ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457


    ตอนที่ ๑๔๕๗

    สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร

    วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดถึงความจริง ซึ่งสามารถเข้าใจได้ในเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ขอยืนยันว่า คำสอนของพระศาสนาเป็นปัจจัตตัง จะต้องรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถพยากรณ์ ไม่สามารถดูหมิ่น ไม่สามารถยกให้แก่ใครได้ พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้เช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ ประโยคท้ายได้ยินว่า รู้ได้ด้วยตัวเอง ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังนั่ง รู้ได้ด้วยตัวเองอย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไตร่ตรองทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พระธรรมลึกซึ้ง ลองคิดด้วยตัวเอง นั่งอยู่ตรงนี้แล้วจะรู้ได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีซึ่งคนอื่นเทียบเท่าไม่ได้เลย ได้ตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมเพื่ออะไร ไม่ใช่ให้ใครไปคิดเองแล้วรู้อย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ แต่ว่าคำที่พระองค์ได้ตรัสแล้วแต่ละคำ รู้จริงๆ โดยประการทั้งปวง เป็นปริยัติหรือยัง ไม่ใช่ว่ารู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องฟังอะไรเลย นั่งอยู่อย่างนี้แล้วจะรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างไร

    ดังนั้นทุกคำต้องพิจารณาไตร่ตรองเหตุผลตามความเป็นจริง ถ้ารู้ได้ด้วยตัวเองก็ไม่ต้องมีพระบรมศาสดา ไม่ต้องมีผู้แสดงความจริงทุกคำถึง ๔๕ พรรษา แต่ว่าเมื่อคนฟังฟังแล้ว คนอื่นไม่สามารถจะรู้ความเข้าใจของคนนั้นได้ เช่น ผู้ที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคลเมื่อได้ฟัง คนอื่นจะไม่รู้เลยว่าปัญญาความเข้าใจที่บุคคลนั้นสะสมมา ตามประวัติที่ทรงแสดงไว้ว่าแต่ละพระสาวกได้บำเพ็ญบารมีมานานเท่าไหร่ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะบรรลุได้ จนถึงขณะที่พร้อมด้วยเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้เลย เมื่อมีเหตุจะต้องเกิดจึงเกิดได้

    แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจมาเลย แล้วจะให้รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็มีหลายประเด็นซึ่งก็คงจะต้องค้างต่อไปอีกมาก ซึ่งไม่ทราบว่าจะมีโอกาสอีกหรือไม่ ที่จะได้สนทนาธรรมเพื่อความแจ่มแจ้งของพระศาสนา เพื่อจะได้พิจารณาด้วยตัวเอง และเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจริงหรือเปล่า

    เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ เพียงแต่เข้าใจเเล้วคิดว่าควรมีพระมากๆ แต่ว่าตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า เข้าใจธรรมก่อนบวช แล้วเห็นอัธยาศัยของตนเองว่า สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ขัดเกลากิเลส ต้องไม่ลืม ขัดเกลากิเลสด้วยการฟังพระธรรมเข้าใจ แล้วก็อบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิต จึงเป็นภิกษุในธรรมวินัย ไม่ใช่ว่าเมื่อมีพระภิกษุจำนวนมากเเต่ไม่รู้อะไรเลย แล้วพุทธศาสนาจะรุ่งเรือง ก็ลองคิดด้วยความตรงว่าจะเป็นไปได้ไหม เป็นจริงหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ก็คงจะมีอีกหลายประเด็น ที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาธรรม มีความเข้าใจถูกต้องอย่างละเอียด แล้วทำให้คนอื่นมีความเข้าใจถูกต้อง และถ้ารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเข้าใจถูกต้อง จะละเลยเพิกเฉยต่อการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เพื่อดำรงพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าเกรงใจ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความถูกต้อง คนอื่นก็ไม่สามารถเข้าใจได้ แล้วนั่นเป็นคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พระพุทธศาสนาจะมีความเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ แต่หน้าที่ในฐานะเป็นผู้เรียนรู้พุทธศาสนาแล้ว สนทนาแชร์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันว่าใครมีความรู้ระดับไหนๆ ท้ายที่สุดเมตตา ปุเรจาริก มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ในการที่จะนำหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าไปสู่ในจิตใจ เมื่อเขายังไม่ถึงจุดนั้นก็ไม่ใช่คนผิดพลาด ไม่ใช่คนเลว ไม่ใช่คนไม่ดี แต่รอวันบ่มเพาะต่อไป

    ท่านอาจารย์ พูดเรื่องเราคิดเอง หรือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร สิ่งใดผิดพระองค์ตรัสหรือเปล่าว่า สิ่งนั้นเป็นมิจฉา ตั้งแต่มิจฉาทิฏฐิ ความเข้าใจผิด ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างนี้ เขาต้องคิดว่าเขาถูก เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงพระมหากรุณาเห็นว่า ความเข้าใจผิดมีแต่โทษ นำมาซึ่งกิเลสต่างๆ มากมายเพราะไม่รู้ความจริงว่า ไม่มีเรา

    ดังนั้นกว่าจะฟังเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย มี แต่สิ่งนั้นไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้ว ก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราตัดสิน ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าอย่างนี้ คนนั้นคิดว่าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ว่าเรากล่าวถึงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ และตรัสไว้ดีแล้ว

    ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวโลกเข้าใจผิด หรือเข้าใจถูก ถ้าเข้าใจถูกหมดก็ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สิ่งที่ถูกคือถูก สิ่งที่ผิดคือผิด และใครจะรู้ถึงที่สุดว่าอะไรถูก อะไรผิด ใครจะตัดสิน ไม่มีใครไปตัดสินด้วยตัวเองเลย แต่ฟังคำที่ได้ยินจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ จึงสามารถรู้ได้ชัดเจนว่า บุคคลผู้นี้ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะค้านได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีสิ่งใดที่ผิด ชาวพุทธ หรือว่าพุทธบริษัทด้วยกันควรที่จะกล่าวชี้แจง ให้พิจารณาให้เข้าใจไหมว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดกันเอง

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร เช่น คำว่า วิปัสสนา คืออะไร คิดเองว่าวิปัสสนาคืออะไรได้ไหม คิดอย่างไรก็ผิด เพราะเหตุไรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า วิปัสสนาเป็นปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟัง แล้วเข้าใจว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ธรรม และตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เท่านี้ไม่ใช่วิปัสสนา

    เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทำไมมีปัญญาหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นโลกิยะที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร เหาะเหินเดินอากาศได้ อะไรก็ต้องด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความหลงว่าไปนั่งนิ่งๆ สักครู่หนึ่ง พนมมือตัวสั่นๆ และสามารถที่จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้ นั่นคิดเอง แต่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นการฟังจึงต้องไตร่ตรองว่าคำนี้จริงระดับไหน ถูกผิดอย่างไร และผู้ที่ทรงตรัสรู้ตรัสไว้ว่าอย่างไร ถ้าเราไม่เอาคำของพระองค์มากล่าว จะทำให้คนอื่นสามารถเริ่มไตร่ตรองว่า ที่เขาคิดเองไม่ถูกต้องเลย

    มิฉะนั้น ลองคิดดูด้วยตัวเองว่า วิปัสสนาคืออะไร แล้วไปมีสำนักวิปัสสนา โดยไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร จะถูกได้ไหม ต้องไตร่ตรอง ต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ว่าเพราะคนนั้นเป็นผู้ที่มีคนนิยมมาก มีชื่อเสียงมากก็เลยเชื่อ ไปสำนักปฏิบัติวิปัสสนาทำไม ถามคนที่ไปแล้ว เขาบอกไปแล้วสบายใจ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้คนสบาย หรือ แสดงความจริงว่าสบายคืออะไร อนัตตาคืออะไร ความจริงถึงที่สุดคืออะไร ความจริงถึงที่สุดซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะตรัสรู้ได้ เพราะเขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเขายังไม่รู้เลย แต่ว่าเมื่อฟังคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพิจารณาจะได้รู้ว่าที่คิดอยู่ก่อนนั้นถูกหรือผิด เช่น ไม่เคยได้ยินคำว่าวิปัสสนาเลย แต่เมื่อมีสำนักปฏิบัติวิปัสสนาก็ไปโดยไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร ถูกไหม คิดได้ ต้องเชื่อคนอื่น หรือว่า ถึงคนอื่นบอกว่าถูกแต่เรายังไม่รู้เลยว่าวิปัสสนาคืออะไร

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำนี้ คือ วิปัสสนา เพราะเหตุว่า วิปัสสนาต้องเป็นปัญญาที่ถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งทุกคำที่พระองค์ตรัสไว้ เช่น ธรรมมีจริง ทุกอย่างที่มีจริง เห็นมีจริงไหม เห็นมีจริง ถ้าเห็นไม่เกิด มีเห็นไหม ไม่มี ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น เห็นเกิดได้ไหม ใครไปทำให้เห็นเกิดได้

    ทั้งหมดอยู่ในคำสอน ๔๕ พรรษา นี่เพียงขั้นปริยัติ ฟัง ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ปริยัติ เพราะปริยัติต้องเป็นความรอบรู้จริงๆ มั่นคงจริงๆ ว่าคำนั้นไม่ผิด เช่น เห็นขณะนี้ ไม่ใช่เราแน่นอน อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งที่ถูกเห็นมีไหม ต้องมี ถ้ามีเห็นแล้วไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น เป็นไปได้หรือ และสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามเมื่อมีปัจจัยจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ใครปฏิเสธได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแน่นอน แต่คนที่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ คือไม่รู้ว่าเห็นที่เกิดนี่เองดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะจะเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตา ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบตาก็เห็นไม่ได้ เช่น สิ่งที่อยู่ข้างหลัง ตาไม่ได้อยู่ข้างหลัง เพราะฉะนั้น จะมีอะไรไปกระทบให้เกิดเห็นข้างหลังไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ คำที่พระองค์ตรัสไว้ไม่เปลี่ยน คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เร็วสุดที่จะประมาณได้ จริงไหม เพราะว่าขณะนี้มีอะไรกระทบตาบ้าง แต่ละหนึ่งที่ปรากฏกระทบตาทั้งนั้น ถ้าไม่กระทบตาก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น วิปัสสนา คือปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ทีละหนึ่ง จึงปรากฏเป็นความชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริง เดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดดับก็ไม่รู้ จึงเข้าใจว่าเห็นไม่เกิดดับเลย ถ้าตราบใดยังไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในขั้นปริยัติ จะไม่มีการนำไปสู่ปฏิปัตติ ซึ่งหมายความว่า ปัญญาจากการฟังมั่นคงอย่างยิ่ง ถิรสัญญา สัญญาที่ไม่ลืมว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา

    เดี๋ยวนี้ ขณะที่เห็น มีเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น อย่างอื่นจะมีไม่ได้ แต่ละหนึ่งๆ ๆ สามารถที่จะมีความเข้าใจจนรู้ว่า ไม่มีเรา จึงเป็นปัจจัยที่จะให้ปฏิปัตติเกิดขึ้น เพราะคำว่า ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติ แปลว่า ถึง

    เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่จะถึงเฉพาะความจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏจะเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่กระทบตา และก็มีการปรากฏเป็นสีสันวัณณะ ยังไม่มีการปรากฏเป็นนิมิต เพราะเหตุว่าเพียงแค่กระทบ ก็จะต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ในขณะนั้น นี่ไม่ใช่วิปัสสนา แต่จะนำไปสู่วิปัสสนา

    ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้เลย จะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร แต่เมื่อมีสำนักวิปัสสนา ถามคนที่ไปว่ารู้ไหมว่า วิปัสสนาคืออะไร ก็ไม่รู้ แล้วจะมีอะไรเป็นปัจจัยที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเกิด ไม่ว่าตรงไหน ตรงนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ พระองค์ประทับที่ไหน ความเข้าใจสามารถที่จะเกิดในขณะที่ได้ฟัง ถ้าปัญญาอบรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรม ถึงขณะที่เป็นวิปัสสนา ไม่ใช่เพียงเข้าใจ ประจักษ์แจ้ง เหมือนเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นดับไป กว่าจะละความเป็นเราได้ต้องมีอีกมาก

    มิฉะนั้นพระองค์ก็ไม่ต้องไปไหน แค่สอนให้ไปสำนักปฏิบัติ ไม่พูดอะไรเลย แล้วเขาก็ไปนั่งๆ ยืนๆ เดินๆ นอนๆ และเขาจะหมดกิเลสได้หรือ ในเมื่อกิเลสสะสมมานานเท่าไหร่ เกินกว่าอสงไขยแสนกัปป์ แล้วก็มากขึ้นทุกวันด้วย แล้วปัญญาจะไปประจักษ์สภาพธรรมได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีความเข้าใจเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีขั้นฟังเลยจะรู้ไหมว่า วิปัสสนาคืออะไร ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงพอ ปฏิปัตติ คือ สติสัมปชัญญะ ซึ่งต้องประกอบด้วยปัญญาที่ได้จากการฟัง จนกระทั่งมีความมั่นคงแล้ว จึงสามารถที่จะมีสติที่รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ พร้อมด้วยความเข้าใจในลักษณะนั้นทีละน้อยๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง วิปัสสนาเป็นปฏิเวธ ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ส่งเสริมให้มีสำนักปฏิบัติมากๆ ทั่วโลกเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา คือ สำนักปฏิบัติ แล้วอย่างนี้พระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่งเรือง จริงหรือ


    สนทนาธรรม

    ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร

    วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ผู้ฟัง ความเป็นตัวตน ความโกรธ กว่าจะคลายได้รู้สึกยากแสนยากเหลือเกิน ทั้งที่รู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน

    ท่านอาจารย์ ดีไหมที่คุณหมอรู้ความจริง จะเปลี่ยนจากอย่างนี้ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้อยู่ไหน หมดแล้ว แต่ยังจำไว้ว่าเป็นอย่างนี้ แสดงให้เห็นถึงทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เป็นที่ตั้งของความเป็นเรา ทั้งหมดเลย

    ถ้าจะหมดความเป็นเราก็ต่อเมื่อรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปทางไหน เหลียวซ้ายแลขวา อะไรจะเกิดขึ้นก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น มีทางเดียวก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็มีความมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา แต่ที่คุณหมอรู้สึกจะเป็นทุกข์ก็เพราะเหตุว่าเป็นเรา ทำไมเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แต่ความจริงทุกอย่างหมดแล้ว แล้วก็ต้องเป็นอย่างที่เป็นด้วย จะเป็นอื่นไม่ได้ มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้เลย ก็เห็นชัดเจนว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็มีจริงๆ แต่ว่าหมดแล้ว

    ข้อสำคัญที่สุดคือว่า แม้หมดแล้ว ความเป็นเราก็ยังคงคิดถึงด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้น กว่าจะหมดคำถามว่า ทำไมโกรธหายยาก หรือว่าอะไรทุกอย่างที่อยากจะให้ไม่มี แต่ทำไมยังมี

    เพราะเหตุว่า มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น คนอื่นไม่มี ใช่ไหม เเล้วคุณหมออยากจะให้สิ่งที่คนนั้นไม่มี มาเป็นคุณหมอที่ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นตามที่สภาพธรรมนั้นมีปัจจัยเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ให้รู้จริงๆ ว่าทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย นอกจากเข้าใจให้ถูกตรงตามความเป็นจริงว่า เกิดแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว แต่ความเป็นเรายังคงติดตามไปตลอด จนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น แล้วต่อไปนี้เมื่อไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นเรา ทุกอย่างก็ดีกว่าเก่า คือว่าไม่หลงไปคิดว่าเมื่อไหร่จะหมดสักที หรืออะไรอย่างนั้น แต่ที่จะหมดซึ่งความไม่ดีได้ทั้งหมดก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์

    เมื่อมีปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นไม่รู้เลย สักหนึ่งขณะต่อจากนี้ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เข้าใจความจริงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะทำให้เราเข้าใจความจริงอย่างนี้ได้ว่า เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    แต่เมื่อมีความเข้าใจจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะทำให้เราไม่กลับไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หมดแล้วไปคิดทำไม แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ได้มาฟังครั้งแรกจนถึงต่อไปอีกๆ ก็คือให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกิดขึ้นมี แล้วก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วโลกก็ว่างเปล่า จะไม่มีอะไรเหลือเลยเมื่อสิ่งนั้นดับไปแล้ว และก็จะไม่มีอะไรเลยถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วดับก็ไม่ปรากฏ ไม่รู้ความจริงว่าไม่มีเราเลย แต่เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีอย่างนี้ในขณะนี้ ก็เป็นธรรมดา แต่ให้มีความเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา ถ้าไม่มีเรา อย่างอื่นก็เหมือนกันใช่ไหม มีเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    ผู้ฟัง ไม่มีเรานั้นยากแสนยาก

    ท่านอาจารย์ นี่คือ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ความไม่มีเรา ทุกอย่างแสนสั้นเล็กที่สุด ไม่มีใครสามารถประมาณได้ แต่ก็มีปัจจัยให้เกิดและดับโดยไม่รู้เลย ขณะนี้ไม่รู้เลย จนกว่าจะค่อยๆ ฟัง แล้วก็เห็น แล้วก็ได้ยิน ต้องไม่ใช่อย่างเดียวกัน พร้อมกันก็ไม่ได้ เราเห็นอย่างหยาบๆ ไปก่อน จนกระทั่งมีความเข้าใจละเอียดขึ้น โดยเห็นความเป็นอนัตตาว่าไม่ได้ทำเลย ขณะนี้สิ่งที่มีเกิดแล้วทั้งหมด เห็นก็เกิดแล้ว ไม่ได้ไปทำ เสียงก็เกิดแล้ว ได้ยินก็ดับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง

    ถ้าเราสามารถรู้แต่ละหนึ่งขณะจริงๆ อย่างนั้น เมื่อนั้นจะมีเราได้อย่างไร แต่เพราะไม่รู้อย่างนี้จึงยังคงเป็นเรา วันหนึ่งก็ต้องเข้าใจขึ้นได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ฟังเลยก็จะไม่มีทางเข้าใจเลย ถ้าฟังแล้วเป็นเราอยู่ก็รู้ว่าถูกไหม ในเมื่อต้องมีความเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ และสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดงไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย

    ตรัสรู้ว่า ไม่มีเรา อนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะเกิด ถ้าเห็นไม่เกิด จะไม่รู้ว่ากำลังมีสิ่งต่างๆ ปรากฏมากมาย แสดงว่าเห็นต้องเห็นทีละหนึ่งมากมายกว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แล้วก็เป็นตั้งหลายสิ่ง ใครจะไปสามารถรู้การเกิดดับของแต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างมั่นคง

    แค่มั่นคงก่อนว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม คือ สิ่งที่มีเพราะมีการเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด สิ่งนั้นก็มีไม่ได้เลย และใครก็ไปทำให้เกิดไม่ได้ด้วย นอกจากมีปัจจัยอาศัยกันและกันเกิดขึ้นก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็ต้องดับ ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มีแล้วทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่รู้ หรือจะไปทำให้รู้สิ่งที่ไม่มี และจะทำให้มี แต่สิ่งที่มีแล้วนี่เองที่ควรรู้ยิ่ง ไม่ต้องทำด้วย มีแล้ว เพียงแต่ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูก ถ้าเข้าใจผิดจะทำทันที นั่นคือเข้าใจผิด แม้แต่ฟังแล้ว เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ได้คิดอย่างที่เข้าใจในขั้นการฟัง จนกว่ามีปัจจัยที่อะไรจะเกิด ไม่ต้องทำอะไรสักอย่างเดียว เข้าใจสิ่งที่มีแล้ว เกิดแล้ว จะได้รู้ว่าไม่ได้ทำ มีปัจจัยก็เกิด ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่คิดอย่างนี้ก็ไม่ได้ คิดแล้ว คือ ทุกอย่างต้องค่อยๆ คล้อยไป น้อมไปที่จะเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ และขณะที่เข้าใจความจริงก็จะต้องรู้ว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว ต้องเข้าใจจนถึงอย่างนี้ จึงสามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ เข้าใจนิดเดียว ครึ่งเดียวก็ละไม่ได้ ต้องเข้าใจถึงทุกอย่างไม่ว่าอะไรปรากฏ สามารถที่จะรู้ในความไม่ใช่สิ่งนั้นที่ยั่งยืน เป็นแต่เพียงแค่ปรากฏ แค่นี้ เป็นแต่เพียงแค่ปรากฏ แค่นี้ ยังไม่ถึงไหนเลยใช่ไหม ยังไปคิดว่าเเล้วจะทำอย่างไรต่อไปอีก เพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ

    ถ้าสามารถรู้ตรงนั้นได้ก็สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า ไม่ได้มีใครทำอะไร แต่ว่ามีปัจจัยเกิดแล้ว จะต้องมั่นคงทีละน้อย ไม่ใช่ให้ไปไม่โกรธ ไม่ใช่ให้เป็นอย่างที่เราต้องการให้เป็น ไปเที่ยวให้สนุกเพลิดเพลินไปจะได้ไม่คิด แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไปสนุกสนานสักเท่าไหร่ก็เป็นเรา ก็ยังคงมีความเป็นเรา เข้าใจผิด

    เพราะฉะนั้น กว่าจะไม่ทำอะไรเพราะเกิดแล้วหมดเลย ไม่มีใครไปทำได้ เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วกำลังปรากฏ อย่างเดี๋ยวนี้เป็นต้น ถ้ายังไม่เป็นอย่างนี้ก็ฟังไป ไม่มีใครสามารถจะไปบังคับว่า ต้องรู้ตรงนี้ๆ เป็นไปไม่ได้เลย ฟังให้รู้ว่า จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามเหตุตามปัจจัย

    ถ้ามีความเข้าใจเพียงพอ ไม่ให้รู้ก็รู้ ไม่ให้เกิดก็เกิด เพราะเหตุว่า มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าไม่มีเรา โดยเฉพาะขณะต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะไปตั้งใจดูลมหายใจ ไปอะไรๆ ได้อย่างไร แค่ขณะต่อไปก็ไม่รู้แล้ว

    ฟังเพื่อละ ฟังเพื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ ฟังเพื่อเข้าใจว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีแล้วทั้งหมด ไม่มีใครทำ ฟังเพื่อรู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งเป็นอนัตตา ก็ยังคงเป็นเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 191
    28 ก.ค. 2568