ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
ตอนที่ ๑๑๘๓
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ก่อนเห็น ไม่ใช่เห็นที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ขณะ เเต่เป็นจิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่าขณะที่กำลังเห็น เมื่อเห็นดับ จิตที่เกิดสืบต่อโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครไปทำอะไรเลย แต่เป็นการปรุงแต่งว่าหนึ่งขณะจิตที่ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น แล้วเกิดเป็นอะไร นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งซึ่งสืบต่อ
ฟังแค่นี้ก็จบแค่นี้ แต่ถ้าฟังต่อไปก็ยิ่งละเอียดขึ้นว่า แม้จิตที่เกิดสืบต่อก็เป็นจิตประเภทเดียวกับจิตที่ดับไป ซึ่งเป็นจิตขณะเเรกในชาตินี้ สืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ถ้ากล่าวว่า จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนแล้วมีจิตที่เกิดต่อ แค่นี้ต้องคิดไตร่ตรองแล้ว จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนไม่ใช่จิตใดๆ ในชาตินี้เลยทั้งสิ้น ต้องเป็นขณะสุดท้ายของชาติก่อน ซึ่งสืบต่อมาจากชีวิตในชาติก่อน เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ซึ่งต่อมาจากปฏิสนธิคือจิตขณะแรกในชาติก่อน
เพราะฉะนั้น การเกิดมาแต่ละหนึ่งขณะ ไม่มีใครไปทำเลย จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีใครเพราะว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง จึงไม่มีใครทำ แต่เป็นความเป็นไปของธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมดา ฝนตกเป็นธรรมดาหรือเเปลกประหลาด ฟ้าร้องก็เป็นธรรมดา แดดออกก็เป็นธรรมดา กำลังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกขณะ เพราะเหตุว่าคำนี้มาจากภาษาบาลีสองคำ คือคำว่า ธรรม กับคำว่า ตา คนไทยไม่ใช้ ต แต่ใช้ ด เราก็เปลี่ยนจากธรรมตา เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ตากับธรรม ตาคือความเป็นไปของธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ จะเป็นอื่นไม่ได้ เห็นต้องเป็นเห็น แสนโกฏิกัปป์มาแล้วเห็นก็เป็นเห็น เห็นต้องเกิดแล้วเห็นก็ต้องดับ ก่อนเห็นเกิดก็มีจิตที่ไม่ใช่เห็น เห็นแล้วดับไป ก็ไม่ใช่จิตที่เห็น ดังนั้น เราอยู่ไหน มีแต่สิ่งซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด เป็นธรรมจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดตามเหตุตามปัจจัย ดับไป ไม่เหลือเลย เราอยู่ไหน เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นธรรมทั้งหมด ที่ถามว่านี่อะไร ก็เป็นธรรม นั่นอะไร ก็เป็นธรรม
โดยปัญญาก่อนที่จะรู้การเกิดขึ้นและดับไปของธรรม คือต้องรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็นธรรมหมายความว่า ถอนจากความเป็นเรา เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น เช่น แข็งเป็นแข็ง เป็นหวานไม่ได้ เป็นเสียงไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ตื่นขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรม คือเป็นสิ่งนั้น ไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่สิ่งอื่น กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริง รู้ความจริงอย่างนี้เมื่อไหร่ การรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ชัดเจนขึ้นว่า พระองค์ตรัสรู้อย่างนี้ ทรงแสดงอย่างนี้มานานเท่าไหร่
สำหรับเดี๋ยวนี้คือถอยหลังไป ๒๕๐๐ กว่าปีได้ตรัสไว้แล้ว และเดี๋ยวนี้เห็นก็ยังคงเป็นเห็น เห็นก็เกิดขึ้นเห็น และเห็นก็ดับไป ไม่มีอะไรสักอย่างซึ่งคงที่และจะเป็นของเราได้ ชาติก่อนไม่ปรากฏเลยเมื่อจากมา เหมือนชาตินี้ไม่ปรากฏเลยเมื่อถึงชาติหน้า หายไปเลย จำไม่ได้เลย หมดเลย เคยนั่งอยู่ตรงนี้ก็จำไม่ได้ ก่อนนี้เคยทำอะไร จำไม่ได้หมดเลย เพราะเหตุว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ใครจำอะไรได้บ้าง เมื่อวานนี้จำได้ไหม
ผู้ฟัง จำได้
ท่านอาจารย์ จำได้หมดไหม ไม่หมด เมื่อวานนี้ทำอะไรต้องมานั่งนึกแล้ว แค่ตื่นขึ้นมาทำอะไร แต่แต่ละหนึ่งเกิดดับตลอดมาจนถึงกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ สุขหรือทุกข์ของแต่ละคนไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ไม่มีใครพ้นจากเจ็บปวด ป่วย ทุกข์ใจก็แสนสาหัส โลภะก็ติดข้องแน่นหนามากมาย
มีใครไม่ชอบอะไรบ้างตั้งแต่เช้ามา ที่โต๊ะอาหารก็เลือกกันสารพัดอย่างที่พอใจ ทุกอย่างทั้งหมด โดยไม่รู้เลยว่าละเอียดยิ่งกว่านั้นคือ เพียงแค่จิตเห็นดับไป ๓ ขณะ ความติดข้องเกิดแล้ว แล้วกว่าจะไปดับสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา จึงจะค่อยๆ คลายกิเลสอื่น เช่น โลภะ โทสะ จนกระทั่งถึงดับหมด ไม่เหลือเลย ไม่มีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นพระอรหันต์
การที่จะได้ฟังธรรมไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่มีบังเอิญเลย เดี๋ยวเราออกไปข้างนอก บอกได้ไหมว่าจะเห็นอะไร ไม่มีทางที่ใครจะรู้เลย เราอาจจะบอกว่าเห็นอีกห้องหนึ่ง เเต่อาจจะมีเศษกระดาษเล็กๆ ตกอยู่ที่ประตูก็ได้ ใครคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นตามเหตุตามปัจจัย แสดงว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่อยู่ในอำนาจของใครเพราะเหตุว่า ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีใคร
ด้วยเหตุนี้ กว่าจะถึง ณ กาลครั้งหนึ่งอีกข้างหน้าๆ ๆ ต่อไป ก็จะต้องมีการฟัง เพราะเหตุว่า ณ สถานที่บริเวณนี้ เป็นที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๔ พระองค์ในกัปป์นี้ คือตั้งแต่โลกเกิดแล้วยังไม่ดับซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่เรารู้จักเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี เป็นพระองค์ที่ ๔ ของกัปป์นี้ แสดงว่าพระศาสนาคำสอนของพระองค์นี้จะต้องอันตรธานหมดสิ้น ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจคำที่แม้มี แต่ก็คิดกันไปเอง เปลี่ยนแปลงกันเองต่างๆ นานา ไม่ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องสักคนเดียว ขณะนั้นพระศาสนาก็อันตรธาน
ใครก็ตามขณะที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้ ไม่เข้าใจอย่างนี้ สำหรับคนนั้น พระพุทธศาสนาก็อันตรธานไปแล้ว ถ้าเราไปชวนใครให้มาฟังธรรม เเต่เขาไม่ฟัง พระศาสนาก็อันตรธานจากเขาแล้ว เขาอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าตายทันทีหลังจากที่เราชวนเขา ชาตินั้นทั้งชาติก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะ สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือได้เข้าใจธรรม เป็นขณะที่มีค่า ถ้ากำลังโลภติดข้อง มีค่าไหม สิ่งที่ติดข้องก็ดับ โลภะความติดข้องก็ดับ หมายความว่าสิ่งที่ดับแล้วกลับมาอีกไม่ได้ เกิดอีกไม่ได้เลย ดับคือเหมือนไฟดับแล้ว ใครจะไปตามหาไฟนั้นก็ไม่มีทาง ถ้ามีไฟใหม่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ไฟเก่าแล้ว เพราะฉะนั้น จิตแต่ละหนึ่งขณะไม่ใช่ของเก่ากลับมา แต่ว่ามีปัจจัยทำให้เกิดหลากหลายไปทุกขณะ แล้วก็ไม่ดับไม่ได้ และต้องเป็นอย่างนี้ จนถึงขณะที่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
ชาติก่อนเป็นใคร ณ สถานที่นี้ในสมัยพุทธกาล มีผู้หญิงคนหนึ่งมีเจ้านายที่ดุร้าย เฆี่ยนตีนางสารพัด จนนางทนไม่ไหวต้องไปโกนศีรษะหมดเลย เพื่อไม่ให้เจ้านายจับดึงผมไว้แล้วตีได้ แต่พ้นจากกรรมไม่ได้ นางยังถูกรัดศีรษะด้วยเชือกเพื่อที่จะดึง แล้วก็โดนเฆี่ยนตีต่อไปไม่สิ้นสุดสำหรับนางรัชชุมาลา ซึ่งหมายความถึงเชือกที่ประดับศีรษะ เพราะเหตุว่าอยู่บนศีรษะ แต่ไม่ใช่ดอกไม้ เป็นเชือกสำหรับดึงไปถูกทำร้าย แล้วจะทนไหวไหม คิดดู
ใครบ้างที่นั่งอยู่ตรงนี้เเล้วเป็นอย่างนั้นในชาตินี้ ไม่มี แต่ถ้ามีก็มีได้ ใครจะรู้ แต่ละหนึ่งจะสุขจะทุกข์จะมากจะน้อย ต่างกันหมดตามเหตุตามปัจจัย แต่ละหนึ่งขณะยังไม่ซ้ำกันเลย แล้วแต่ละหนึ่งคนจะซ้ำกันได้อย่างไร ในเมื่อปัจจัยไม่ใช่เฉพาะชาตินี้
ทุกขณะจิตที่ดับไป โลภะ โทสะ โมหะ กุศลอะไรต่างๆ ที่ทำแล้วสะสมสืบต่ออยู่ในจิต ทำให้แต่ละคนที่เกิด มีอัธยาศัยต่างๆ กัน มีความชอบในสิ่งต่างๆ กัน เพียงแค่ถามว่าชอบสีอะไร คำตอบจะเป็นสีเดียวกันไหม ก็แต่ละสี แม้แต่สิ่งที่ปรากฏเพียงแค่สีสันวัณณะ และยังยิ่งกว่านั้นอีก
แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ไม่รู้มากมายมหาศาล ซึ่งหญิงคนนั้นทนไม่ได้ เราจะไปบอกนางว่าไม่เป็นไรหรอก อย่างไรก็ต้องตาย แต่ยังไม่ถึงที่ก็ยังไม่ตายก็ทนต่อไป ก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะนางคิดที่จะฆ่าตัวตายที่คยา ไปที่ต้นไม้เตรียมพร้อมที่จะแขวนคอตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ว่านางกำลังจะสิ้นชีวิต แต่ถ้าได้ฟังธรรมนางจะเป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้น เราเลือกไม่ได้เลย จะเกิดเป็นใคร ที่ไหน ก็ขอให้ได้สะสมสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้ แล้วทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา ไม่เว้นเลย วันของพระองค์ตั้งแต่ตื่นจนกว่าจะหลับไป ทรงแสดงธรรมกับผู้ที่มีโอกาสจะได้เฝ้า และได้ประโยชน์ทั้งสิ้น
เมื่อตื่นบรรทมแล้วตรวจดูสัตว์โลก ณ ที่นี้ ผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจธรรมถึงจะอยู่แสนไกล ซึ่งปกติเวลาจะออกบิณฑบาตโดยมีสาวกติดตามไปข้างหลัง แต่วันไหนที่จะเสด็จเพียงพระองค์เดียว จะปิดประตูเพื่อเป็นที่รู้ว่า พระองค์จะไม่ออกไปบิณฑบาตกับเหล่าสาวก สาวกก็เดินประทักษิณที่ประทับแล้วไปบิณฑบาตกัน
ส่วนพระองค์เสด็จไปโปรดไม่ว่าใครอยู่ที่ไหน พวกพราหมณ์ หรือใครๆ ทั้งหมด ในบริเวณที่ห่างไกลกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเขามีโอกาสได้ฟังแล้วจะเข้าใจ ก็เสด็จไปแสดงธรรมกับเขา หลังจากบิณฑบาตแล้วก็ประทับแสดงธรรมทั้งตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ ตอนดึกเทวดาก็มาเฝ้า ซึ่งท่านไม่ได้ฟังธรรมพร้อมกับพวกเรา เพราะโอกาสที่เทวดาจะมาก็เฉพาะตอนดึกๆ ยามสงัด นานถึง ๔๕ พรรษา
ทุกคำจารึกไว้ เรียบเรียงรวบรวมเป็นพระไตรปิฎก ส่วนที่เกี่ยวกับพระวินัยสำหรับพระภิกษุสงฆ์เป็นพระวินัยบัญญัติ เป็นพระวินัยปิฎก แต่ก็มีข้อความอื่นรวมอยู่ด้วย ส่วนพระสูตรก็กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ซึ่งเรามีโอกาสจะรู้เรื่องแต่ละบุคคลในครั้งก่อน จะเป็นใครแถวนี้ก็ได้ที่เคยได้ฟังธรรมมาแล้ว แต่คนอื่นที่ไม่เคยฟังธรรมก็อยู่ไกลออกไป
เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้ว่าชาติก่อนๆ เป็นใคร สุขทุกข์แค่ไหน ชาติก่อนเหมือนประตูที่ปิดสนิท เหมือนตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าข้างนอกมีอะไรหลังประตูที่ปิดแล้ว จะนึกสักเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ดังนั้น ชาติหน้าจะเหมือนกับชาตินี้ ซึ่งเมื่อถึงชาติหน้า ไม่มีใครจำได้เลยว่าเราเคยอยู่ที่ไหน เราเกิดมาอย่างไร ได้พบปะสุขทุกข์มากน้อยเท่าไหร่ ได้พบมิตรสหาย มีใครเป็นศัตรูไม่ชอบเราบ้าง หรืออะไรบ้างตั้งแต่เด็กจนโต แม้จะมีคนที่เขาบอกว่าจะขอจำเรื่องนี้ไปจนตาย ก็พูดไป ตายแล้วจำได้ไหม แต่เห็นแรงของกิเลสที่ปรารถนาที่จะให้จำเรื่องนั้นไว้
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรม เราต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรมที่เป็นกุศลที่ดีงามก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีงามก็มี และถ้าอะไรเกิดบ่อยๆ เช่น โกรธเกิดบ่อยๆ เมื่อคนนั้นเห็นอะไร หรือแม้เเต่ดูโทรทัศน์ เรายังได้ยินเขาว่าคนนี้อ้วนไป พระเอกทำไมอ้วนอย่างนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ สารพัดคิด คิดในใจซึ่งถ้าพูดออกมาดังสนั่นเลย ห้องนี้ก็มีแต่เสียงของความคิดถึงทั้งนั้น แต่บางกาลคิดและเสียงเปล่งออกมาโดยปัจจัย บางกาลก็คิดเงียบๆ คิดตลอด
เมื่อเห็นแล้วหารู้ไม่ว่าทันทีที่เห็นแล้วคิดทันที ถ้าไม่คิดจะไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสันต่างๆ ที่จำไว้ว่านี่เป็นอะไร ที่ถามเมื่อสักครู่แล้วตอบว่าคือไมโครโฟนนั้น ต้องมีสิ่งที่กระทบตาปรากฏ จนกว่าจะเป็นรูป ร่างอย่างนี้ ไม่ใช่รูปร่างอื่น ถ้ามีคนตอบเป็นอย่างอื่นนั่นก็อีกรูปร่างหนึ่ง ซึ่งความจำวิปลาสหลากหลาย ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ทันทีที่เห็น เห็นนั้นก็ดับ ซึ่งจำผิดมาตลอดในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องต่างจากคำของคนอื่นทั้งหมด และเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
เมื่อเห็นค่าของเเต่ละคำมากขึ้น ถึงเราจะคุ้นเคยกับเรื่องอื่นมามาก แต่เราก็ยังได้มาสะสมคำที่จะทำให้สามารถมีความเข้าใจทีละคำ ทีละเล็กทีละน้อยมากขึ้นๆ จนต่อไปข้างหน้า คำที่เราต้องการจะได้ฟังก็คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำอื่นเล็กน้อยมาก ไม่มีค่าเลย แต่โอกาสที่จะได้ฟังคำของพระองค์เป็นโอกาสที่มีค่ายิ่งในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ใช่เป็นเราฟัง เเล้วเวลาที่ไม่ฟังมีไหม ก็มีใช่ไหม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่านั่นก็เป็นธรรมเหมือนกัน
ดังนั้น ใครจะรู้จักตัวเรายิ่งกว่าตัวเรา อัธยาศัยจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จะเสียใจ จะดีใจ ถ้าน้ำตาไม่ไหล หน้าไม่เศร้า คนอื่นก็ไม่รู้ว่าสภาพจิตขณะนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ลึกลับมาก ปกปิดไว้นานมาก เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป แล้วหลงยึดถือว่าเป็นเรามาตลอด จนกว่าจะได้ฟังคำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน
เราคุ้นหูกับอะไร เราทำอะไรบ่อยๆ ก็เป็นนิสัยใช่ไหม เกิดมามีพี่น้องตั้งหลายคนยังไม่เหมือนกันเลย บางคนมีลูกสองคนบอกว่าลูกคนหนึ่งแปลกมาก เขาไม่โกรธ ทำอย่างไรก็ไม่โกรธ แต่จริงๆ ความโกรธยังไม่ได้ดับไป เพราะฉะนั้น ความโกรธไม่ได้หมายความถึงกับต้องแสดงกิริยาอาการโกรธ ประทุษร้าย ด่าทอ กิริยาอาการหยาบกระด้าง เพียงแค่ขุ่นใจนิดเดียวนั่นก็คือความไม่พอใจแล้ว
การสะสมก็จะทำให้เกิดธรรมทั้งดีและไม่ดีหลากหลาย ตามระดับขั้น แต่ถ้ามีการได้ฟังธรรมแล้วก็รู้ว่าสิ่งใดไม่ดี โดยไม่มีตัวตนที่จะไปละ แต่ปัญญาความเห็นถูก ปัญญาที่รู้ว่านั่นไม่ดี
เพราะฉะนั้น ปัญญาทำกิจ นำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล โดยที่ปัญญาขณะนั้น จากการที่เคยเกือบจะพูดว่าออกไป แต่หยุด แล้วไม่พูด ขณะที่ชีวิตจะดำเนินไปในทางฝ่ายกุศลไม่ว่าด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนั้นรู้หรือเปล่าว่าเสียสละ เสียสละดีไหม สละสิ่งที่ไม่ดีแต่คนอื่นไม่รู้เลย เฉพาะคนที่เสียสละเท่านั้นที่รู้ อย่างเช่น มีพี่น้องหลายๆ คน แล้วพ่อแม่ให้เลือกของหลายอย่างกัน เขาจะเลือกสิ่งที่รู้ว่าคนอื่นอยากได้ก็ได้ แต่เขากลับเลือกสิ่งที่สวยน้อยกว่าอย่างอื่น โดยที่คนอื่นไม่รู้ว่าที่เขาเลือกอย่างนั้น เพราะรู้ว่าสิ่งที่สวยกว่าเป็นที่ต้องการของคนอื่น ใครจะรู้ว่าเขาสละ
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เป็นคุณเป็นความดี ขณะนั้นเสียสละกิเลสแม้เล็กน้อยนิดหน่อย อัธยาศัยก็จะค่อยๆ ปรุงแต่ง จนถึงเวลาที่สละความเป็นเราได้ง่าย ไม่ยากไม่ลำบาก เพราะว่าการสละความเป็นเราจะสละเมื่อไหร่ บางคนก็บอกว่าปล่อยเสีย วางเสีย อย่าโกรธ อย่าโลภ อย่าหลง ทำไมพูดง่ายอย่างนั้นง่ายจนกระทั่งรู้เลยว่าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนพูดรู้หรือเปล่าว่าสละอะไร วางอะไร ไม่หลงอะไร แค่นี้ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปละ ไปวางได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ว่าละวางอะไร
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นไม่ใช่เรา ทุกคนกำลังเห็น แต่เห็นไม่ใช่เรา วางเสีย ปล่อยเลย เห็นไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เป็นคำพูดที่ไร้สาระ เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงว่าอะไรที่จะละ จะวาง ต้องเป็นความเห็นที่ถูกต้องระดับไหน แค่ได้ฟังว่าเป็นธรรม ยังไม่ได้ละ ยังเป็นเราที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ได้ยินเมื่อไหร่ก็ผ่านไปแล้ว เห็นก็ผ่านไป คิดก็ผ่านไป ผ่านไปตั้งเท่าไหร่ โดยเหมือนกับเราอยู่ตรงนี้ แต่จิต เจตสิก เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ทุกขณะ ไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เข้าใจเท่านั้นเอง ไม่ประมาทสักคำเดียวแม้แต่คำว่าธรรม จะรู้ได้ไหมว่าประมาทหรือไม่ประมาทในคำนี้ ตื่นมา เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำไม่ใช่ธรรม ประมาทแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น ประมาททั้งวัน เมื่อสิ่งนั้นไม่ได้เตือนให้รู้ว่ามีจริงๆ แค่มีจริง แค่เตือนว่ามีจริงๆ ยังไม่เตือนเลย แล้วที่จะรู้ถึงลักษณะที่มีจริงว่าแข็ง หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง เป็นธรรมทั้งหมดก็ไม่มี
ฟังธรรม แม้แต่พระปัจฉิมวาจาก่อนที่จะปรินิพพาน คำสุดท้ายของผู้ที่จะจากโลกนี้ไป ซึ่งประมวลมาจากคำอื่นทั้งหมดว่า "จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" ถึงพร้อมกำลังเห็น ถึงพร้อมกำลังได้ยิน ถึงพร้อมทุกขณะ ซึ่งการเข้าใจธรรมค่อยๆ เกิดขึ้น อย่านึกฝันที่จะไปทำอะไร ที่จะไปเป็นอะไร ที่จะรู้อะไร ถ้าไม่ได้เข้าใจแต่ละคำโดยความไม่ประมาท แม้แต่คำว่าธรรม ไม่ประมาทก็คือ บางขณะรู้ว่าเป็นธรรม ขณะฟัง แค่ได้ยินชื่อ แต่เกิดดับแล้ว เช่น แข็ง เวลานี้ถ้าไม่ถามไม่ปรากฏ เมื่อถามถึงตอบว่าแข็ง แต่แข็งนั้นดับแล้ว
เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎก คำสั้นมาก แต่ปัญญาระดับไหน พระองค์ตรัสว่าธรรมปรากฏดี ธรรมคือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง แข็ง คิด จำ สุข ทุกข์ ทั้งหมดไม่ปรากฏเลยใช่ไหม จิต เจตสิก รูป กำลังเกิดดับ ไม่ปรากฏเลย ปรากฏแต่สีสันวัณณะ และความจำที่มั่นคงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าจะค่อยๆ ละคลายทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นธรรม ลักษณะนั้นคือแข็ง จะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ได้อย่างไร สิ่งที่ปรากฏแค่เพียงเห็น หลับตาแล้วไม่ปรากฏ จะเป็นคนได้อย่างไร ถ้าไม่มีสภาพที่จำสิ่งที่ปรากฏเหนียวแน่นมากว่า มีทั้งคน มีทั้งเก้าอี้ มีทั้งอะไรต่างๆ และสิ่งที่ปรากฏเหมือนพร้อมกัน ลองคิดทีละหนึ่งอย่าง เสียงต้องเป็นเสียง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แข็งก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา
ดังนั้น แต่ละหนึ่ง เกิดดับอยู่ในความมืดมิดสนิทแค่ไหน จนกว่าแสงของพระธรรมสว่างหรือสลัว แต่ก็ขอให้ได้มี ดีกว่าในสังสารวัฏฏ์ที่มืดเหมือนเดิม และยังจมลึกลงไปด้วยความติดข้องในกิเลสที่หนาแน่นขึ้นทุกวัน
เพราะฉะนั้น เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ พูดง่าย ทุกคำง่ายไปหมดเลย หยิบพระไตรปิฎกมาอ่านจบแล้วเหมือนเข้าใจ แต่หารู้ไม่ว่าแต่ละคำ ผู้ตรัสคำนั้น ปัญญาของพระองค์กับผู้อ่าน ผู้ได้ฟัง ปัญญาห่างกันแค่ไหน ต้องอบรมอีกนานเท่าไหร่และต้องเป็นผู้ที่ตรง
ทั้งหมดเป็นบารมี ปาระคือฝั่ง บารมีคือถึงฝั่งอีกฝั่งหนึ่ง เป็นฝั่งที่ไม่มีกิเลส ไม่ร้องไห้ ไม่ทุกข์ ไม่เศร้า ไม่เจ็บ เพราะทั้งหมดถ้าถึงฝั่งที่ดับกิเลสก็ไม่มีเหตุที่จะให้เกิด ไม่มีอะไรเกิด ถึงที่สุดของสังสารวัฏฏ์เพราะเห็นภัย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
