ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
ตอนที่ ๑๑๙๐
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ แสดงว่ากรรมทำให้เกิดเป็นคนนั้น แล้วยังต้องรับผลของกรรมโดยเห็นสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง เพราะสภาพความจริงของสิ่งที่มี จะมีลักษณะที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เป็นรูปสีสันวัณณะต่างๆ ที่น่าดูก็มี ที่ไม่น่าดูก็มี อยากเห็นอะไรบ้าง ที่แต่งตัวกันสวยๆ งามๆ คืออยากเห็นอะไรบ้าง ต้องอยากเห็นสิ่งที่สวยงาม ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผลของกุศลกรรม จึงได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ
เราเลือกไม่ได้เลย ที่บ้านใครก็ตามอาจจะมีสิ่งที่วิจิตรมาก สวยมาก สุนัขเห็นได้ไหม แมวเห็นได้ไหม คนที่ทำงานในบ้านเห็นได้ไหม เจ้าของบ้านเห็นได้ไหม แค่เห็น เหมือนกันหมด เป็นผลของกรรม แต่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของ คนอื่นไม่ใช่เจ้าของ แต่ความจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของได้เลย แค่เห็น
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ก็รู้ว่านี่คือความเป็นไปของจิต ซึ่งเป็นผลของกรรมทำให้เราได้มีความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งทำให้ปัญญาเริ่มสังวร ถ้าเห็นแล้วเป็นอกุศล กับเห็นแล้วเป็นกุศล ทุกคนอยากเห็นแล้วเป็นกุศลถ้าเข้าใจ ก่อนที่ต้องการเห็นเป็นกุศล ก็อยากเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ อยากคือโลภะ เห็นเป็นผลของกรรม ไม่ว่าเห็นอะไร โลภะเกิดได้ต่อจากเห็น โทสะก็เกิดได้ แต่โลภะ โทสะ ไม่ใช่ผลของกรรม
ด้วยเหตุนี้ การศึกษาธรรมจึงต้องแยกโดยละเอียดว่า จิตมีกี่ชาติ กุศลหนึ่ง อกุศลหนึ่ง เป็นเหตุ และจิตที่เป็นผล ภาษาบาลีใช้คำว่าวิปากะ ชีวิตก็คือทั้งวันนี้เองเป็นกุศล อกุศล เป็นวิบาก แล้วยังมีจิตที่ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่วิบากก็มี เช่น จิตของพระอรหันต์ ก็พอที่จะเข้าใจได้ ซึ่งคนธรรมดาก็มี แต่ว่าต้องศึกษาละเอียดกว่านี้ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะไหน แต่ปกติก็กุศล อกุศลทั้งวัน เเละมากด้วย แล้วแต่ว่าอะไรจะมาก คนที่ตรงจะตอบได้เลยว่าอะไรมาก อกุศล ใช่ไหม
เริ่มรู้จักตัวเองแล้ว เริ่มจะขัดเกลาเพราะเห็นโทษ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอกุศลจะไม่คิดขัดเกลาเลย มีเเต่คิดอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะต้องการ เมื่อถึงเวลาที่จากไปเเล้วเป็นของใคร ไม่เป็นของใครเลย เป็นของโลก เป็นของคนอื่น ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่มีปัญญาจะรู้จักศีลไหม จะรู้จักคำว่าศีลสังวรไหม
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราจะไปสังวร แต่ต้องเป็นความเห็นถูก เห็นโทษของอกุศล จึงสามารถจะเป็นปัจจัยให้สติเกิด รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นกุศลจึงสังวรจากอกุศล แต่ละหนึ่งขณะสามารถที่จะกล่าวโดยนัยละเอียด จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เพราะเหตุว่าตราบใดก็ตามที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ความไม่รู้ก็หนาแน่นสุดที่จะประมาณได้ มากมายยิ่งกว่าจักรวาลในแสนโกฏิกัปป์
พระธรรมแต่ละคำที่ได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้นก็ค่อยๆ คลาย ใช้คำว่าคลายก็ยังยาก จะใช้คำว่าอะไรดี ใช้เล็บขุดภูเขา สำเร็จไหม นั่งขุดไป ใช้ปลายเล็บนี้ไปขุดภูเขา แต่ว่ายากยิ่งกว่านั้นอีกประมาณไม่ได้เลย มีทางเดียวก็คืออาศัยความเข้าใจ คือปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรม เป็นเบื้องต้น เพราะยังอีกไกลนักที่ปัญญาจะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง แล้วเห็นคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นตามลำดับ
เพราะฉะนั้น ศีลเป็นเราหรือเปล่า สังวรเป็นเราหรือเปล่า ไม่ แต่ขณะใดก็ตามที่เป็นกุศล กล่าวได้ว่าขณะนั้นเพราะเจตสิกที่ดีเกิดขึ้น จิตจึงเป็นกุศลตามลำดับขั้น ว่าถึงระดับขั้นที่สามารถสังวรจากกุศลหรือเปล่า หรือเพียงเริ่มฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะที่เป็นกุศลต่างกับขณะที่เป็นอกุศล เข้าใจอย่างนี้ สำหรับคนที่ฟังก็ยังมีปัญญาที่ต่างกันไป แล้วจะสะสมกุศลไหม แล้วจะละอกุศลไหม นี่อีกขั้นจากการฟัง
ฟังด้วยกันแท้ๆ แต่คิดต่างกัน บางคนฟังแล้วก็อกุศลมาก แต่คนที่อกุศลมากเมื่อฟังเเล้วรู้ว่าเริ่มเป็นกุศลจะดีกว่าไหม เท่าที่จะเป็นได้ในชีวิต เห็นไหมว่าความคิดหลากหลาย การที่จะขัดเกลากิเลส การที่จะมีปัจจัย เหตุที่จะให้กุศลเกิดก็ต้องอาศัยการฟัง เพราะเหตุว่าฟังแค่นี้จะไปยับยั้งอกุศลได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ปัญญาหรือความเห็นถูกนี้เองจะค่อยๆ ละอกุศล ยับยั้งได้ จึงต้องฟังต่อไปเพราะเห็นประโยชน์ เพราะรู้ว่าถ้าไม่ฟังก็คือไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่สวดว่า อิติปิโส ภะคะวา แต่ก็ไม่รู้ว่า อิติปิโสคืออะไร ภะคะวาคืออะไร อรหัง สัมมา สัมพุทโธคืออะไร แต่ทั้งหมดที่เป็นความเข้าใจเป็นคำของพระองค์
คำของพระองค์ทำให้สัตว์โลกได้รู้ความจริง ใครที่กล่าวคำจริงนั้นกล่าวตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ไม่ใช่คำของคนนั้น แต่ทุกคำจริงตามคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้
แม้แต่ฟังอย่างนี้ความคิดก็ต่างกันแล้ว ถ้าคิดว่ากุศลดีกว่าแน่เลย ต่อไปนี้ก็จะค่อยๆ เป็นกุศลขึ้นเท่าที่จะเป็นได้ แต่รู้ว่าต้องเป็นไปตามปัจจัย ถ้าฟังน้อยเข้าใจน้อย อยากเท่าไหร่ก็ได้แค่น้อยๆ แค่นั้นเอง
กำลังของอกุศลในวันหนึ่งมีมากแค่ไหน และในทุกชาติด้วย เพราะฉะนั้น ศีลคืออะไร ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่า ศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิต สังวรคืออะไร สังวรคือไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง
อ.ธีรพันธ์ ประการที่ ๒ ที่เป็น อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์ อินทรีย์ในที่นี้ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ท่านอาจารย์ อย่างที่กล่าวแล้วเมื่อสักครู่ เราพูดรวมกันไปว่า ขณะใดที่เป็นอกุศลก็เป็นความประพฤติเป็นไป ห้ามไม่ได้ แต่จากการฟังเเล้วที่จะเห็นว่าเป็นอกุศล เป็นโทษ ก็มีความคิดที่จะสะสมกุศลหรือเป็นกุศลมากขึ้น แต่ยังห่างไกลกับอีกระดับขั้นหนึ่ง ซึ่งแม้เกิดเห็นก็สามารถสังวร โดยการเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปัญญาก็หลากหลายมากตามระดับขั้น
อ.ธีรพันธ์ ประการที่ ๓ คือโภชเนมัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค ฟังดูแล้วก็เหมือนกับรับประทานน้อยๆ ไม่มาก เหมือนกับเป็นการสำรวมแล้ว แต่จะมีความลึกซึ้งจริงๆ เพราะว่าผู้ที่รับประทานอาหารน้อยก็มี เเต่เป็นการรู้จักประมาณในการบริโภคหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เป็นปัญหาน่าคิด คนที่รับประทานอาหารน้อยนั้นสำรวมหรือเปล่า หรือว่ารู้ประมาณในการบริโภคหรือเปล่า หรือว่ารับประทานมากไม่ได้ เพราะหมอห้ามเลยต้องรับประทานทีละน้อย เป็นโรคกระเพาะหรืออะไรก็ได้ ซึ่งเหตุผลก็มีมากมาย ต่างคนต่างมีเหตุผลตามการสะสม
เพราะฉะนั้น เห็นใครรับประทานน้อย เพราะเขามีปัญญาหรือเปล่า คิดเองได้อย่างไร จะด้วยเหตุอื่นก็ได้ ไม่ชอบอาหารนั้นก็ได้ บางคนรับประทานอาหารยากมาก อาหารนี้ไม่สุกรับประทานไม่ได้ แค่ไข่ดาวจะต้องตีไข่เเดงให้แตก ถ้ายังมีน้ำเยิ้มๆ ยังไม่สุกเต็มที่ก็รับประทานไม่ได้ มีปัญญาหรือเปล่า หรือว่าโลภะ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราเองซึ่งไม่รู้เเละไม่เข้าใจจะไปวัด แต่ต้องเป็นความเข้าใจธรรม เห็นนั่งกันอยู่อย่างนี้ ใครจะรู้ว่าอินทรีย์สังวรก็เกิดได้ สำหรับคนที่มีความเข้าใจอีกระดับหนึ่ง ใช่ไหม เป็นปกติ ซึ่งไม่ได้แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา
มีเด็กคนหนึ่ง เขาไปสำนักปฏิบัติกับคุณพ่อที่เป็นนายแพทย์ ลูกนั่งนิ่งเลย กลับถึงบ้านพ่อชมว่าลูกเก่ง ลูกบอกพ่อไม่รู้หรือว่าที่นั่งนิ่งๆ เขาคิดอะไร เห็นไหมว่าไม่มีใครจะรู้ได้เลย แค่นั่งนิ่งๆ แล้วบอกว่าเขานั่งเก่ง เป็นสมาธิเพราะไม่กระดุกกระดิก
คิดได้อย่างไรในเมื่อรู้จักจิตไหมว่า จิตไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีขนาดสูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่มีรูปใดๆ เจือปน ลองคิดถึงธาตุชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ แค่คำนี้ก็ยังไม่มีทางรู้ได้เลย จนกว่าจะถึงขั้นนามรูปปริเฉทญาณ ถ้าฟังแล้วก็คิดว่า จิตไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน และกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สีสันมีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ แต่ธาตุรู้แค่เกิดขึ้นเห็น ค่อยๆ ชิน ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย จนกว่าความเข้าใจนั้นสามารถจะเกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเห็นจริงๆ เป็นธาตุรู้
โดยที่เราจะวัดประมาณไม่ได้เลย แต่ถ้ารู้ประมาณในการบริโภค ก็เท่ากับเห็นกิเลสของตัวเอง ใช่ไหม ที่เรารับประทานมากๆ เพราะอะไร เพราะอร่อย เพราะชอบ กับข้าวมีตั้งหลายอย่าง เลือกเฉพาะสิ่งที่ชอบใช่ไหม สิ่งที่ไม่ชอบไม่แตะเลย สิ่งที่ชอบมากก็ตักมามาก สิ่งที่ชอบน้อยก็ตักมาน้อย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่รู้ประมาณในการบริโภค แต่เป็นไปตามความต้องการของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่จะรับประทานจนเกินอิ่มเพราะอร่อย ชิมอีกคำหนึ่งแค่คำเล็กๆ คำเดียว ใครห้ามได้ แต่คนที่รู้ประมาณในการบริโภค รู้กิเลสของตนเอง ไม่อย่างนั้นไม่ชื่อว่ารู้ประมาณ เมื่ออิ่มก็พอแล้ว แต่ถ้าบริโภคต่อไปก็เพราะติดข้อง
ด้วยเหตุนี้ การรู้ประมาณในการบริโภค ไม่ใช่ว่ารับประทานน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่อ้วน นั่นไม่ใช่รู้ประมาณในการบริโภคเพราะไม่ใช่ปัญญา เพื่อจะได้ไม่อ้วนก็ด้วยโลภะ ใช่ไหม แต่ถ้าด้วยปัญญาก็คือเมื่ออิ่มแล้วก็พอแล้ว เพราะบริโภคเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เป็นไปเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรม ไม่มีอะไรในชีวิตที่จะสำคัญเท่า ขณะนั้นก็ต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้น เริ่มรู้เลยว่าจะกิเลสยังมีอยู่ ไม่ใช่หมดไป
ดังนั้นไม่ใช่ให้ใครไปยับยั้ง สิ่งที่ไม่เกิดต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เมื่อเกิดแล้วควรรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา ซึ่งส่วนใหญ่ทำผิดตรงที่จะไปพยายามไม่ให้มีเรา แต่ไม่รู้ว่าที่มีนี่เองไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปทำอะไรให้เกิดขึ้น เพราะเกิดแล้วไม่รู้มาตลอด ถึงแม้เดี๋ยวนี้ก็เกิดแล้วก็ไม่รู้
ปัญญาก็คือรู้สิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เกิด ถ้าไปหวังว่าจะรู้ในสิ่งที่ยังไม่เกิด โดยไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจหนทางที่จะทำให้รู้ความจริง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ด้วยเหตุนี้ ฟังคำนี้ รู้ประมาณในการบริโภค ไม่ใช่มีตัวตนให้เราไปประมาณในการบริโภค แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา บริโภคอิ่มแล้ว จะเพิ่มอีกคำหนึ่งก็ไม่ใช่เรา ประโยชน์สูงสุดไม่ใช่ให้ไปบังคับหรือให้หวัง แต่ให้เข้าใจทุกอย่างที่เป็นไปว่าไม่ใช่เรา
ถ้ารู้จักประมาณในการบริโภคก็คือ ผู้ที่เริ่มเห็นกิเลส ไม่ใช่ว่าอยากผอม อยากสุขภาพดี หมอสั่งไว้หรืออะไร แต่ต้องเห็นโทษของกิเลสว่าที่เราบริโภคด้วยโลภะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่บริโภคด้วยโลภะก็มีปัญญาเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถอินทรียสังวรศีล ขณะนั้นที่กำลังเคี้ยว ที่กำลังดื่ม ที่กำลังเห็น ที่กำลังชอบหรือไม่ชอบ รู้เลยว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นธรรมแต่ละขั้นก็ต้องอาศัยความเข้าใจแต่ละขั้น การฟังธรรมถ้าฟังไม่ดีก็เป็นเรา เริ่มจะบริโภคก็เเค่อิ่มพอแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเป็นเรา ซึ่งจะเห็นได้ว่าการละกิเลสมีหลายระดับขั้น ด้วยการเห็นโทษเพียงเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นโทษที่ว่าขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นธรรม
ดังนั้น ที่สำคัญที่สุด เกิดแล้ว ถ้าคิดว่าอิ่มแล้ว ไม่บริโภคแล้ว เเค่คิด ปัญญาต้องรู้ว่าคิดไม่ใช่เรา ทุกอย่างทั้งหมดที่เคยไม่รู้ ต้องไม่เหลือ ถ้ายังเหลือก็คือยังเป็นความเห็นผิด ยังไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตัวจริงๆ ตามลำดับขั้น ซึ่งกำลังเกิดดับ
เพราะฉะนั้น เกิดดับอย่างเร็วมากอย่างนี้จนไม่รู้เลย จึงเป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปหมด การที่จะรู้ทีละหนึ่งก็ต้องรู้ถึงความห่างไกลว่า ต้องอาศัยปัญญาที่ค่อยๆ อบรม ปัญญานั่นก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น คุณธีรพันธ์รู้ประมาณในการบริโภคหรือเปล่า
อ.ธีรพันธ์ ต้องเป็นปัญญาจริงๆ ที่จะเป็นการรู้จักประมาณในการบริโภค ปกติก็บริโภคด้วยโลภะ ติดข้อง
ท่านอาจารย์ หยุดยั้งได้ไหม
อ.ธีรพันธ์ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่สามารถรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นผิดกันมาก การไปทรมานตัว หรือการไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะให้หมดกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากปัญญาจริงๆ ที่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว ถ้ายังไม่เกิดจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่เรา สะสมมา แม้คิดอย่างนั้นก็เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย
อ.ธีรพันธ์ จรณะอีกประการหนึ่งก็คือ ชาคริยานุโยค หมายถึงการเป็นผู้ประกอบความเพียรในความเป็นผู้ตื่นอยู่
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ตื่น ประกอบความเพียรอะไร หรือว่าตื่นโดยไม่ประกอบความเพียร เพียรเกิดอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าจะเพียรอะไร เพียรในทางอกุศลก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นเป็นผู้ตื่น เพื่อที่จะประกอบความเพียรในอะไร ก็ต้องในกุศลธรรม ใช่ไหม
ตอนนี้รู้สึกจะง่วงกันแล้ว ฟังธรรมน่าง่วง ทั้งๆ ที่พูดคำจริงที่มีประโยชน์ แต่ง่วงเกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ต้องไปทำอะไร ขอให้เข้าใจเพียงแค่ว่าเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่พยายามบังคับให้เป็นด้วย แต่ต้องรู้ว่า ธรรมทั้งหลายบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ฟังไปง่วงไป ง่วงก็เป็นธรรม
ถ้ามีปัญญาพอก็สามารถรู้ว่าง่วงเป็นธรรม ตื่นเลยขณะนั้น ที่รู้ว่าง่วงเป็นธรรมนั่นตื่นแน่ ใช่ไหม แต่ถ้าง่วงไม่ใช่ธรรมก็ง่วงต่อไป อยากจะหลับ แต่ความเข้าใจมีเมื่อไหร่ขณะนั้นไม่หลับ และไม่ใช่อยากจะหลับด้วย แต่รู้ว่าง่วงคือธรรมอย่างหนึ่ง คือปัญญาที่รู้อย่างนั้น เห็นคุณของปัญญาไหมว่า สามารถที่จะเข้าใจทุกอย่างได้ตามความเป็นจริง โดยไม่ใช่ไปบังคับ
ปัญญาที่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม เริ่มตื่น ไม่ง่วงแล้ว อย่างอื่นก็เป็นธรรมต่อไป เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นคุณของการที่ตื่นด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ฝืนแล้วก็ง่วงไป และก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจก็คือไม่ใช่ปัญญา
ถ้าไม่ใช่ปัญญาจะมีประโยชน์ไหม เป็นกิเลสเป็นอกุศลที่ง่วง ฟังไปก็ง่วงไป แล้วเวลาที่ฟังไปง่วงไปนั้นเข้าใจแค่ไหน ก็เป็นธรรมทั้งหมดตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้ฝืน แต่แสดงความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา นี่คือคุณค่ามหาศาล ไม่อย่างนั้นเราก็ไปติดตรงนั้นบ้าง ไปติดตรงนี้บ้าง ตอนง่วงก็ฝืนจะให้ไม่ง่วง ตัวตนมาเเล้วที่ฝืนเพราะไม่อยากง่วง เเล้วง่วงก็ยังปรากฏให้รู้ เเต่ไม่รู้ เพราะปัญญาไม่พอ แต่ถ้ามีปัญญาง่วงแค่ไหนก็แล้วแต่ปัจจัย ปัญญาเกิดขึ้นเข้าใจง่วงได้ แล้วจะหายง่วงหรือไม่ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ให้เราไปบังคับบัญชา แต่ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวง
โดยมากทุกคนเวลาง่วงก็อยากนอนหลับ ไม่อยากทำอะไรเลย ให้เพชรนิลจินดา ให้อะไรมาสักเท่าไหร่ มีประโยชน์เท่าไหร่ก็ไม่อยากได้ ตอนนั้นขอนอนดีกว่า ใช่ไหม ตอนตื่นถึงจะอยากได้ แต่ตอนจะหลับให้อะไรมาก็คงไม่รับ จะเป็นอาหารอร่อยๆ อะไรๆ ก็ไม่รับทั้งนั้น ถูกปลุกให้ตื่นมาฟังธรรมก็ไม่ฟังอีก ใช่ไหม เพราะความง่วงมีกำลัง นี่คือธรรมเป็นอนัตตา
เมื่อไหร่ที่ปัญญาจะรู้ทั่วจริงๆ อาจหาญร่าเริงทุกกาล นั่นคือหน้าที่ของปัญญาที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้น เหมือนเด็กอ่อนนอนหงายแบเบาะ ที่เปรียบว่าเป็นคนที่ไม่มีปัญญา กว่าจะลุกขึ้นมาทำกิจการงานได้ต้องโตระดับไหน
เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เหมือนกัน กว่าจะทำกิจของปัญญาที่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ตามลำดับ ก็ต้องค่อยๆ อาศัยการฟังพระธรรม แล้วทุกอย่างจริงก็จริง และเป็นธรรมก็เป็นธรรม
เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งท่านก็ง่วง เป็นพระโสดาบันแล้ว เเต่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีง่วง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงโดยนัยหลากหลาย จนประการสุดท้ายคือว่าให้ไปนอน จะห้ามอะไรได้ สำหรับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระโสดาบัน ซึ่งท่านเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไม่เข้าใจเลย
เพราะฉะนั้น ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าจงหลับอย่างมีสติ ท่านก็ต้องรู้ว่าสติเป็นอย่างไร ฟังแค่นี้ก็เป็นปัจจัยให้แล้วแต่สภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ว่าให้ทำ แต่ให้เข้าใจเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนี้ เพราะว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้กับเรา เป็นอย่างไร สติสัมปชัญญะมีไหม ถ้าไม่รู้ก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าเราเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปเป็นอย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะได้
อ.ธีรพันธ์ ขอเพิ่มเติมอีก จะมีข้อหนึ่งที่ว่าเธอจงเดินจงกรม
ท่านอาจารย์ แค่ได้ยินก็คิดแต่งต่อเติม แปลกันไปต่างๆ แต่ จังกัมมะในภาษาบาลี ภาษาไทยใช้คำว่า จงกรม หมายความว่าก้าวไปตามลำดับ ก็คือเดิน คนไทยเราก็ไม่พูดว่าเธอจงก้าวไปตามลำดับ ใช่ไหม เราก็บอกว่าเดินไป แต่ภาษาบาลีไม่มีคำว่าเดิน มีคำว่าจังกัมมะ ก้าวไปตามลำดับก็คือเดิน
โดยเฉพาะพระภิกษุทั้งหลาย ท่านไม่มีกิจของคฤหัสถ์ คฤหัสถ์เราใช้แรงงานอยู่ตลอด ใช่ไหม เดินไปมาทำนั่นทำนี่ แล้วแต่เราจะทำอะไรก็ได้ที่เป็นภาระของคฤหัสถ์ แต่ของพระภิกษุท่านมีกิจเพียง ๒ อย่าง คือคันถธุระ การศึกษา ศึกษาที่นี่หมายความว่าฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจ และวิปัสสนาธุระ ถ้าไม่มีความเข้าใจ วิปัสสนา ความเข้าใจแจ่มแจ้งระดับนั้นเกิดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ธุระของพระภิกษุที่สละเพศคฤหัสถ์ ตายแล้วจากเพศคฤหัสถ์ สู่การเกิดใหม่ในเพศบรรพชิต โดยศีล ๒๒๗ ข้อ เป็นกำเนิด ท่านต้องรักษา เห็นคุณของศีลแต่ละข้อ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า กว่าเด็กน้อยทั้งหลาย ผู้ไร้ปัญญา หรือผู้มีปัญญาน้อยจะค่อยๆ มีปัญญาขึ้น จะต้องอาศัยความเป็นไปในทางกุศลเพิ่มขึ้น ขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้น การศึกษานี้หมายความว่าไม่ใช่?เพียงฟังเรื่องราว แต่ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีตามคำที่ได้ฟัง ท่านจึงมีการสังวร มีการระวัง มีการรักษาศีลต่างๆ ในเพศของบรรพชิต
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
