ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
ตอนที่ ๑๔๔๒
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พอถึงขั้นของกิจจญาณ ก็คือ ปฏิบัติ สติที่เกิด รู้ลักษณะ เพราะเดี๋ยวนี้มีลักษณะทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้แม้ลักษณะเดียว แต่พูดถึงลักษณะต่างๆ เช่นลักษณะเห็น ลักษณะคิด ลักษณะชอบ ใช่ไหม ก็มีเป็นปกติ
แต่ว่าพอถึงเวลา เมื่ออนัตตาพร้อมที่จะเป็นปัจจัย ให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ ใครจะไปบอกให้รู้ตรงนั้นตรงนี้ไม่ได้ จะไปกำหนดลมหายใจก็ไม่ได้ เพราะว่า สติ เป็นอนัตตา จะไปบอกสติให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือ เป็นไปไม่ได้เลย
นั่นคือ ความหลงผิด ความเข้าใจผิด ที่ไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่า ให้รู้อย่างนั้น ให้รู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจความเป็นอนัตตา คือ ความเป็นปกติ สติปัฏฐานเกิด คนนั้นรู้ว่าต่างกับขณะที่ ไม่รู้ตรงลักษณะ อย่างแข็ง แข็งกระทบบ่อยๆ ไม่เคยรู้เลย แต่ขณะที่กำลังรู้เฉพาะแข็ง และเข้าใจความเป็นธรรม ลักษณะที่เป็นธรรมตามที่ได้ฟัง ก็รู้ตรงนั้น เป็นการต่างกับที่ฟัง ฟัง ฟัง แล้วก็ไม่รู้ ตรงสภาพธรรมใดเลย. แต่ฟัง ฟัง ฟังแล้วก็มีการเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรม โดยความเป็นอนัตตา แม้น้อย แต่ก็รู้ว่าต่างกับขณะที่ไม่ได้เกิดนั่น คือ การเริ่มต้นของปฏิบัติ หรือ กิจจญาณของสติ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ต้องมีธรรมเป็นที่ตั้ง ที่จะทำให้ความรู้ ความเข้าใจเกิดขึ้นอย่างมั่นคงเพราะเวลาเราฟังธรรม เราฟังเรื่องของธรรม แต่ขณะนั้นไม่ได้รู้ตรงลักษณะอย่างแข็ง หรือเห็น หรือได้ยิน แต่พอเป็นเวลาที่สติสัมปชัญญะจะเกิดได้ เพราะสัจจญาณ ความรู้ที่มั่นคงเป็นปกติอย่างนี้ ขณะนั้น ก็จะมีการรู้ ตรงไหนก็ได้ ซึ่งใครจะไปบังคับสติให้ไปรู้ตรงหนึ่ง ตรงนั้นไม่ได้เพราะความเป็นอนัตตา เมื่อสติปัฏฐานเกิด สติปัฏฐานรู้ตรงลักษณะ ตามที่ได้ฟัง ทีละหนึ่ง คนนั้นก็จะรู้ได้ว่าที่ว่าสติสัมปชัญญะ ที่ว่าสติปัฏฐานนั้น ก็คือขณะที่กำลังถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่งและเข้าใจถูกต้อง ในลักษณะนั้น ตามที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น ปฏิบัติ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ฟังแล้วทำให้เกิดปัญญาขั้นถึงเฉพาะทีละหนึ่งของลักษณะธรรม ซึ่งไม่มีการที่จะไปกล่าวคำใดๆ เลยทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ เป็นการรู้ตรงลักษณะเหมือนเคย แต่ก่อนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แข็งก็แข็ง เหมือนเดิม แต่ว่าขณะที่กำลังรู้เฉพาะลักษณะนั้น ต่างกัน เพราะมีความเข้าใจในลักษณะนั้นว่าเป็นธรรม บางคนก็อาจจะคิด สงสัยหรืออะไรก็ได้ หรือพูดตามก็ได้ แต่ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นที่ตั้งของสติสัมปชัญญะ ที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกว่า มีธรรมเป็นฐาน เป็นเบื้องต้น ทุกอย่าง คือ ตรงนี้ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ หมายความว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด แล้วแต่สติสัมปชัญญะจะเกิด เลือกไม่ได้เลย แล้วคนนั้นก็หนทางที่ถูกต้อง คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ปัญญาจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า ธรรมเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ก็จะเป็นการค่อยๆ ละความเป็นเรา ที่ยึดมั่นมานานมากในขันธ์ ๕ ด้วย ค่อยๆ เข้าใจเป็นปกติ เวลาโกรธ ปกติไม่อยากโกรธ ถูกต้องไหมพยายามทำทุกอย่างที่จะไม่ให้ความโกรธเกิด แต่เป็นไปไม่ได้เพราะว่า ทุกอย่างที่มี อกุศลทั้งหลายอยู่ในจิต ทั้งกุศลและอกุศลสะสมสืบต่อ อย่างเช่น โลภะเกิดขึ้น แม้ดับไป โลภะที่เกิดแล้วโดยฐานะที่เกิด ก็เปื้อนจิต อยู่ตรงจิต สะสมไป หนาแน่นขึ้น ยากที่จะออกได้นั่น คือ อนุสัยกิเลส
เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ได้ละเพียงแค่กิเลสหยาบ แต่ต้องละถึงกิเลสละเอียด ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ดับถึงอนุสัย ที่จะไม่มีอีกเลยตั้งแต่แรกดับแล้วต้องดับจริงๆ ไม่เกิดอีก
ผู้ฟัง ยาก ยังอีกไกลจริงๆ
ท่านอาจารย์ นี่ ทำให้เราไม่หวัง แค่ทำให้ไม่หลงทาง ถ้าคนที่คิดว่าง่าย เขาก็หลงทาง แล้วเพราะเขาไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร และเกิดจากอะไรด้วย ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีความเข้าใจตามลำดับที่เป็นปริยัติ สัจจญาณที่มั่นคงว่า สภาพธรรมบังคับบัญชาไม่ได้ ปัญญาและสติสัมปชัญญะก็เกิด ด้วยความเข้าใจ เมื่อเกิดแล้ว ก็แล้วแต่จะเกิดอีกเมื่อไหร่ เมื่ออยากให้เกิดอีกปัญญาก็รู้ว่านั่น คือ โลภะ
เพราะฉะนั้น ต้องหมดความยึดถือในขันธ์ทั้ง ๕ เพราะว่าเรายึดถือในทั้งรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ จนไม่รู้ว่า เราอยู่ในโลกของความจำเพราะสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ
จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งเท่านั้น แต่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้ง ทำให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นต่างกัน ค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะว่า ไม่มีเรา แต่มีความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา สิ่งที่เกิดมี และดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ ความจริง ก็คือ ต้องเกิด แล้วก็ทันทีที่เกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งอื่นเกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย แน่นสนิท ไม่พบรอยต่อเลย ก็ทำให้เหมือนกับว่า เป็นคนจริงๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ความจริง ไม่มีคน แต่มีธรรม เป็นธรรมทั้งหมด ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า ธรรม ต่างกันที่เข้าใจว่าเป็นเรา คือ รูปธรรมและนามธรรม ถ้าสามารถที่จะเห็นความต่างประจักษ์แจ้งชัดเจน จะเป็นเราไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณจึงมีหลายขั้น ขั้นแรก นาม รูปปริเฉทญาน ไม่ธรรมดา ใช่ไหม เพราะเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ เพราะไม่ได้ปรากฏจริงๆ ทีละหนึ่ง แต่ว่าเมื่อปรากฏจริงๆ เพียงหนึ่ง รู้ชัดไหม ในเมื่ออย่างอื่นไม่ได้ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น จึงเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง แต่จะไม่เกิดเลย ถ้าไม่มีความเข้าใจ แต่ความเข้าใจจะเกิดเมื่อไหร่ก็คือว่า แล้วเหตุปัจจัย แต่ว่ามีความเข้าใจละเอียดเพิ่มขึ้นในความไม่ใช่เรา และไม่มีเรา
ถ้าเกิดมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นที่ตั้งของความพอใจใช่ไหม ไม่มีอะไรเกิดเลย ความพอใจจะมาแต่ไหน แต่พอมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องการในสิ่งนั้นติดข้องในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ธรรม ก็คือ จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ในการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ทั้งนามธรรม และรูปธรรมชัดเจน
ผู้ฟัง นึกถึงพระปัญญาของท่าน ยากเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ ต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ กว่าจะตรัสรู้ความจริง ทุกคำที่ตรัสไว้เป็นธรรมที่จริงจากการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นปัญญาของพระองค์ ตรัสคำว่า ธรรมแล้วเราก็พูดคำว่า ธรรม ปัญญาห่างกันแค่ไหน ต้องรู้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยการตรัสรู้ของพระองค์ โดยประการทั้งปวง ธรรม ที่ทรงแสดงอุปมาเหมือนใบไม้สอง สาม ใบในกำมือแต่พระปัญญา คือ ใบไม้ในป่า
ผู้ฟัง หลายๆ คนเข้าใจว่าวาระจิต ต้องเกิดซ้ำกันหลายๆ ล้านๆ ครั้ง นับไม่ถ้วนครั้งจนจะเห็นเป็นนิมิตอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ก็เห็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิด แต่ประจักษ์แจ้งอย่างนั้น เหนือใครทั้งสิ้น ไม่อย่างงั้น เราก็จะไม่รู้เรื่องของวิถีจิต ว่าต้อง มากมาย หลายขณะ กว่าที่จะปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และดูเหมือนพร้อมกันมีตั้งหลายอย่าง เร็วปานนั้น อย่างทางตาอย่างนี้ ก็จะรู้ความต่างกันว่า ขณะนั้นถ้า มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะยาวนานไหม เห็นหรือไม่ นิดเดียว
เพราะฉะนั้นปัญญา ในความมืดสนิท ถ้าไม่ใช่จิตเห็น ถ้าไม่มีจิตเห็นเกิด มืดทั้งโลกทุกด้าน ไม่ว่าจะได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือ คิดนึก
เพราะฉะนั้นแต่ละทาง ก็ต้องปรากฏตามความเป็นจริง โดยความเป็นอนัตตา ปัญญาเกิดทางมโนทวาร ปกติทางปัญจทวาร ปิดบังมโนทวาร เห็น เหมือนเห็น ตลอดทั้งวันเลย พอลืมตาก็เห็นแล้ว พอมีเสียงได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ก็อยู่ในความสว่าง เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา สลับอย่างมากมาย ปิดกั้นไม่เห็นมโนทวารเลย แต่ตามความเป็นจริง ก็คือว่า มโนทวาร ต้องเกิดมากกว่า ทางปัญจทวาร เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นนิมิตไม่ได้ เห็นก็ไม่ใช่เห็น สิ่งที่ปรากฏ แต่เห็นนิมิตแล้ว
เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่า เวลาที่ปัญญาเกิด ปัญญารู้ลักษณะที่เป็นมโนทวารต่างกับปัญจทวาร เพราะเหตุว่า ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง มโนทวารมากกว่าปัญจทวาร ถ้าไม่ทรงแสดงไว้แล้ว จะรู้ไหม เราก็คิดว่าเห็นแล้ว ก็รู้เท่าๆ กัน แต่ความจริงกว่าจะรู้ถึงสัณฐาน และก็เกิดพอใจไม่พอใจหรือพฤติกรรมต่างๆ ขณะนั้น ไม่ใช่เห็น แต่เป็นคิดหลังจากเห็น แล้วก็จำไว้ว่า เป็นอะไร พอจำก็ปรุงแต่ง เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป เพราะฉะนั้น ธรรม จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ปัญญาที่เข้าใจเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง แต่ก็ไม่ได้เห็น แค่ครั้งเดียว ที่จะเป็นนิมิตได้ ต้องเห็นซ้ำๆ ซ้ำๆ กันหลายๆ ครั้ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ทางมโนทวารต้องปรากฏนานกว่าทางปัญจทวารแน่นอน เพราะฉะนั้น ทางปัญจทวาร ไม่ว่าทวารใดทั้งสิ้น ก็ปรากฏสั้น เล็กน้อยมาก เพราะมโนทวารเกิดมากกว่า จึงสามารถที่จะรู้ความต่างได้ ชัดเจน
อ.วิชัย การที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาก็หมายถึงว่า การสะสมความรู้ทั้งหมด ที่จะมีปัจจัยให้รู้ในลักษณะของสภาพธรรม ความเข้าใจความเป็นอนัตตาที่สะสมมา ก็สามารถจะรู้ถูก ตรงในลักษณะนั้นด้วย
ท่านอาจารย์ คือ ต้องมีสัจจะบารมี ความตรงต่อลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นคนตรง ฟังธรรม และก็รู้ว่าเข้าใจระดับไหน แล้วก็ยังไม่พอใช่หรือไม่ เมื่อฟังอีกก็คือความเข้าใจเกิดขึ้น จนกว่าจะรู้ว่าความเข้าใจนั้น ไม่ใช่เรา แม้เข้าใจ ก็ไม่ใช่เราในขั้นของปริยัติ คือ ต้องรอบรู้จริงๆ ทั้งหมด แล้วก็เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้ โดยที่ว่าไม่ได้มีการบังคับ หรือว่า ไม่ได้มีการหวังอะไรเลยทั้งสิ้น หนทางนี้ต้องแสดงความเป็นอนัตตาโดยตลอดชัดเจนขึ้นด้วย
เพราะเรากล่าวแล้วว่า ธรรมที่ไม่รู้อะไรก็มี และธรรมที่เกิดขึ้นรู้ก็มี แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เกิดขึ้นต้องรู้ ยังไม่ปรากฏ อย่างพูดว่าเห็นก็เห็น กำลังเห็น ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มี แต่ว่าเคยเข้าใจผิด ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด โดยความจำ สัญญา จำผิดคลาดเคลื่อน เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด และสภาพรู้ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ก็ไม่ได้ปรากฏ โดยความไม่ใช่เรา ยังคงเป็นเราที่กำลังฟังธรรม ยังคงเป็นเราที่กำลังเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพรู้ แต่ว่ากว่าสภาพรู้จะปรากฏให้เห็นชัด โดยที่ไม่มีอย่างอื่นปะปนเลยทั้งสิ้น ก็ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ขณะนี้รู้แค่ไหนก็ไม่ใช่เรา เข้าใจมากขึ้นอีก ก็ไม่ใช่เรา เพราะว่าจะต้องนำไปสู่การรู้ความจริงว่า ธรรมทั้งหมดนี้ แสดงความเป็นอนัตตาทุกขณะ แต่ไม่มีใครรู้ เช่นเห็นเกิดขึ้น เราไม่ได้บังคับให้เห็นเกิด แต่พอลืมตาก็เห็น แสดงว่าไม่ว่าอะไรทั้งหมดในชีวิต แสดงความเป็นอนัตตาทั้งสิ้น เวลาเราคิด เราไม่ได้ตั้งใจจะคิดเรื่องนี้เลย ใช่หรือไม่ บางคนก็ไม่อยากคิดด้วยซ้ำไปในเรื่องนั้น แต่ก็คิดแสดงความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นเห็นความเป็นอนัตตา โดยการค่อยๆ เข้าใจ แต่ละหนึ่ง ว่าต่างกัน และต่างกัน โดยที่ว่าถ้าเป็นสภาพรู้ จะไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ ปรากฏในความเป็นธาตุรู้ ขณะนั้นก็จะไม่มีเรา
อ.วิชัย ตอนนี้ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ ดังนั้นถ้าอาจารย์กล่าวว่า เมื่อสิ่งใดไม่ปรากฏ ความเยื่อใย ความเป็นเรา ก็ยังมีอยู่ในสิ่งนั้น ตราบที่ปัญญายังไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะ เราบอกว่าเห็นนี่เป็นธาตุรู้ พูดได้ใช่หรือไม่ และกำลังเห็นด้วย แต่ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ ไม่ปรากฏ เราเพียงแต่บอกว่าเห็นมีจริง และเห็นไม่ใช่รูปธรรม เห็นเป็นสภาพรู้ เพราะว่ามีสิ่งที่ถูกเห็น ค่อยๆ ปรุงแต่ง ในความเป็นธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม เพราะว่า ถ้าไม่รู้ว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ก็ต้องเป็นเรา เพราะฉะนั้น ที่จะไม่เป็นเราได้ ก็ต่อเมื่อรู้ชัดขึ้นว่า รูปธรรม เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เรา และนามธรรมไม่มีสิ่งใดเจือปนทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้
เพราะฉะนั้น การศึกษาจึงมี ๓ ขั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จะไม่มีปฏิเวธ โดยไม่มี ปริยัติ ที่ถึงความเป็นสัจจญาณมั่นคง และทรงแสดงสอดคล้องกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ถ้าปริยัติ คือ ผู้ที่รอบรู้ในพระธรรมความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง รอบรู้นี้ หมายความถึงว่า เข้าใจโดยตลอดถ่องแท้ โดยไม่หลงคัดค้านกัน ต้องสอดคล้องกันทั้งหมดทุกคำ
เพราะว่า เป็นความจริง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ความรอบรู้นี้ ถ้ามีแล้ว ก็จะทำให้มั่นคงในความไม่ใช่เรา ถ้ามั่นคงในความไม่ใช่เรา ธรรมก็ปรากฏ โดยสติสัมปชัญญะที่กล่าวว่าสติปัฏฐาน ปัญญาต้องมีพร้อมสติในขณะนั้น ที่เกิดรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ที่ปกติก็เป็นธรรมแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ขั้นนั้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปฏิเวธ แต่มากกว่าปริยัติ เห็นไหม ต้องจากปริยัติก่อน และมาถึงปฏิบัติ ซึ่งจะต้องอีกมากทีเดียว กว่าจะถึงปฏิเวธ
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์หมายความถึงว่า เหมือนกับการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ถ้ายังรู้ไม่ทั่ว ความสงสัย ก็ยังเหลืออยู่ในสภาพธรรมที่ยังไม่ได้ปรากฏกับปัญญาจนกว่าปัญญาที่อบรมแล้วจะรู้ทั่วถึงจริงๆ
ท่านอาจารย์ ปริยัติ หมายความว่า มีความเข้าใจในพระธรรม โดยความเป็นอนัตตา ยิ่งขึ้น เพราะว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา อย่างเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีตา ก็ไม่เห็น ใครทำให้เห็นได้ และไม่มีใครทำให้เห็น เกิดขึ้นได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงเห็น อย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น เราหลงเข้าใจธรรมว่า เป็นเรามาในสังสารวัฎ แต่พอรู้ว่า ไม่ใช่เรา ก็จะรู้ได้เลยว่า ไม่สามารถจะทำอะไรกับธรรมได้เลยสักอย่าง
เพราะว่า เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้นดับไป สืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ความเข้าใจของคนที่ฟังธรรม ก็จะต้องตรงตามที่ได้ฟัง มั่นคงในความเป็นอนัตตา และก็ฟังจนกระทั่งรู้ว่า ไม่ใช่เรา จนกว่า สภาพธรรมจะปรากฏเป็นปฏิเวธ ไม่ใช่เราจริงๆ
อ.ธิดารัตน์ สิ่งที่ปรากฏทางตา จะมาเป็นอารมณ์ของวิถีจิตทางตาเหมือนกับจะเป็นแค่เพียง รูป สี ที่อยู่ในกลาป กลาปเดียวอย่างนั้นเลยหรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อย่างนั้น หมายความว่า เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จนปรากฏเป็นนิมิตได้ แต่ปัญญาเริ่มรู้ว่าเป็นธรรม ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เราพูดได้ใช่ไหมว่า สิ่งนี้กำลังปรากฏทางตาเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เป็นนิมิตต่างๆ เป็นบัญญัติต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่ปัญญาเกิดขึ้น ก็เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้มีโอกาสสนทนา อยู่ในที่ห่างไกล หรือ อยู่คนเดียวอย่างนี้ มีแนวทางศึกษาที่ถูกต้องอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง ที่จะเข้าใจคำ แต่ละคำ ต้องเป็นคนที่ละเอียด แล้วก็รู้ว่าปัญญา รู้ถูก แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญา ก็ผิด แม้เจตนา ก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ นี่คือจากการศึกษาใช่หรือไม่ เรารู้ว่ามรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยเจตสิกอะไร ไม่ใช่เจตนาเจตสิกเลยที่จะเป็นมรรค
เพราะฉะนั้น จะไปจงใจทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ วิปัสสนา คิดดูแล้วกันก็ต้องผิด สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกว่า เป็นอนัตตานั่นเอง จะทำให้เกิดปัญญาขั้นต่อไป
ผู้ฟัง ทีละคำ ทีละคำ มั่นคง
ท่านอาจารย์ ทีละคำ อย่างมั่นคง และต้องละเอียดด้วย ทางผิดมีมาก เพราะอวิชชาความไม่รู้ และความต้องการ แต่ทั้งหมดนั้น ทางผิดไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง คำถามว่า คำว่า นามธรรม ไม่มีสิ่งใดเจือปนทั้งสิ้น
ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ แต่ละหนึ่ง ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย สว่างหรือไม่
ผู้ฟัง ยังไม่สว่าง
ท่านอาจารย์ ไม่สว่าง เพราะความสว่างเป็นรูป ใช่หรือไม่ สภาพใดก็ตามที่มีจริง แต่ไม่รู้ เป็นรูปธรรม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นามธรรมไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ลักษณะของธาตุรู้ ก็ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปน จะมืดสนิทหรือไม่
ผู้ฟัง นามธรรม คิดอย่างเดียว หรือ
ท่านอาจารย์ นามธรรม เป็นสภาพรู้ อย่างกำลังเห็นอย่างนี้ ไม่ได้คิด นามธรรมแต่ละหนึ่ง ต่างกันตามปัจจัย ถ้ามีตากับสิ่งที่กระทบตา เป็นปัจจัย จักขุวิญญาณคือเห็นจึงเกิดขึ้นได้ รู้ เห็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นสภาพรู้ ทางหูไม่ใช่นามธรรม ที่เป็นการเห็น แต่ว่ารู้เป็นธาตุรู้ แต่รู้สิ่งที่กระทบ
ผู้ฟัง ได้ยินอย่างนี้
ท่านอาจารย์ สภาพได้ยินนี้ ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ อย่างนี่ ติดกันเลย เช่น เวลาที่นามธรรมเกิดขึ้นรู้รูปธรรม กว่าจะแยกได้ ก็ต้องด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย เสียงเป็นเสียง แต่สภาพที่รู้เสียงมี รู้ยากกว่าใช่หรือไม่
ผู้ฟัง สภาพที่รู้เสียง สภาพที่รู้กลิ่น
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่เราเลย ทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้ฟัง กี่ชาติ กี่ชาติก็เป็นเราหมด เพราะไม่รู้
ผู้ฟัง ละเอียดมาก
ท่านอาจารย์ ยิ่งละเอียดขึ้นทุกที ยิ่งเข้าใจก็เหมือนมหาสมุทรที่ลุ่มลึกๆ ลึกลงไปตามลำดับ
ผู้ฟัง ยากมากเลย
ท่านอาจารย์ นี่คือการสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญบารมี รู้จนกระทั่งจิตหนึ่ง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ และแต่ละเจตสิก เป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดโดยฐานะใด ฐานะปัจจัยก็ไม่เหมือนกัน ต่างกัน ตามความเป็นเจตสิกนั้นๆ ทั้งหมดต้องไปสู่ความไม่ใช่เรา ถึงคลายได้ ละได้ เวลานี้ เราฟังเรื่องธรรม คือ สิ่งที่มีจริง
สภาพที่ไม่รู้ เป็นรูปธรรม สภาพรู้ เป็นนามธรรม แค่นี้สภาพรู้ ก็ไม่ได้ปรากฏ และสิ่งที่ไม่ใช่สภาพที่รู้ ก็ไม่ได้ปรากฏ เราเพียงแต่พูดให้เข้าใจ ว่าความต่างของนามธรรมกับรูปธรรม อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ปรากฏ และสภาพรู้ก็เกิดขึ้นรู้ แต่เป็นนิมิตทั้งหมด เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น รูปที่ปรากฏ ก็เป็นเพียงรูป ยังไม่เป็นสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และธาตุรู้ที่เห็น ก็เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเป็นความชัดเจน ที่จะรู้ความต่างของสิ่งหนึ่ง ทีละหนึ่ง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1480
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1481
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1482
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1483
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1484
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1485
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1486
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1487
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1488
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1489
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1490
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1491
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1492
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1493
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1494
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1495
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1496
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1497
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1498
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1499
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1500
