ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
ตอนที่ ๑๔๔๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมซินนามอน เรสซิเดนซ์
วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ ด้วยความลึกซึ้ง จึงต้องศึกษาด้วยความละเอียดจริงๆ ได้ยินคำว่า พระไตรปิฎกเมื่อครู่ใช่ไหม ข้ามไปได้หรือไม่ ไม่ได้เลย ปิฏก หรือ ปิ ตะ กะ ก็หมายความถึง ตะกร้าหรือว่าสิ่งที่รองรับสิ่งที่เราใส่เข้าไป
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดใน ๔๕ พรรษา ครั้งแรกก็กล่าวถึงพระธรรมวินัย เพราะว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทุกคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อให้เข้าใจ ต้องไม่ลืม ไม่ใช่เพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญไม่ป่วย ขอกันไป ขอกันมา แต่ให้รู้ว่าความจริง คืออะไรเพราะว่า ความจริงมีทุกขณะ แต่ไม่รู้
ด้วยเหตุที่คำสอนที่ลึกซึ้งเป็นพระธรรม และธรรมที่พระองค์ตรัสทุกคำเป็นไปเพื่อการละความไม่รู้ และกิเลสทั้งหมดความไม่ดีทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ ถ้ารู้แม้ แต่รู้ว่าไม่ดีก็ไม่ทำ แต่ยิ่งรู้ว่าไม่มีเรา แต่ความไม่ดีก็เป็นธรรมที่ไม่ดี ความดี ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่ดี ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เราจะให้เกิดแต่ธรรมที่ดี ได้ไหม ให้เป็นคนใจดีช่วยเหลือคนอื่นสารพัดอย่างได้หรือไม่ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ จึงเป็นเรา รักใครที่สุดทุกชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย คือ เรา ตัวเรานี่เอง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รวมทั้งทุกอย่างสุขทุกข์ทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติเงินทอง เพื่อนฝูง วงศาคณาญาติ เพราะมีเรา
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดนี้เอง ก็เป็นปัญหาของโลก ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวพุทธไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทย เพราะความจริงไม่จำกัดเลย เป็นจริงทุกกาลสมัย ทุกหน ทุกแห่ง ไม่ว่าโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ พรหมโลก หรือที่ไหนก็ตาม ความจริงต้องเป็นความจริง
เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ของใคร แต่เป็นธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นหลากหลาย นี่ละความไม่รู้ แล้วใช่ไหม
เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมด เป็นไปเพื่อขัดเกลา ละคลายกิเลสทั้งหมด ซึ่งเกิดจากความไม่รู้ ถ้าทุกคนรู้เป็นพระอริยะบุคคล โลกไม่เดือดร้อน แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ธรรม ที่เป็นเดี๋ยวนี้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ก็ทำให้มีการที่ต่างกันไป ด้วยความคิดด้วยการประพฤติทางกาย ทางวาจา
เพราะฉะนั้น ศาสนา อนุศาสนีย์ เป็นคำสอน แล้วแต่ว่าจะเป็นศาสดาใด ก็มีชื่อตามเจ้าลัทธิ หรือว่าศาสดานั้น ก็ต่างกันเป็นพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ แต่พุทธไม่ต้องชื่อว่าพุทธ ก็ได้ ความจริง คือ เป็นศาสนาคำสอนที่กล่าวถึงความจริง ซึ่งเป็นปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเห็นความจริงนี้ โดยลักษณะอื่น เป็นคำสอนของศาสดาอื่น แต่คำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เป็นจริงตลอด ไม่ว่ากับใคร ที่ไหนเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พุทธศาสนา จากการที่มีผู้บำเพ็ญบารมี ตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นจริง ไม่เลือกเลย ทุกหน ทุกแห่ง ทุกเวลา ผู้นั้นก็เป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อทรงแสดงพระธรรมก็จำแนกเป็น ๒ ส่วน ธรรมมีจริง วินัยนำออก ซึ่งความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความจริงจากการรู้ความจริงเท่านั้น ที่สามารถจะนำออกซึ่งความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำ ไม่ต้องเรียกว่า พระพุทธศาสนา แต่ก็รู้ว่า เป็นพระพุทธศาสนาแน่นอน และต้องมีผู้ที่ตรัสรู้ด้วย มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ความจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังเป็นเดี๋ยวนี้ด้วย นี่ก็เริ่มเข้าใจพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น วินัยนำออก ซึ่งความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย โดยพระธรรม ถ้าไม่มีพระธรรมที่ทรงแสดงให้เกิดปัญญา อะไรจะนำกิเลสออก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเรา แต่ความจริงหาเราได้ไหม ใครว่ามีเรา เห็นก็เห็น เกิดแล้วดับ ตาก็ตา เกิดแล้วก็ดับ ไหนเรา ดับแล้ว จะเป็นของเราได้อย่างไร แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ถ้าคิดอย่างลึกซึ้งคือ ตรงทุกคำ ไม่มีใครสามารถจะค้านได้ เพราะเหตุว่าความจริงเป็นอย่างนี้ และยังละเอียดกว่านี้มากมาย ภายหลัง เมื่อมีการสังคยานา แล้วก็มีการแยกเป็นพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม จากเดิม คือ ธรรมวินัย ซึ่งก็คืออย่างเดียวกัน แต่ว่าแสดงให้เห็นว่าธรรมนั่นเองเป็นวินัย ที่จะขัดเกลาความไม่รู้ แต่ว่าคนฟัง มีอัธยาศัยต่างกัน
เพราะฉะนั้น คนฟังที่สะสมมา ที่จะละอาคารบ้านเรือน ดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะขัดเกลากิเลสในอีกเพศหนึ่ง ซึ่งไม่ครองเรือน ไม่อยู่บ้าน แต่ว่าสละทั้งชีวิตเพื่อที่จะศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศที่ไม่ใช่คฤหัสถ์ คือ ผู้ครองเรือนแต่ในเพศของผู้สละ ละอาคารบ้านเรือน เป็นบรรพชิต เพราะฉะนั้น จึงมีพระภิกษุ และคฤหัสถ์ พระภิกษุในครั้งนั้น มีภิกษุณี เพราะเหตุว่า ภิกษุณี คือ ผู้ที่มีการสะสมมาที่จะรู้ความจริงถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีพระอรหันต์รูปใดเลยที่จะอยู่บ้านอยู่เรือนมีชีวิตคลุกคลีกับคนในบ้านหรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงอีกต่อไปได้เพราะไม่มีกิเลส รู้ความจริงถึงที่สุด เพียงแต่ว่าเหมือนคนงานที่ยังไม่เลิกงาน เพราะฉะนั้น ก็มีชีวิตอยู่ทำกิจ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ไป จึงใช้คำว่าปรินิพพาน หมายความว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดได้อีกเลย หลังจากที่จากโลกนี้ไปแล้วจึงใช้คำว่าปรินิพพาน ดับโดยรอบ
เพราะฉะนั้น การดับมี ๒ อย่าง ดับกิเลสก่อน เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม จนกระทั่งถึงปรินิพพาน คือ ไม่เหลือที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะแสดงธรรมอีกต่อไป สิ่งที่เหลือ คือ พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งวันหนึ่งก็ต้องอันตรธานมิฉะนั้นแล้วจะมีไหม พระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ปรินิพพานแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือ พระธาตุที่เราใช้คำว่า กระดูก ก็เหลือ เป็นเรื่องมากมายในพระไตรปิฎก ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว ณ กาลครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้ ต่อไปก็จะถึงวันที่เราจากโลกนี้ แต่ก่อนจาก ก็มีเวลาที่ได้ฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น พระวินัยเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เองว่า ถ้าจะขัดเกลากิเลส ในเพศบรรพชิต จะประพฤติอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ นี่ คือความจริงใจ แสดงให้เห็นว่า ถ้าผู้ใดสามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็ทรงอนุญาตให้บวชแล้วก็ ให้ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส ตามพระวินัย ถ้าทำผิดพระวินัยเพราะยังมีกิเลส ทรงอนุเคราะห์ด้วยการแสดงลำดับโทษของพระวินัยว่าถ้าทำผิดอย่างนี้ ยังไม่ต้องถึงกับความหมดสิ้นความเป็นภิกษุ และก็ตามลำดับขั้นของความผิด จนถึงความผิดซึ่งต้องสิ้นสุดความเป็นภิกษุ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บุคคลนั้นไม่ใช่ภิกษุและยิ่งกว่านั้น คือ ตลอดชีวิตจะบวชอีกไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ไม่มีอัธยาศัยที่จะถึงความเป็นภิกษุ แล้วจะเป็นภิกษุทำไม เพราะว่าสามารถที่จะฟังธรรม ขัดเกลา กิเลสในฐานะของผู้ครองเรือน ถึงความเป็นพระโสดาบันดับกิเลสขั้นหนึ่ง ถึงความเป็นพระสกทาคามี ดับกิเลสอีกขั้นหนึ่ง ถึงความเป็นพระอนาคามี ก็ดับกิเลสอีกขั้นหนึ่ง เมื่อบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ก็ต้องบวชหรือไม่ก็สิ้นชีวิตในวันนั้น
นี่คือความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง กว่าจะถึงการเข้าใจทั้งหมด แม้แต่สิ่งที่เคยเป็นเรา แต่ละเล็กแต่ละน้อยแต่ละหนึ่ง วันนี้เป็นเรามากหรือไม่ เบื่อก็เป็นเรา ขยันก็เป็นเรา โกรธก็เป็นเรา ขุ่นใจ ก็เป็นเรา เราทั้งนั้น แต่เมื่อถึงการดับกิเลสคิดดู คำนี้ไม่ใช่ชั่วคราว ไม่ใช่ละวางไม่ใช่ไปทำอย่างโน้น อย่างนี้ แต่รู้ความจริงว่ายังมีกิเลสที่เป็นเรา เหลืออยู่ไหม เดี๋ยวนี้เลย ทั้งหมดเป็นธรรม เข้าใจในขั้นต้นอย่างนี้หรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจในขั้นต้นอย่างนี้ ปัญญาขั้นต่อไป มีไม่ได้ เพราะเหตุว่าปัญญาต้องเกิดตามลำดับ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็ตาม ได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรม ก็ไปเลย ไปทำอะไร รู้อะไร ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงเห็นถึงความวิกฤต ด้วยความไม่รู้ และนำมาซึ่งความติดข้อง เพราะฉะนั้น สิ่งเดียว ที่ชาวพุทธจะต้องรู้ว่าทำไม โลกทั้งโลก วิกฤตไปหมดเลย ไม่ว่าประเทศไหน เพราะพระพุทธศาสนากำลังวิกฤต ไม่มีใครเข้าใจความจริงแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร ที่ทุกคนแต่ละคนไม่ดีเนี่ย รู้ได้เลย เพราะไม่รู้ความจริง ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่ดี และธรรมที่ไม่ดี ห้ามไม่ได้ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็สะสมไป ทุกวัน สะสมกิเลสสะสมความติดข้อง สะสมทุกอย่างหมด แม้แต่สำนักปฏิบัติ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ไปเข้าใจว่า นั้นน่ะจะทำให้เป็นพระโสดาบัน บางคนก็บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาวิกฤต อยู่ที่พวกเรา แต่ละคน เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนสำหรับเข้าใจความจริง ไม่ว่าใคร ชาติไหน เม็กซิโก ญี่ปุ่น จีนทุกอย่างหมด เขามีโอกาสที่เขาสะสมมา เป็นปัจจัย จึงได้ฟังธรรม จึงได้เข้าใจธรรม จึงเป็นผู้ที่ ไม่อันตรธานจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ที่พระพุทธศาสนาวิกฤติ คือใกล้ที่จะหมดไม่มีใครมีโอกาสได้ยินได้ฟังอีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่สะสมมา ที่จะเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ว่าประโยชน์สูงสุด ทั้งตนเอง และคนอื่น ก็คือว่า ได้เข้าใจธรรมก่อนตาย แล้วจะตายวันไหน ใครรู้
ผู้ฟัง เพราะเหตุใด พุทธศาสนาถึงอันตราธานในความเห็นของผม เช่น คำว่าสมาธิ คนก็จะคิดว่าถ้าอยากได้สมาธิต้องฝึก เราเอาคำว่าสมาธิเพราะปรับให้เราเข้าใจ กิเลสของเรา ตามความเคยชินว่า สมาธิก็คือ ความตั้งมั่น เพราะฉะนั้นถ้าอยากตั้งมั่นก็ต้องฝึกทำบ่อยๆ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่ ก็จะทำให้ยิ่งห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้
ท่านอาจารย์ ก็เริ่มรู้แล้วใช่ไหมว่า วิกฤตเพราะเหตุว่าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเข้าใจคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ประพฤติ ปฏิบัติตามที่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น การที่ชวนไปบวช ทั้งพระ ทั้งเณรมากๆ รู้ไหมว่า บวช คืออะไร แล้วไปทำอะไร ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เข้าใจว่าเป็นการส่งเสริม แต่ความจริง เป็นการทำลาย ยิ่งทำ ก็ยิ่งลบเลือน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่ชวนใครให้ไปบวช
แต่ผู้ที่มีอัธยาศัยที่ไม่ครองเรือน อย่างในครั้งพุทธกาล ท่านรัฐปาละเป็นบุตรเศรษฐี ลูกคนเดียว มารดาบิดาไม่ต้องการให้บวชเลย ไม่มีใครจะรักษาทรัพย์สมบัติต่อไป อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ผู้ที่เป็นมารดาจะเข้าใจ แต่พระรัฐปาละมั่นคง ที่จะขัดเกลากิเลสเพราะรู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เท่ากับความเข้าใจถูกต้อง ที่เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสงบจากอกุศล แล้วก็เจริญขึ้นทางฝ่ายกุศล มารดาไม่ต้องการ ท่านก็อดอาหาร ถ้าไม่ได้บวชท่านก็จะอดไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง มารดาก็ยอมอนุญาต และให้ท่านบวชดีกว่าให้ท่านตาย เพราะยังมีโอกาสที่จะได้เห็นกันบ้างใช่ไหม ท่านก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะสะสมมา ใครก็ยับยั้งไม่ได้
แต่คนทุกวันนี้ บวชเพื่ออะไร และบวชทำไม บวชแล้วไม่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนกราบไหว้คนที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย อย่างแม้แต่เณรอายุยังไม่ถึงที่จะบวชพระ อายุอย่างนั้นน่ะ กำลังสนุกสนาน อยากเล่นสงกรานต์บ้าง อะไรบ้าง แล้วก็ไปบวชทำไม ใช่ไหม นี่แสดงให้เห็นว่าดึงพระศาสนาลงมาต่ำจนกระทั่งคิดว่าง่าย ให้ทุกคนทำอะไรก็ไม่รู้ ในขณะที่เพศภิกษุ เป็นเพศของพระอรหันต์ ถ้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่บวชได้ เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกาทาคามี เป็นพระอนาคามี ก็ทำประโยชน์กับโลกกับตัวเองและคนอื่นได้ แต่ตรงกันข้าม บวชโดยไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจเลย ธรรมอย่างนี้ เดี๋ยวนี้สักคำก็ไม่รู้ แต่ว่าชวนกันไปทำอะไร อย่างนั้นเป็นประโยชน์ไหม และคนอื่นจะเข้าใจว่านี่คือ พระพุทธศาสนาซึ่งผิด เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ทั่วโลก ส่วนใหญ่ ไม่ว่าทุกมุมใดของโลก ที่ได้ยินคำว่าพุทธศาสนา สนใจมา แล้วก็บอกว่า พระพุทธศาสนาคือสำนักปฏิบัติ ได้อย่างไร เอาที่ไหนมาปฏิบัติ คืออะไรก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปตามลำดับ เพราะฉะนั้น เริ่มจากคำว่า ปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญา กว่าที่จะได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ข้าม พอพูดคำนี้เข้าใจแล้ว พูดคำนั้นเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ ไม่เข้าใจ จึงกล่าวว่าเข้าใจแล้วอย่างเดี๋ยวนี้ เห็นมีจริงเข้าใจหรือยัง เห็นมีจริง เข้าใจแค่เห็นมีจริง แต่เห็นคืออะไร รู้ไหม ก็ไม่รู้
นี่เป็นสิ่งที่ดี ที่ถึงเวลาที่เราจะเข้าใจความถูกต้อง อะไรถูกอะไรผิด ไม่อย่างนั้นเราก็ตามๆ กันไป เมื่อตามๆ กันไปไม่มีเหตุ ไม่มีผลเลย แล้วจะกล่าวว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ชาวพุทธจริงๆ ไม่เคยผู้ที่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จึงเป็นคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร คุณอรรณพ
อ.อรรณพ ที่เรากล่าวกันว่า พุทธมามะกะ เพราะฉะนั้น มามะกา พระสัมมาสัมพุทเจ้าตรัสคำนี้หมายความว่า เป็นคนของเรา เพราะฉะนั้น คนของเรานี่ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัย และประพฤติตามพระธรรมวินัย แต่แม้เป็น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปฏิญาณตนอย่างนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจ แล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับพระธรรมวินัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำนี้ว่า ไม่ใช่คนของเรา
ท่านอาจารย์ ชวนกันบวช คนเดียวไม่พอ ต้องให้ได้ถึงพัน บางแห่งต้องให้ได้ถึงแสน บางแห่งก็มีโครงการที่จะให้ถึงล้าน ทำลายพระพุทธศาสนา ยิ่งมาก ยิ่งทำลายเพราะเหตุว่า ชวนใครได้ เขายังไม่เข้าใจว่าธรรม คืออะไร แล้วเขาจะมีความมั่นคงที่จะรู้ว่า ชีวิตของเขานี่สามารถที่จะสละทุกอย่างที่เคยมี เคยเป็น สู่อีกเพศหนึ่ง ซึ่งจากบ้านไปแล้วจะอยู่ที่ไหน ในครั้งนั้น ถ้าไม่มีผู้ที่สร้างวัดให้ ท่านก็อยู่กัน ตามป่า ตามเขา
ด้วยเหตุนี้ ที่มีข้อความว่าภิกษุไปแล้วสู่ป่า ก็จะให้ท่านไปไหน ในเมื่อท่านไม่มีบ้าน ถ้ำบ้าง เรือนร้างบ้าง แต่คนสมัยนี้ ด้วยการไม่ศึกษา ก็เข้าใจว่า ต้องไปป่า หรือไม่ก็ต้องไปเรือนร้าง ทั้งหมด เพราะไม่รู้ และไม่เห็นคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคารพ จึงไม่ศึกษาโดยละเอียดว่าแต่ละคำนี่หมายความถึงอะไร ความหมายของภิกษุมีหลายอย่าง ผู้เห็นภัยในสังสารวัฎ ไม่ต้องบวช ก็เป็นภิกษุ เพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ไม่มีภิกษุ แต่ก็ตรัสว่า ภิกขุ เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฎ มีความหมายหลายอย่าง แต่ทั้งหมด ต้องเป็นผู้ที่เพื่อขัดเกลากิเลส แต่ถ้าบวชเพื่อรับเงินทอง ขัดเกลากิเลสหรือไม่ สมควรไหมที่จะรับเงิน เพราะเป็นผู้ที่สละ แล้วยิ่งรับ ก็ยิ่งเพิ่มกิเลส บวชด้วยกิเลส แล้วจะทำอะไรเท่ากับเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะดำรงพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ให้คนอื่นได้เป็นพุทธมามะกะ คนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่กล่าวและจะไม่ทำสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ ขัดเกลาทุกอย่างเพราะรู้ว่า กิเลสมากทั้งวัน ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งวาจาด้วย ทั้งความคิดด้วยด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรง ถ้ารู้ว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรม ศึกษาได้ เป็นคฤหัสถ์ที่ดีได้ อย่างพระโสดาบันเช่น ท่านอนาถกบิณฑิกเศรษฐี ท่านมหาอุบาวิสาขา เป็นต้น นอกจากนั้นในอีกมากมาย ท่านทำประโยชน์ และท่านก็เห็นภิกษุใด ไม่ประพฤติเป็นไปตามพระธรรมวินัย เพ่งโทษ หน้าที่ของพุทธบริษัท ติเตียน โพทนา คือ ให้รู้โดยทั่วกันว่าภิกษุนี้ทำสิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้ อย่างเพื่อแก้ไขเพื่อดำรงรักษาพระศาสนา
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าชื่อว่านับถือพุทธศาสนา ต้องรู้ว่าใครเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า อย่างไร ก็ต้องไตร่ตรอง เพราะว่า แม้แต่เราพูดคำว่าธรรม กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า ธรรม คำเดียวกันปัญญาต่างกันแค่ไหน ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ต้องเคารพจริงๆ ด้วยการที่ต้องเข้าใจทุกคำ แม้แต่ธรรมทุกอย่างหมด ต้องเข้าใจ เพราะฉะนั้น คนที่กล่าวว่านับถือพระพุทธศาสนาที่ขาดกันก็คือ ไม่ได้เข้าใจธรรม แต่กล่าวว่านับถือ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ตรงทุกคำ แต่ละคำต้องละเอียดมาก วินัยสำหรับบรรพชิต แต่ว่าเป็นการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์อ่านได้ รู้ได้ ประพฤติปฏิบัติตามได้ เพราะเหตุว่า ขัดเกลาทั้งกาย เช่น ก่อนจะออกจากวัดวาอารามที่อยู่ ก็ต้องห่มให้เรียบร้อย เป็นต้น นี้เพียงแค่เล็กน้อยเดินไป ก็ยังต้องมองเพียงชั่วแอก ไม่เหลียวซ้ายแลขวา ดูโน่น ดูนี่เพลิดเพลิน นั่นไม่ใช่พระภิกษุ ไม่ได้ขัดเกลากิเลส ละเอียด ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ
เพราะฉะนั้น โทษของการที่ไม่ศึกษาให้เข้าใจพระวินัย ว่าเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส คิดว่าเพียงแค่กฎ ทำอย่างนี้ผิด ก็ไปปลงอาบัติเสีย อาบัติ หมายความถึง โทษผิดที่ไม่กระทำตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ไปปลงเสีย รุ่งขึ้นก็ทำอีก อย่างนั้นไม่ใช่การสำนึก ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ไม่ใช่คนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พุทธมามะกะ
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจผิดก็ทำให้ล่วงศีล ไม่รู้ว่าศีลทุกข้อเป็นไปเพื่อการขัดเกลา ถ้ารู้อย่างนี้ทั้งวัน ก็จะต้องศึกษาเราทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ข้อไหนบ้าง อะไรบ้าง มากมายละเอียดลออ ต้องไม่ลืมว่า ขณะนี้สิ่งใดที่กำลังปรากฏสิ่งนั้นดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ มีแต่สิ่งใหม่ สิ่งใหม่ สิ่งใหม่ที่เกิดสืบต่อจากสิ่งเก่า ทำให้มองดูว่าเหมือนเดิม แต่ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่ละหนึ่งที่เกิดละเอียดยิบ ยิ่งกว่าที่เราคิดว่า พอมารวมกันแล้วเป็นตา แต่ตาจริงๆ ซึ่งเป็นปสาท รูปพิเศษ ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ และเล็กกว่านั้น และก็มองไม่เห็นด้วย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะโลกไหนทั้งสิ้น มีธรรมอย่างเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดทุกอย่าง ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ให้เข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม เกิดก็ธรรมเกิด ตายก็ธรรมตาย แต่ไปคิดว่า ที่ตายนี่เรา ที่เห็นนี่เรา แต่ก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง ละเอียดยิบกำลังเกิดดับสืบต่อ มิฉะนั้น จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธจ้า แม้ทรงดำเนินไปในท่ามกลางเมืองสาวัตถีหรือที่ไหนก็ตาม เสด็จบิณฑบาตร พวกเดียรถีย์จะรู้ไหมว่านี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ฟัง ในความคิดของผม คือ การที่เราจะไม่ติดข้อง ก็เมื่อเรามีปัญญา คือ รู้เห็นจริงว่ามันเกิดแล้วมันดับ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้เห็นหรือยัง
ผู้ฟัง ไม่เห็นว่ามันเกิด แล้วมันดับ
ท่านอาจารย์ จะเห็นได้ไหม
ผู้ฟัง เห็นได้
ท่านอาจารย์ เห็นได้ แต่ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ เวลานี้กำลังไม่รู้ ก็ไม่เห็นการเกิดดับ แต่เห็นได้เมื่อรู้และเข้าใจ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500
