ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196


    ตอนที่ ๑๑๙๖

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ผูัฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ อธิบายเรื่องทำบุญทำทาน นี้จะได้ผลอย่างไร ช่วยให้แสงสว่างในเรื่องนี้

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่คำตอบคงไม่พอ แต่ถ้าเป็นคำให้คิด จะเป็นความเข้าใจของตนเองดีกว่า เพราะว่าจะต้องมีธรรมอีกมากมายในชีวิต ซึ่งควรจะเข้าใจว่า เป็นธรรมอะไร มิฉะนั้นถ้าไม่รู้จริงๆ ก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ธรรมทุกอย่างใช่ไหม บุญหรือบาปเป็นธรรมด้วยหรือไม่ เป็นธรรมอะไร เห็นไหม ต้องรู้ก่อน ธรรมเมื่อครู่นี้ มี ๑ ทุกอย่างเป็นธรรม มี ๒ คือนามธรรมกับรูปธรรม มี ๓ คือ จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นบุญเป็นธรรมแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตัวก็ธรรมหมดเลย ข้างนอกตัวก็ธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นบุญเป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเจตสิก นี่คือการฟังธรรม เข้าใจธรรม ถ้าไม่ไตร่ตรอง ไม่คิด ก็เป็นเราทำบุญ หรือว่าเรามีบุญ ใช่หรือไม่ แต่ว่าบุญเป็นธรรมอะไร รูปเป็นบุญได้ไหม รูปไม่รู้อะไร รูปดีชั่วไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นดีชั่วต้องเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม นามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก ให้แน่ใจเลย ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน แค่รู้ ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ที่เห็นเป็นจิต รู้ว่าที่นี่มีอะไร เวลาเสียงปรากฏ จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน คือรู้แจ้งเสียงนั้น จะเป็นเสียงเล็ก เสียงใหญ่ เสียงเครื่องดนตรี หรือเสียงอะไรในครัว ที่ไหนก็ตาม จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง จึงสามารถที่จะรู้ว่า แต่ละเสียงต่างกัน เพราะจิตหนึ่งขณะ รู้ได้เพียงหนึ่งอย่าง

    วันนี้ขอเพิ่มเติมอีกคำหนึ่ง จิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่า "อารมฺมณะ" แต่คนไทยพูดสั้นๆ ว่าอารมณ์ และก็ไม่ได้เข้าใจด้วย แต่พูดกันบ่อย วันนี้อารมณ์ดี แต่หารู้ไม่ว่าที่ว่าอารมณ์ดี เพราะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ สิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นดี เสียงที่ได้ยินดี กลิ่นหอม รสอร่อย อากาศดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏให้จิตรู้ เป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ ใช้คำว่า อารมฺมณะ หรือ อาลมฺพนะ แต่คนไทยนิยมใช้คำว่าอารมณ์ แต่ไม่เข้าใจว่าอารมณ์คือ สิ่งที่ถูกจิตรู้

    เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นจิต อะไรเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน เสียง จิตรู้อะไร สิ่งที่ถูกจิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ของจิต ตอนนี้ก็เพิ่มอีกหนึ่งคำ พอได้ยินคำว่าจิต ต้องมีคำว่า อารมณ์ มีจิตไม่มีอารมณ์ได้ไหม เห็นไหม มีอารมณ์ไม่มีจิตได้ไหม มีเสียงได้ แต่เสียงนั้นจิตไม่เกิดขึ้นรู้ เสียงก็เป็นเสียงที่ไม่ปรากฏ แต่เสียงที่ปรากฏเพราะจิตรู้ เสียงนั้นเป็นอารมณ์ของจิต เฉพาะสิ่งที่จิตรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด และข้อสำคัญคือจิตรู้ได้ทุกอย่าง แม้สิ่งที่ขณะนี้ไม่มีไม่ปรากฏคือนิพพาน จิตก็รู้ได้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันที่เหลืออื่น เป็นเจตสิกทั้งหมด ขยันก็เป็นเจตสิก ง่วงก็เป็นเจตสิก เบื่อก็เป็นเจตสิก อะไรทั้งหมด ก็คือนอกจากรูป นอกจากจิต สิ่งที่มีจริงนั้นเป็นเจตสิก

    ด้วยเหตุนี้ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท โดยประเภทใหญ่ๆ เพราะเหตุว่าแม้แต่ความโกรธ ก็มีตั้งแต่ขุ่นใจ ไม่ชอบ จนกระทั่งถึง อาฆาตพยาบาท ก็เป็นลักษณะของความไม่ชอบ ชื่อว่า โทสเจตสิก โกรธ ก็เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า "โกโธ" หรือ "โกธะ" ก็ได้ "โทสะ" ก็ได้ นี่ก็คือคำต่างกัน แต่สภาพธรรมเหมือนกันหมด จะใช้ภาษาอะไร หรือไม่เรียกชื่อเลย ก็เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้แต่ละคำที่เคยพูด ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร บุญบาปไม่ใช่รูปเพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น แต่ดีชั่ว ที่เกิดกับจิตในขณะนั้นเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นความหมายของบาป กับความหมายของบุญ เชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ก็มีคำสองคำ บาปกับบุญ บาปภาษาบาลีคือ "ปาป" ความหมายของบาป หมายถึงธรรมที่ชั่ว ธรรมที่ไม่ดี ธรรมที่ให้ผลเป็นทุกข์ แล้วก็ธรรมที่บุคคลผู้เป็นบัณฑิตหลีกออกห่าง นี่คือความหมายของบาป เป็นธรรมที่ไม่ดีแน่นอน ธรรมที่ตรงข้ามกัน ก็คือคำว่า "บุญ" ภาษาบาลีจะออกเสียงเป็น "ปุณฺย" หมายถึงสภาพธรรมที่ดีงาม ที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศล ปราศจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมที่ดีงาม ที่เกิดขึ้นเป็นไป เกิดกับจิต ก็ทำให้จิต เป็นจิตที่ประกอบด้วยธรรมที่ดีงาม ก็กล่าวหมายเรียกว่า เป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ ที่ทำบุญ แต่จริงๆ ไม่มีคนที่ทำ แต่ว่าเป็นธรรมที่ดีงาม ที่เกิดขึ้นเป็นไป

    ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจนแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เพียงแค่คำตอบ แต่ยังรู้ได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็น เจตสิก ที่ต่างกัน เป็น ๕๒ ประเภท ความไม่รู้ความจริง ว่าเป็นธรรม บุญหรือบาป ไม่รู้ ดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบาปใช่ไหม บาปมากไหมวันนี้ บาปทั้งหมดมาจากความไม่รู้ คือ "อวิชชา" เพราะฉะนั้นอวิชชา ภาษาบาลีใช้คำว่า "โมหเจตสิก" เกิดกับอกุศล และจิตทุกประเภท เพราะธรรมดาจิตเองไม่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่ดีงาม หรือชั่ว แต่เป็น ปัณฑระ หมายความว่าผ่องแผ้ว จิตเองแค่เกิดขึ้นรู้ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่เจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต ฝ่ายดีก็มี ฝ่ายชั่วก็มี ทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท โดยประเภทใหญ่ๆ

    โลภะมีตั้งแต่ ชอบธรรมดาๆ ในห้องนี้มองไปก็ชอบ แต่ชอบอะไรมาก ระดับของโลภะ ความติดข้องก็ต่างกัน ไปที่ร้านอาหาร มีขนมมากมาย ชอบอะไรมาก ซื้อกลับบ้าน นี้ก็แสดงให้เห็นถึงระดับของธรรม ต่างๆ กันไป ตั้งแต่ อวิชชา หรือ โมหะ ไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดความติดข้องต้องการ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็ทำให้เกิดโทสะ ด้วยความขุ่นเคืองใจ ก็หมุนเวียนไปตามลำดับของความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ก็เป็นอกุศลหรือเป็นบาป วันนี้มีอกุศลมากไหม ถ้ารู้ก็บอกว่ามาก ถ้าไม่รู้ก็ไม่เห็นว่าไปทำบาปที่ไหน ใช่ไหม แต่ความจริง เพียงไม่รู้ความจริงขณะนั้นก็เป็นอกุศล ต้องไม่ดี ใครจะว่าดี เพราะฉะนั้นธรรม เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ จริง ตรง มีข้อความในพระไตรปิฎกแสดงว่า ผู้ที่เป็นผู้ที่ตรงเท่านั้น จึงจะได้สาระจากพระธรรม คือผิดจะเป็นถูกไม่ได้ และถูกก็จะเป็นผิดไม่ได้

    เจตสิกมีทั้งฝ่ายดี และไม่ดี และยังมีเจตสิกกลางๆ ที่สามารถที่จะเกิดกับจิตได้ทุกประเภท เพราะว่าจิตเองจะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยเจตสิก ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า จิตที่เกิดดับไม่ว่าในสังสารวัฏที่ยาวนาน หรือต่อไปข้างหน้า หรือภพภูมิใดก็ตาม จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย อย่างน้อยที่สุด ต้องมีเจตสิก ๗ ประเภทเกิดร่วมด้วย ไม่น้อยกว่านั้น แสดงว่าหนึ่งขณะนี้ที่จิตเกิด ต้องมีเจตสิกปรุงแต่ง เป็นสังขารธรรม อาศัยกันเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะค่อยๆ เข้าใจธรรมรัตนะ ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ เพราะเหตุว่าเงินทองไม่สามารถที่จะซื้อความเข้าใจได้เลย แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเมื่อเข้าใจ ก็จะนำมาสู่ความเข้าใจยิ่งขึ้น

    ตอนนี้บุญบาปไม่สงสัยแล้วใช่ไหม ว่าเป็นเรื่องที่ละเอียด จะละเอียดขึ้น เมื่อเข้าใจขึ้น จนกระทั่งมั่นคงว่า ธรรมเป็นธรรม ขั้นฟัง ยังมีขั้นต่อไปอีก แสดงว่าปัญญาต้องเจริญเท่าไร กว่าจะรู้จักพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าธรรมที่ทรงแสดงกับเรา อุปมาเหมือนใบไม้สองสามใบในกำมือในฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ส่วนพระปัญญานั้น เหมือนใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นทรงแสดงกับผู้ที่สามารถเข้าใจได้

    ผู้ฟัง อยากจะขอทราบ จะไปปฏิบัติธรรม จะต้องทำอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติเพื่อรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้หรือไม่

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้รู้หรือไม่รู้ สำหรับผมไม่มีความหมายอะไร เพราะผมไปฟังเทศน์ ผมสวดมนต์ ผมยังไม่รู้เลย ผมสวดอะไร ผมรู้คร่าวๆ เท่านั้นเอง อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน ผมก็สวดได้ แต่ผมสวดเพราะว่า เขาว่าอย่างนี้ดี ผมก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร แล้วมันก็ไม่สำคัญสำหรับผม

    ท่านอาจารย์ สวดมนต์ อิติปิโส ภะคะวา คนที่พูดภาษานี้ เขาสวดคือเขาพูดอย่างนี้ใช่ไหม ชาวมคธใช้ภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่พระองค์แสดงธรรม ให้เขาเข้าใจในภาษาของเขา เพราะฉะนั้นคำนี้แสดงถึงความจริง ถ้าเราพูดโดยเราไม่รู้ความหมาย ก็ไม่มีประโยชน์ พูดทำไมไม่รู้อะไรเลย แต่คนที่ฟังในครั้งโน้น เขาพูดคำนี้ เขาเข้าใจทันทีว่าหมายความว่าอะไร ความเข้าใจนั้นเป็นประโยชน์กับเขา เพราะเขาเข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนไทย พูดในภาษาไทย แต่ความหมายเดียวกัน อิติปิโส ภะคะวา แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เพราะเหตุนี้ เหตุอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่พูดว่า แม้เพราะเหตุนี้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุอะไร แต่คนที่ได้ฟังธรรมในครั้งโน้น เขาพูดคำนี้ได้ เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาค ภะคะวา ทรงจำแนกธรรมให้เขาเข้าใจโดยละเอียดยิ่งทีละหนึ่ง เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นเรายังไม่รู้จักธรรมเลย แต่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงจำแนกธรรม ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง แม้เพราะเหตุที่ทรงตรัสรู้ธรรม จึงทรงแสดงธรรมจำแนกธรรม ให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม นี่คือภาษาที่คนชาวเมืองนั้นพูดในภาษาของเขา แต่เขาเข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดในภาษานั้น แต่เราไม่เข้าใจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฏก คนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่า เห็น เที่ยงไหม เป็นภาษามคธีใช่ไหม เป็นภาษาบาลี ดำรงพระศาสนา เราก็ใช้ภาษานั้นมาโดยตลอด แต่ความหมายก็คือว่า ขณะนั้นเขากำลังเห็น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ ก็ตรัสถามเขาในภาษานั้นว่า เห็นมีจริงไหม ให้เขาคิด เป็นความรู้ เป็นความเข้าใจของเขา

    เพราะฉะนั้นมรดกที่ชาวพุทธ ใช้คำว่า พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่นจากความไม่รู้ ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือความเข้าใจ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ด้วยพระปัญญา คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นเราเกิดมา เรียกว่า พุทธะ ตรัสรู้อะไรก็ไม่รู้ และสิ่งนี้ก็กำลังมี และพระองค์ไม่รู้หรือ พระองค์ไม่ทรงตรัสรู้หรือ ว่าเห็นขณะนี้เกิดและดับ แต่เพราะทรงตรัสรู้ความจริง แม้เพราะเหตุนี้ที่ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงความจริง ให้เราได้ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนรู้ตามได้ รู้ตามลำดับ คือตั้งแต่ปริยัติ จนถึงปฏิปัตติ จนถึงปฏิเวธ ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้อะไรเลย มุ่งแต่จะทำ แต่ความจริงก็คือว่าทำเพื่ออะไร สิ่งที่มีขณะนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ กับรู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร นั่นคือ ปัญญา ทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีตัวตน ไม่มีอวิชชาไปทำได้

    เพราะฉะนั้นธรรม คือ จิต เจตสิก มีกิจหน้าที่ ของตนๆ อวิชชา ความไม่รู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้กำลังเผชิญหน้า อวิชชาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิด และสิ่งนี้ดับ แต่วิชชา สามารถที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งนี้ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ไม่เห็นขณะเกิดและดับ เพราะเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา นี่คือประโยชน์ที่จะพบได้ ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะว่าทุกคนคิดได้ พิจารณาได้ เข้าใจได้ ถ้าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่มีแล้วไปทำ ทำแล้วรู้อะไร

    สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนวัดราชศรัทธาธรรม

    วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ผู้ฟัง คือดิฉันประทับใจมาก ในประโยคที่ว่า การตอบแทนพระคุณของท่าน คือการศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นผู้ที่เลิศ หาบุคคลใดเปรียบไม่ได้เลย ในสากลจักรวาล ไม่ว่าเทวดา และมนุษย์ กี่จักรวาลก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นคำของพระองค์แต่ละคำ เป็นคำที่ละเอียด ลึกซึ้ง และกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งแม้เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้นเราเกิดมาแล้ว ก็มีเห็น มีได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างมีจริง แต่ไม่เคยรู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตาม ที่ได้ฟังคำของพระองค์ เหมือนกับได้เฝ้าเฉพาะพระพักตร์ ณ พระวิหารต่างๆ ที่พระองค์ประทับ แล้วก็มีคนไปเฝ้าฟังธรรม แต่ว่าการฟังธรรม ต้องรู้ว่าไม่ใช่เพื่ออะไรเลย นอกจากเพื่อความเข้าใจของผู้ฟัง มิฉะนั้นการฟังไม่มีประโยชน์ จะให้ผู้พูด พูดเรื่องอะไรก็ตามแต่ แต่ถ้าผู้ฟังไม่ได้ไตร่ตรอง และก็เข้าใจแต่ละคำ ย่อมไม่ได้ประโยชน์เลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันดีใจ ปลาบปลื้มที่สุด ที่จะได้รับมอบจากผู้ฟัง ก็คือความเข้าใจของแต่ละคน เราจะได้ไม่เสียเวลา ๒ ชั่วโมง ก็มีคำที่ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ว่าแต่ละคำ ขอให้เป็นความเข้าใจทีละคำ จนแจ่มแจ้งบริบูรณ์ มิฉะนั้นแล้วก็จะคิดว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดเองก็ได้ง่ายๆ แต่เป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะฟังคำของพระองค์ แล้วเข้าใจได้ทันที แม้แต่คำ "ธรรม" คำเดียว มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้บ้าง มีใครเคยพูดคำนี้บ้าง แต่ว่ามีใครเข้าใจคำนี้แค่ไหน

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย รัตนะสิ่งที่มีค่าที่สุด ๓ คือ พระพุทธรัตนะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่าที่ใครเปรียบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ แต่ละคำ มีค่าเป็น ธรรมรัตนะ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น พระพุทธรัตนะ ทรงแสดงพระธรรมให้คนเกิดความเข้าใจ จากไม่เคยรู้อะไรเลยทั้งสิ้น ในกี่ภพ กี่ชาติมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เหมือนเกิดใหม่ หรือว่าคนที่ตาบอดมานานในสังสารวัฏ เกิดแล้วเกิดอีก ก็ไม่เคยรู้อะไรเลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องไม่เผิน เมื่อเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ก็จะรู้จักว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ไม่ใช่เพียงแค่กราบไหว้ แต่ละคำของพระองค์ ควรจะได้เข้าใจด้วย จนกระทั่งสามารถที่จะมีผู้ที่ฟัง เห็นคุณ อบรมเจริญปัญญา ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้อง และปัญญาที่สมบูรณ์ ก็สามารถที่จะรู้แจ้งว่า แต่ละคำที่พระองค์ตรัส เป็นความจริงเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นเห็นไหม เดี๋ยวนี้มีอะไร ยังไม่เปิดเผยเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระองค์ เป็นสิ่งซึ่งควรที่จะได้สนทนากัน จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะเหตุว่า พระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ ทรงแสดงธรรมเป็น พระธรรมรัตนะ เพื่อให้ผู้ฟัง มีปัญญาของตนเอง จากการที่ไม่เคยรู้อะไรเลย จนกระทั่งรู้แจ้งว่า แต่ละคำของพระองค์เป็นความจริงทุกขณะ สามารถที่จะถีงการดับกิเลส เป็นพระอริยบุคคล เป็น สังฆรัตนะ

    เพราะฉะนั้นคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ต้องหมายความถึง สิ่งที่ประเสริฐ แม้แต่ธรรม คืออะไร และประเสริฐหรือไม่ประเสริฐอย่างไร และประเสริฐเพราะอะไร ถ้าได้ยินคำว่า ธรรม แค่นี้ ประเสริฐไหม เห็นไหม ต้องคิดแล้ว ได้ยินคำว่าธรรมประเสริฐไหม แต่ธรรมรัตนะ ไม่ใช่ธรรม ธรรมดา เพราะฉะนั้นก็มีทั้งธรรม และธรรมรัตนะ

    เช่นเดียวกับ พระสังฆรัตนะ ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังธรรมแล้ว ยังไม่รู้แจ้งความจริง ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือว่าเป็นคฤหัสถ์ ผู้ใดที่ไม่รู้แจ้งความจริง ผู้นั้นไม่ใช่ สังฆรัตนะ แต่บุคคลใดก็ตาม จะเป็นชาวบ้านหรือว่า เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ อายุเท่าไหร่ก็ตามแต่ ขึ้นอยู่กับปัญญา ที่สามารถเข้าใจ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนรู้จักพระองค์ โดยประจักษ์แจ้งความจริง ที่พระองค์ได้ประจักษ์แล้วเป็น สังฆรัตนะ

    เพราะฉะนั้นสังฆรัตนะ ไม่ได้หมายความถึงเพศภิกษุ ซึ่งไม่ได้เข้าใจธรรม หรือว่าเข้าใจแต่ยังไม่ถึงขั้น ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญา ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เป็นสังฆรัตนะ คือพระโสดาบันบุคคล ซึ่งสามารถที่จะดับกิเลส ตามระดับขั้นของปัญญา เพราะว่ากิเลสมากมายมหาศาล ในแสนโกฏิกัป จะดับได้เร็วไหม ถ้ามีใครคิดจะดับกิเลสเร็วๆ ๓ วัน ๗ วัน เดือนหนึ่ง ถูกไหม ต้องไตร่ตรอง

    ความจริงต้องเป็นความจริง เพราะว่า ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป แต่จะจากไปด้วยความเป็นผู้ตรง ต่อความจริง หรือว่าจากไปโดย ไม่รู้ไม่เข้าใจความจริง ถ้าจากไปโดยการไม่รู้ ชาติหน้าเกิดอีก ก็เหมือนชาตินี้ ก็ไม่รู้ต่อไป ทุกชาติเหมือนเดิม ในสังสารวัฏ แต่ชาตินี้ ที่จะต่างกับชาติก่อนๆ ก็คือ ได้มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้โดยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะคิดเองได้เลย

    เพราะฉะนั้น ธรรม คืออะไร ต้องเริ่มทุกคำด้วยคืออะไร มิฉะนั้นเราก็จะพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ยาวไกล แต่ว่าคืออะไร ก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเริ่มจากทีละคำ แล้วก็ชัดเจนว่าคืออะไรก่อน และต่อไปก็จะเข้าใจคำอื่นๆ ซึ่งก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ สามารถที่จะเข้าใจ และพิสูจน์ได้ทันทีที่ได้ฟัง

    อ.วิชัย ท่านที่ปฏิญญาว่า จะช่วยเหลือบุคคลอื่น อย่างเช่น ท่านที่เป็นลูกเสือชาวบ้าน แต่ว่าถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์บำเพ็ญบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป จะช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสัตว์โลกอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ลูกเสือชาวบ้านช่วยเรื่องที่เขาสามารถที่จะช่วยได้ใช่ไหม ตามภาระตามหน้าที่ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยสัตว์โลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่สามารถที่จะได้ยินได้ฟัง แล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สำหรับจำ ไม่ใช่สำหรับเผิน แต่สำหรับไตร่ตรอง เหมือนปลูกฝังความเห็นถูก ซึ่งจะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกชาติ เพราะฉะนั้นช่วยชาวโลกจากความไม่รู้ ให้เป็นผู้ที่ตื่นจากความไม่รู้ กำลังหลับอยู่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจะตื่นได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังแต่ละคำ และเข้าใจขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    2 พ.ย. 2568