได้เลย เพราะอยู่กับจิต อยู่ในจิต

    เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือ ได้รับประโยชน์จากคำของพระองค์ก็กล่าวคำของพระองค์ เพื่อให้คนอื่นได้รู้คุณของพระองค์ด้วย

    อ.อรรณพ ฉันทะที่จะรู้คุณแล้วจะกระทำทุกอย่าง เพื่อที่จะกตเวทีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นฉันทะที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้คุณก่อน ถ้าไม่รู้คุณ จะตอบแทนคุณได้ไหม ไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วเอาคุณที่ไหนมาระลึกถึงว่า รู้คุณ ทุกอย่างต้องสอดคล้องและเกี่ยวเนื่องกันและต้องตรง

    ผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ผู้ที่ฟัง จะศึกษา จะอ่าน อะไรก็ตามแต่ด้วยความเคารพ ต้องรู้ว่าด้วยความเคารพคือ ไตร่ตรองในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ยากยิ่งลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระองค์ไม่ควรที่จะผิวเผิน และเข้าใจผิด เพราะเหตุว่านั่นจะไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    อ.วิชัย อย่างที่คุณชานนท์ได้ตอบท่านอาจารย์ว่า ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นไม่มีฉันทะเกิดร่วมด้วย ก็คือเป็นการที่ได้ฟังพระธรรม จากการที่ได้ศึกษา แต่แม้จะรู้ว่าขณะนี้มีฉันทะ แต่ว่าลักษณะของฉันทะไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็นเกิด เกิดเองไม่ได้ใช่ไหม ต้องมีปัจจัย พูดเพียงแค่ปัจจัยเดียวก็ได้คือ เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่อาศัยกันและกัน คือ จิตก็อาศัยเจตสิก ถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้ และเจตสิกก็อาศัยจิต ถ้าไม่มีเจตสิก จิตเกิดไม่ได้ จึงเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัย ชาตะคือ เกิด สหคือ พร้อมกัน เพราะฉะนั้น จิต และเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน มีเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวงกี่ประเภท

    ผู้ฟัง มีทั้งหมด ๗ ประเภท

    ท่านอาจารย์ ตอบกันได้เลย และรู้เจตสิกไหน

    ผู้ฟัง ไม่รู้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะต้องกล่าวถึงฉันทะไหม กล่าวถึงอะไรๆ ก็เหมือนกันทั้งหมด คือ ไม่ได้ปรากฏ เพราะแม้แต่จิตยังไม่ปรากฏเลยทั้งๆ ที่กำลังเห็น แต่ธาตุที่เกิดขึ้นเห็นไม่ได้ปรากฏว่าดับแล้ว

    เพราะฉะนั้น จะต้องต่างกับที่เราเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เห็น คือแค่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ เป็นอย่างไร จึงกล่าวว่าไม่มีเรา และไม่ใช่เรา เพราะมีปัจจัยเกิดและดับ เราอยู่ไหน

    แต่ละคำ จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ มั่นคงจริงๆ ว่า ความเข้าใจขั้นนี้ไม่มีปฏิปัตติ มีไม่ได้ ที่ไปปฏิบัติกันตามสำนักปฏิบัติต่างๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าการที่จะถึงระดับขั้นของปัญญาต้องมาจากขั้นฟัง

    ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นฟังเลย หรือความเข้าใจเล็กน้อยมาก เช่น จะตอบว่าเจตสิก ๗ ดวง เกิดกับจิตทุกประเภท เจตสิก ๗ ดวงนั้นคืออะไรบ้าง แค่นี้พอไหมที่จะให้ปฏิปัตติ สามารถถึงเฉพาะแต่ละหนึ่งธรรม ซึ่งก็คือหนึ่งเจตสิก หรือหนึ่งจิต

    แสดงให้เห็นว่าเป็นความประมาทอย่างยิ่ง เป็นคำที่คิดว่าส่งเสริมดำรงพระศาสนา แต่เมื่อไม่ใช่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทุกคำ เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ตรงกับความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงฉันทะ แค่เจตสิกสักหนึ่งเดียวที่เกิด มีใครรู้บ้าง

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เช่น ผัสสะเจตสิก เป็นต้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปไกลจนถึงฉันทะ เจตสิกอะไรๆ อีกมาก ทำไมตรัสไว้อย่างละเอียด เพื่อให้รู้ว่าไม่มีเราจริงๆ โดยประการทั้งปวง โดยประเภทของเจตสิก โดยกิจการงานของธรรมต่างๆ เป็นต้น ทรงแสดงเพื่อค่อยๆ ละความเป็นเรา จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง แต่ต้องเมื่อมีความเข้าใจขั้นปริยัติ ประจักษ์แจ้งทันทีไม่ได้ ต้องมีการอบรมที่จะค่อยๆ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่เข้าใจแล้ว แต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา เพื่อรู้ความจริงถึงที่สุดว่า ไม่มีเรา

    เพราะฉะนั้น จะโดยวิธีอื่นไม่ได้เลย โดยเราทำอย่างนี้ โดยเราไปนั่ง ไปนอน ไปเดิน ไม่ได้เลย ดังนั้นต้องมั่นคงในความเป็นผู้ที่มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ฟังไว้ๆ เพื่อเข้าใจชัดขึ้น มากขึ้น ตามกำลังความสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีเรา เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ขอสนทนาเกี่ยวกับ คำว่าพระธรรม คืออะไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ทำไมบอกว่ามี

    ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เข้าใจธรรมแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ธรรม คืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม ใครจะพูดว่าอย่างไรก็ตาม แต่ให้เข้าใจว่าธรรมต้องมีจริงๆ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และความจริงนั้นคืออะไรบ้าง ต้องมีสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้ตรัสรู้ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เช่น ขณะนี้มีเห็น เห็นเป็นใครไม่ได้เลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงจึงเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงธรรม ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง คำของพระองค์ที่ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ไม่ใช่คำของคนอื่นที่ไม่รู้ความจริง

    ดังนั้น พระธรรม คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย แต่ต้องสอดคล้องกันทุกคำ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง อะไรก็ตามที่มีจริงต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ กำลังอยู่ในโลกของสิ่งซึ่งมีทั้งหมดเพราะเกิดขึ้น ไม่เกิดไม่ได้ ไม่เกิดจะไม่มี แสดงให้เห็นว่าขณะนี้ทุกอย่างในโลกเป็นธรรมที่เกิดเป็นอย่างนั้นๆ ๆ แม้แต่ที่ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ ก็คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ ๆ ซึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เห็นเป็นเห็น สุนัขเห็นไหม นกเห็นไหม ลิงเห็นไหม ช้างเห็นไหม

    เห็นไม่ใช่ช้าง ไม่ใช่ลิง ไม่ใช่นก เพราะเห็นเกิดขึ้นและดับไป ถ้าเอารูปร่างออกหมดจะมีคนเห็น ช้างเห็น เทวดาเห็น แมวเห็นไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ความจริงถึงที่สุดเป็นธรรมก็คือว่า เห็นเป็นเห็น สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย เป็นความจริงถึงที่สุด ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมที่ต่างจากเห็น เพราะว่าสามารถเกิดเมื่อเสียงกระทบหู ถ้าเสียงไม่กระทบหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดนึกเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริง ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เมตตา มีความเป็นมิตร เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เเล้วเดี๋ยวนี้ธรรมอยู่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ที่กายนี้

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่สิ่งที่เราเรียกว่าเป็นเรา หรือทุกคน หรือสิ่งที่มีตรงไหนก็เกิดตรงนั้น มีตรงนั้น เพราะฉะนั้นที่คนมีดอกไม้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าคนไม่ได้เกิดที่นี่ ใช่ไหม เกิดตรงไหนก็ตรงนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ตรงแต่คำว่า มีจริง แต่ว่ายังไม่รู้ความจริงถึงที่สุด จนกว่าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าแล้วไตร่ตรอง จนรู้แน่ว่าความจริงนี้เปลี่ยนไม่ได้ ยังสงสัยไหม ธรรมมีจริง ถ้าไม่มีการประกาศโดยการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจ ทุกคำของพระองค์เป็นพระธรรม เป็นที่พึ่งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ พึ่งอย่างไร

    ผู้ฟัง เข้าใจก็เป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่มีเรา ไม่มีของใคร ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากมีสิ่งที่เกิดแล้วดับสืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วสามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง สามารถรู้ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องสามารถรู้ความจริงอย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ด้วยการเดา ด้วยการคิด แต่ด้วยความเข้าใจขึ้นๆ ค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ไม่ใช่เพียงฟังแค่นี้ก็จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้เลย แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัยที่สมควร ถ้ามีการอบรมปัญญาถึงระดับนั้นแล้ว จะไม่ปรากฏความจริงเหล่านี้ให้รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ แต่ค่อยๆ อบรม สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพื่อละความเป็นเราที่เคยเข้าใจว่ามีเรา ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ นานแสนนาน หลายแสนหลายโกฏิกัปป์มาเเล้วก็เป็นเรามาโดยตลอด จนกว่าจะรู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงก็รู้แน่นอนว่าไม่มีเรา แต่มีสภาพธรรมต้องเกิด เพราะตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้เกิดต้องเกิด และต้องเป็นไปตามปัจจัยเท่าที่ปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สักหนึ่งเดียวก็กลับมาไม่ได้

    ผู้ฟัง วันๆ หนึ่งมีเรื่องเดือดร้อนใจเพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ ต้องการรู้อะไรก็ต้องทีละหนึ่ง จะได้รู้ว่าปัจจัยที่จะให้เกิดสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าจะพูดถึงคิด มีปัจจัยอะไร ถ้าจะพูดถึงแสบตา มีปัจจัยอะไร ต้องทีละหนึ่ง จึงสามารถที่จะรู้ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น ไม่ใช่รวมๆ กัน และเกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้น

    ผู้ฟัง นั่นคือเป็นเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง นี่อะไร

    ผู้ฟัง ดอกกุหลาบ

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสี

    ท่านอาจารย์ ทันทีที่เห็นแล้วคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้คิด ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่พูด ต้องคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ ต้องคิด

    ท่านอาจารย์ แต่จะเข้าใจต้องทีละหนึ่ง โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ ต่างกัน โลกทางตาคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ โลกทางตา คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นโดยอาศัยตา และมีสิ่งที่กระทบปรากฏโดยอาศัยตา เป็นโลกทางตา เห็นแล้วจำ ทันทีที่มีอะไรที่เกิดขึ้น จะเห็นหรือจะได้ยินก็ตาม ต้องจำ ซึ่งเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น เมื่อเห็น และจำ ขณะนั้นไม่ได้รู้ว่าเป็นอะไร ใช่ไหม แต่จำสี จำสัณฐาน จำสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วต่อจากนั้นถ้าไม่คิดจะรู้ไหมว่าเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าไม่คิดก็จะไม่ทราบว่าเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นอะไรก็คิดถึงสิ่งที่เห็น ได้ยินอะไรก็คิดถึงเสียงที่ได้ยิน เป็นต้น ความคิดติดตามทุกทาง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดแล้วดับแล้ว ทั้งใจก็เพราะจำจึงได้คิดถึงสิ่งนั้น จำชื่อ จำเรื่องต่างๆ ได้ ก็เป็นธรรมทั้งหมด เกิดพราะเหตุปัจจัยทุกอย่าง แต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่มีเรา เพราะสิ่งนั้นเกิดเพียงชั่วขณะแสนสั้น และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ว่า สติ กับ หลงลืมสติ

    ท่านอาจารย์ สติคืออะไร

    ผู้ฟัง สติ ระลึกรู้ทางกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีขณะนี้ สติจะเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏแล้วเข้าใจได้ไหม ถ้าไม่เคยเข้าใจมาก่อน เพราะใช้คำว่าระลึกรู้

    ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าระลึกรู้ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าคืออะไร เป็นสติหรือเปล่า หรือว่าเป็นสติขั้นไหน ไม่ใช่ธรรมเราคิดเอง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ฟังเพื่อเข้าใจ พูดว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เข้าใจหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ยัง

    ท่านอาจารย์ เพียงได้ฟังเขาพูดกันว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เดี๋ยวนี้มีธรรม แค่นี้พอไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่พอ ก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ลองคิดดู บอกเด็กให้พูดอย่างนี้ "ธรรมคือสิ่งที่มีจริง" เด็กพูดตามได้ เด็กเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง เด็กไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราเหมือนเด็ก หรือไม่เหมือนเด็ก เพียงบอกว่าทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ทุกสิ่งยังไม่รู้เลยว่าอะไร แล้วธรรมเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้ยินคำว่าทุกสิ่งเป็นธรรม พูดได้ ถ้าแบบนี้ผู้ใหญ่จะหลงดีใจว่าเด็กรู้ธรรม แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าใจจริงๆ รู้ว่า เด็กไม่ได้รู้หรอก เเค่จำ

    ผู้ฟัง ได้ยินคำว่า สติ กับสัมปชัญญะ ไม่เข้าใจว่า สติ กับ สัมปชัญญะ ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจตรงก็คือว่า สติเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพของธรรมที่เป็นธาตุรู้ เป็นเจตสิก เกิดกับจิต เจตสิกหลากหลายมากต่างๆ นานาเป็น ๕๒ ประเภทก็จริง แต่เวลาเกิดจริงๆ นับไม่ถ้วนเลย เพราะเหตุว่าแม้แต่โลภะ น้อยก็มี มากก็มี เป็นไปในเรื่องนี้ก็มี ในเรื่องนั้นก็มี ในสิ่งที่ดับไปแล้วเเละมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น โลภะก็เกิดตามต่อไปในสิ่งใหม่ นับประมาณไม่ได้เลย แต่มีจริง เพราะฉะนั้น เจตสิกเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งมีจริง และมีลักษณะหลากหลาย

    สติ คือ สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล ตัดปัญหาหมดเลย เพราะว่าต้องเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล ถ้าระลึกได้ว่าเมื่อเช้านี้รับประทานอาหารอะไร เป็นสติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าระลึกที่จะช่วยคนที่เขากำลังลำบาก เป็นสติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วเข้าใจ มีสติไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สติเป็นสภาพที่ระลึกได้ เป็นไปในกุศล เดี๋ยวนี้ได้ฟังว่าไม่มีเรา มีธรรมจริงๆ ทางตาก็เป็นอย่างหนึ่ง ทางหูก็เป็นอย่างหนึ่ง ฟังอย่างนี้แล้วระลึกเป็นไปในกุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ระลึกได้ คือ ต้องรู้ตรงที่สภาพธรรมหรือปรากฏ เช่น กำลังเห็น ไม่ใช่ไปคิดอย่างอื่น แม้แต่คิดก็ไม่ได้ แต่ลักษณะที่กำลังทำหน้าที่เห็น กำลังเห็น รู้ตรงนั้น ประกอบด้วยความเข้าใจถูกที่ได้ฟังมาว่า เห็นไม่ใช่เรา เพราะเราเห็นทั้งวัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสติเกิดทั้งวัน

    เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่า สติ เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศลทุกระดับขั้น ขณะที่จะให้ทานเพราะสติเกิดเป็นไปว่า วันนี้จะให้ทานอะไร จะเป็นอาหาร จะเป็นเครื่องนุ่งห่ม จะเป็นยารักษาโรค หรือความรู้ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องก็แล้วแต่ ระลึกเป็นไปในกุศล แล้วแต่ซึ่งหลากหลายมาก ระดับหนึ่ง ขณะนั้นเป็นเราที่ระลึกได้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าระลึกว่าจะทำกุศลอะไรนั้น น่าจะเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ น่าจะ ฟังธรรมแล้วตอนนี้จะตัดคำว่า น่าจะ ออก เพราะไตร่ตรองและมั่นคง ถ้า น่าจะ ก็ไม่มั่นคงตลอดชีวิต น่าจะ หมดเลย แต่ว่าฟังแล้วมั่นคงที่จะเข้าใจทีละหนึ่งให้ชัดเจนว่า สติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล มีเสื้อผ้ามากมายหลายอย่าง มีอาหารอร่อยๆ เหลือเฟือ ระลึกเป็นไปในการที่จะให้คนอื่นได้รับประทานบ้าง หรือได้ใช้สอยบ้างหรือเปล่า ยังไม่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่สติเมื่อนั้น เสื้อผ้าก็ยังเต็มตู้ อาหารอร่อยก็ยังอยู่บนโต๊ะ ขณะนั้นสติไม่เกิด

    แต่เมื่อระลึกเป็นไปในกุศล ไม่ใช่เรา ข้อสำคัญต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ระลึกในทางที่เป็นไปในกุศล กำลังเข้าใจธรรมเป็นกุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นแน่นอนใช่ไหม แต่เป็นสติสัมปชัญญะหรือเปล่า เริ่มมีสัมปชัญญะเข้ามาอีกหนึ่งคำ เมื่อครู่นี้ถามถึงสติเท่านั้นใช่ไหม แต่นี่สติสัมปชัญญะ มีหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ต้องมีความต่างกันระหว่าง สติ และสติสัมปชัญญะ ถ้าคนที่ให้ของใครๆ มีอัธยาศัยสะสมมาที่จะสละสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้คนอื่น เขามีสติสัมปชัญญะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีอะไร

    ผู้ฟัง มีสติระลึกรู้ในกุศล

    ท่านอาจารย์ มีสติ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความต่างกันระหว่างสติ กับ สติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีการศึกษาโดยละเอียด โดยความเคารพ ไปห้องปฏิบัติเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    21 ก.ค. 2568