ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
ตอนที่ ๑๑๗๗
สนทนาธรรม ที่ สมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ผู้ที่จะสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ครบถ้วน ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งที่มีพระปัญญาเสมอกันเท่านั้น จึงจะสามารถรู้ในพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ซึ่งคนอื่นแม้เเต่ท่านพระสารีบุตร หรือใครก็ตาม เมื่อไม่มีปัญญาถึงระดับนั้น จะสรรเสริญปัญญาระดับนั้นได้อย่างไร
ชาวพุทธ ฟังธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งในความลึกซึ้ง ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังด้วยความเข้าใจ ไตร่ตรองเพื่อที่จะรู้ได้ว่าเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด มากน้อยแค่ไหน เช่นคำว่าธรรม ทุกอย่างที่มีจริง คำว่ามีจริง คือแสดงความเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้น ทำสมาธิได้ไหม ฟังแล้ว ประโยชน์คือเข้าใจคำที่ได้ฟัง ถ้าสงสัยก็สนทนากันต่อไป การสนทนาธรรมเป็นการถาม-ตอบ เพื่อที่จะได้ประโยชน์จริงๆ จากการฟัง คือความเข้าใจ เพราะว่าเราจะเสียเวลาไปกี่นาที กี่ชั่วโมง ก็ตาม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ หรือความเข้าใจน้อยมาก ประโยชน์ของการที่แต่ละนาทีที่ผ่านไปก็ไม่คุ้มค่า
การที่เราจะได้ประโยชน์เต็มที่จากแต่ละนาที แต่ละขณะ คือฟังแล้วมีความเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ หรือยังไม่แจ่มแจ้ง ก็จะได้สนทนากัน เพราะการสนทนาธรรมเป็นมงคล นำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้อง
จะมีสักท่านหนึ่งตอบได้ไหมว่า ทำสมาธิได้ไหม
ผู้ฟัง ตามที่ท่านอาจารย์ถามว่าทำสมาธิได้ไหม ตอนที่ยังไม่ได้มาฟังคำจริงก็คิดว่าทำได้
ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิด เกิดไม่ได้เลย แม้แต่ได้ยินง่ายๆ ก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเสียงและไม่มีหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำสมาธิได้ไหม ทำเห็นได้ไหม ทำคิดได้ไหม ทำชอบได้ไหม ทำความสำคัญตนได้ไหม ทำความเห็นผิดได้ไหม ทำปัญญาได้ไหม รวมความว่าทำอะไรได้หรือเปล่า
ผู้ฟัง จากการได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้เลยสักอย่าง
ท่านอาจารย์ เเต่จากไม่เคยเข้าใจเลย แล้วได้ยินคำของผู้ที่ตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณา พูดแต่ละคำให้คนได้เข้าใจถูกต้อง เมื่อไตร่ตรองก็สามารถจะทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะได้ฟัง เเต่ไม่มีใครไปทำ ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจ
สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น มีปัจจัยที่สนับสนุนเกื้อกูลให้สิ่งนั้นเกิด โดยไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ให้รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้เพราะอะไร เพราะฉะนั้น ทำสมาธิได้ไหม คำตอบคืออะไร
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะว่าธรรมเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมใดจะเกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้ธรรมนั้นเกิด ธรรมนั้นจึงเกิดขึ้นได้ ก็เป็นความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง
อ.อรรณพ ก็พอจะเข้าใจเป็นเบื้องต้นได้ว่า ธรรมเป็นธรรม เกิดจากเหตุปัจจัย สมาธิก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เป็นความตั้งมั่นซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่ใครไปทำ ถึงจะสอดคล้องกับพระธรรมคำสอนหลัก สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่จะไปทำ ที่จะไปบังคับ แต่ต้องเป็นเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยที่ดียิ่งก็คือ การฟังธรรมซึ่งเป็นมงคล การสนทนาธรรมซึ่งเป็นอีกมงคลหนึ่งในมงคล ๓๘ วันนี้ก็เป็นมงคล ฟังธรรม สนทนาธรรม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แล้วเชื่อ ใครก็ตามที่คิดว่าทำสมาธิได้ แต่รู้ไหมว่าสมาธิคืออะไร ยังไม่รู้เลยว่าสมาธิคืออะไร แล้วจะไปทำสมาธิ เป็นไปได้ไหม นอกจากหลงเข้าใจผิดคิดว่าทำสมาธิ แต่ความจริงก่อนอื่นยังไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร และถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหม คิดเองได้ไหม หรือว่าฟังคำของคนอื่น เพราะได้ยินคำของคนอื่นมาตลอดในสังสารวัฏฏ์
แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ยินต่อเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริง แล้วทรงแสดงความจริง จึงเป็นคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่คำว่าสมาธิ ทุกชาติพูดคำนี้ คนไทยก็พูดคำว่าสมาธิ แต่สมาธิคืออะไร เพราะไม่รู้จึงคิดว่าทำสมาธิได้ แต่ถ้ารู้ คือไม่มีทางเลยที่จะทำอะไรได้ เพราะเหตุว่าธรรมเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิดได้อย่างไร
ดังนั้น สมาธิคืออะไร มีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อไม่ให้พุทธบริษัทหลงเข้าใจผิด คิดว่าคำของคนอื่นเป็นคำของพระองค์ เพราะว่าถ้าเป็นคำของคนอื่นให้ทำ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจถูก เพื่อละความไม่รู้และหลงเข้าใจผิด จึงต่างกันมาก ความไม่รู้กับความรู้ ความเข้าใจถูกกับความเข้าใจผิด ซึ่งจะหาจากคนอื่นไม่ได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง
ถ้าได้ยินคำว่า "ทำสมาธิ" รู้ได้เลยว่าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมาธิคืออะไร สมาธิเกิดได้จากอะไร สมาธินั้นเป็นสัมมาสมาธิ หรือมิจฉาสมาธิ เพราะอะไร ไม่ให้มีความเห็นผิดเลย นี่คือพระมหากรุณา ซึ่งสัตว์โลกเมื่อไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ไม่ได้ไตร่ตรองย่อมเข้าใจผิดเป็นธรรมดา
จนกว่าจะรู้ว่าคำนี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชัดเจนไม่ผิด คนนั้นก็สามารถที่จะรู้ว่าฟังอะไร ฟังคำที่ถูกหรือฟังคำที่ผิด หรือแม้แต่ได้ยินคำว่าฟังธรรม สนทนาธรรม แต่ว่าถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ฟังธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมอะไร ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่งทุกประการ
อ.คำปั่น ความหมายของสมาธิ เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ตั้งมั่น เพราะว่าจิตทุกขณะที่เกิดขึ้น ต้องมีธรรมประเภทนี้เกิดทุกครั้ง ทุกขณะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นไปกับจิตประเภทใด ถ้าเป็นไปกับอกุศล อย่างเช่น โจรที่ไปลักขโมยของบุคคลอื่น เขาก็มีสมาธิ แต่ว่าเป็นอกุศล เพราะว่าเป็นความตั้งมั่นในทางที่ผิด ในทางที่เป็นโทษไม่มีประโยชน์
เมื่อตั้งต้นว่าสมาธิมีจริงๆ เป็นความตั้งมั่นในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจว่าทุกขณะมีสมาธิเกิดขึ้นเป็นไป เพราะว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่จะต้องเกิดกับจิตทุกขณะ และเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้ เพราะว่าสมาธิเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ท่านอาจารย์ แค่คำนี้ก็ข้าม ยังไม่ละเอียดพอ เพราะเหตุว่าถ้าละเอียดจริงๆ ต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ลักษณะความจริงนั้นคืออย่างไร เช่น ขณะที่ได้ยิน ได้ยินเสียง ต้องมีเสียง แต่เสียงไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นรู้เฉพาะเสียงในขณะนั้น ซึ่งธรรมทุกอย่างที่มีจริงก็สามารถที่จะเข้าใจความต่างของธรรมโดยประเภทใหญ่ๆ ว่าธรรมประเภทหนึ่งมีจริง แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น แข็ง มีใครไม่รู้จักแข็งบ้าง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แข็งหรือเปล่า สิ่งใดที่เป็นธรรม พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น โดยที่คนอื่นจะคิดหรือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แข็ง ตรัสรู้ได้ยิน ตรัสรู้เห็น ตรัสรู้ทุกอย่างที่มี เพราะฉะนั้น ทรงตรัสรู้ว่าแข็งมีจริง แน่นอนทุกคนพิสูจน์ได้ แต่แข็งไม่สามารถจะรู้อะไรเลย เมื่อเเข็งเป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งสามารถจะรู้ได้ทางกาย
บางคนจะรู้ได้ว่าสำคัญอย่างไร คนที่ชอบขนมกรอบๆ แข็งไหม บางคนก็ชอบนิ่มๆ แข็งไม่รู้อะไร นิ่มก็ไม่รู้อะไร แต่สภาพที่รู้ ชอบในสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าเพราะไม่รู้ ก็สามารถที่จะรบราฆ่าฟันต่อสู้กันได้ เพื่อแย่งแผ่นดินที่แข็งเท่านั้นเอง มีอะไรนอกจากแข็งที่เป็นแผ่นดิน ปรารถนารบราฆ่าฟันกัน
แสดงให้เห็นว่าเพราะไม่รู้ เราไม่เคยรู้เลยว่า แม้แต่หนึ่งที่เกิดขึ้นนี้นำไปสู่อะไรบ้าง แข็งไม่รู้อะไรเลย แต่เมื่อมีสภาพรู้แข็ง ก็ต้องการแข็งในรูปแบบต่างๆ เช่น แข็งที่เป็นโต๊ะ แข็งที่เป็นเก้าอี้ แข็งที่เป็นแจกัน แข็งที่เป็นรถยนต์ แข็งที่เป็นอะไรๆ ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าความจริงก็คือ เพียงแค่ปรากฏเมื่อกระทบกาย และมีการรู้สิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นก็ดับไป
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมในสากลจักรวาลทั้งหมดจะต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือประเภทหนึ่งมี แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่เดือดร้อน แข็งไม่โกรธใคร แข็งไม่ชอบใคร แข็งไม่เบื่อใคร แต่ว่ามีธาตุซึ่งเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น นี่คือโลกทุกวัน ไม่ขาดเลย นานแสนนานมาแล้วก็เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรุงแต่งให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกตราบใดที่มีปัจจัย ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าเพราะไม่รู้ จึงได้ยึดถือแข็งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าเป็นตัวเรา เป็นร่างกายของเรา
รักอย่างยิ่ง ทะนุถนอมอย่างยิ่ง อาจจะทำหลายๆ อย่าง เพราะเพียงต้องการให้ได้ความพอใจจากรูปร่างกายนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่มีประโยชน์เลย แข็งก็แข็งไป อ่อนก็อ่อนไป เย็นก็เย็นไป เสียงก็เสียงไป แต่เมื่อมีธาตุรู้ ใครบังคับได้ว่าไม่ให้มี ก็แสดงความเป็นอนัตตาตั้งแต่ต้น คำนี้ต้องมั่นคงตลอดไปในการที่จะเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้และปฏิเสธได้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้เมื่อได้เข้าใจแล้ว
เพราะฉะนั้น ธาตุรู้จึงสำคัญ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกไม่มีแน่นอน แต่เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โลก (โล-กะ) ในภาษาบาลีหมายความถึงสิ่งซึ่งเกิดและดับ ทุกอย่างที่เกิดและดับคือโลก ธรรมที่พ้นจากการเกิดดับคือเหนือโลก พ้นจากการเกิดดับคือนิพพาน โลกุตตรธรรม
ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเราพูดนิพพานง่ายๆ หรือพูดโลกง่ายๆ แต่ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ตามลำดับว่า ในขณะนี้โลกปรากฏแน่นอน ทางตาสีสันวัณณะ มีนาฬิกา มีห้องนี้ ทางหูก็มีเสียงต่างๆ มีคำต่างๆ ถ้ามีกลิ่นดอกไม้ขณะนั้นก็เป็นโลกซึ่งเกิดขึ้นเป็นกลิ่น เป็นอย่างอื่นไม่ได้
โลกที่เต็มไปด้วยรูปที่ปรากฏทางตา ทางหูเป็นเสียง ทางจมูกเป็นกลิ่น ทางลิ้นเป็นรส ทางกายเป็นการกระทบสัมผัส เย็นบ้างร้อนบ้าง อ่อนบ้างแข็งบ้าง ตึงไหวบ้าง ลำบากไหม สำคัญไหม เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน สารพัดอย่างด้วยความไม่รู้ แต่ก็เป็นโลกซึ่งใครก็บังคับไม่ได้
ดังนั้น จะบังคับไม่ให้มีธาตุรู้ก็บังคับไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะให้ธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นต่างจากรูปธาตุ เพราะว่าสามารถจะรู้เห็นว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ เสียงเป็นอย่างนี้ กลิ่นเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงใช้คำว่าธรรม และคำว่าธาตุคือธา-ตุ หมายความว่า ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนธรรมนั้นให้เป็นอื่นได้ เปลี่ยนแข็งให้เป็นกลิ่นไม่ได้ เปลี่ยนเสียงให้เป็นหวานไม่ได้ แต่ละหนึ่งเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งได้ทรงแสดงความจริงตามลำดับขั้น กำกับให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาว่า ธรรมนั่นเองเป็นแต่ละธาตุ
เพราะฉะนั้น ก็มีธรรมต่างกันเป็น ๒ ประเภท สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย กับสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้
สำหรับสภาพที่มี แต่ไม่รู้อะไร ใช้คำว่ารูปธรรม และสำหรับสภาพธรรมที่ไม่มีรูปใดๆ เลยเจือปน เกิดขึ้นรู้เป็นนามธรรม กว่าเราจะรู้ว่าสมาธิคืออะไร เห็นไหมว่าไม่รู้แล้วก็ทำด้วยความเป็นเรา แต่ไม่รู้เลยว่านั่นคือการหลงเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ทำธรรมได้ไหม ไม่ได้เลย นั่นคือความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดว่าทำได้ ผิด ลองทำดูว่าทำอะไรได้ ฟังแล้วมีอะไรสงสัยบ้างไหม เพราะว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ตรงตามเหตุตามผลด้วย
ผู้ฟัง คำถามต่อมา ชาวพุทธที่มีความเห็นถูก หรือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นชาวพุทธที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยปัญญา กับชาวพุทธที่มีความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นชาวพุทธที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา มีเหตุอะไรให้เป็นเช่นนั้น
อ.อรรณพ ชื่อว่าชาวพุทธ ก็เรียกได้ แต่ว่าเป็นชาวพุทธจริงๆ หรือเปล่า เพราะว่าพุทธหมายถึงปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นความเข้าใจถูก จึงตื่นจากความไม่เข้าใจ ถ้าเป็นชาวพุทธต้องเข้าใจพระธรรมคำสอน โดยเฉพาะพระธรรมคำสอนหลักว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ต้องใคร่ครวญ ไม่ใช่ว่าเราก็พูดติดปากกันว่า เป็นอนัตตา อนัตตา บางทีพูดกันเป็นสูตรเลย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง อะไรเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพียงเจ็บปวดทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น แล้วไม่ใช่ตัวตน ที่ว่าเป็นอนัตตานั้นเป็นอย่างไร
ถ้าศึกษาอย่างนี้จึงจะค่อยๆ เป็นชาวพุทธ แต่ถ้าเราไม่ศึกษาในพระธรรมคำสอนที่ละเอียดลึกซึ้งเหล่านี้ แล้วเราก็อาจจะเชื่อตามบุคคลที่เขาสอน ซึ่งก็ต้องไตร่ตรองตามเหตุตามผลว่า ขณะนี้มีความจริงไหม สอนให้ไปทำนั่น ให้ไปทำนี่ ให้ทำอะไรทั้งหมดเลย ก็ค้านกับอนัตตา แล้วเข้าใจความจริงที่ปรากฏขณะนี้ไหมว่า เป็นความจริงแต่ละอย่างๆ ซึ่งถ้าใช้คำก็คือ เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่รู้ได้ยากละเอียดลึกซึ้ง
ลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากทั้งๆ ที่มีอยู่ ตอนนี้มีเห็น ใครไม่เห็นบ้าง ตาไม่บอด มีเห็น มีได้ยิน เป็นจริง แต่ไม่รู้ในความเป็นธรรมของเห็นได้ยินนั้น แล้วรู้ละเอียดขึ้นว่าเกิดแล้วดับ ไม่เหลือ แล้วสภาพธรรมอื่นก็เกิด เรื่องนี้เป็นความละเอียดลึกซึ้งที่ต้องค่อยๆ ศึกษาไป จึงจะเป็นชาวพุทธผู้มีปัญญา
ผู้ฟัง ชาวพุทธจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ อีกครั้งหนึ่ง ชาวพุทธ เกิดมาแล้วเป็นชาวไหน นอกจากเป็นคนไทย ก็ยังมีแต่ละศาสนาที่จะบอกว่าเขาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอะไร
เกิดมาเป็นชาวพุทธ เพราะคนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น คนที่เกิดมาในครอบครัวที่บอกว่านับถือพระพุทธศาสนา ก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ใช่พุทธบริษัท
พุทธบริษัทมีสี่ ภิกษุ ภิกษุณีในครั้งอดีต อุบาสก อุบาสิกา คือใคร บริษัทคือหมู่ชนที่รวมกัน ถ้าเป็นพุทธบริษัท คือหมู่ชนที่รวมกันที่เคารพในพระรัตนตรัย แต่ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวคำว่า ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่รู้ว่าพึ่งอะไร และจะพึ่งได้อย่างไร นั่นเป็นแต่เพียงคำซึ่งไม่รู้เรื่องว่า นับถือพระรัตนตรัยแล้วจะทำอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจธรรม นับถือหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เกิดมาก็ต้องเป็นชาวหนึ่งชาวใด จะเป็นชาวพุทธหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ถ้าเป็นพุทธบริษัทต้องคือผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนา หมายความว่าไม่ห่างเหิน แล้วก็ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าตราบใดยังไม่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นผู้ที่นั่งใกล้หรือ ก็ห่างไกลไป
ในครั้งนั้น ชาวบ้านชาวเมืองสาวัตถีที่ได้มาฟังพระธรรม มีความเข้าใจถูกต้องก็เป็นพุทธบริษัท ถ้าไม่ได้บวชก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา เพราะฉะนั้น ก็มีคำเพิ่มเติมว่า ผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนา ด้วยเหตุนี้ พุทธบริษัทที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะได้มีความเคารพและมีความเข้าใจในธรรม จึงกล่าวคำว่าขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอถึงด้วยความจริงใจ ด้วยความเข้าใจถูกต้อง เห็นคุณค่า รู้ว่าไม่มีสิ่งใดจะพึ่งได้เลยนอกจากพระรัตนตรัย ซึ่งทำให้สามารถที่จะเข้าใจความจริง พึ่งได้ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียวด้วย
ด้วยเหตุนี้ คนที่ฟังธรรมเข้าใจแล้วจึงเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ ไม่มีใครไปบังคับให้กล่าวเลย แต่กล่าวด้วยความจริงใจว่า ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะได้ฟังคำที่ทำให้สามารถเข้าใจธรรมได้ ก็คงจะเข้าใจกันเเล้วว่าพุทธบริษัท หมายความถึงผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ รู้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากพระรัตนตรัย คำถามว่าแล้วจะพึ่งได้อย่างไร ใช่ไหม
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธรัตนะ ประเสริฐยิ่งกว่าอย่างอื่นใด มีพระธรรมที่เป็นธรรม ที่จะนำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมจนรู้แจ้งความเป็นจริง พ้นจากความเป็นผู้ไม่รู้ ปุถุชนหนาแน่นด้วยความไม่รู้ สู่ความเป็นผู้ที่ได้รู้ความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เป็นพระอริยบุคคล ธรรมที่นำไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูก จนถึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ เป็นธรรมรัตนะ ไม่ใช่อกุศลธรรม แต่ต้องเป็นธรรมที่มีค่า ที่สามารถจะทำให้คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสสามารถที่จะดับกิเลสได้ ไม่เกิดอีกเลย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ถึงความเป็นสังฆรัตนะ สังฆะคือหมู่ คณะของบุคคลซึ่งเป็นอริยะ ไม่ได้หมายความถึงภิกษุปุถุชน แต่ว่าหมายความถึงผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งเป็นภิกษุก็ได้ เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกาก็ได้ เพราะว่าความเป็นอริยบุคคล เป็นด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยการที่ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย เพราะฉะนั้น หมู่ของบุคคลซึ่งเป็นรัตนะก็คือพระอริยบุคคล ซึ่งเป็นทั้งภิกษุ หรืออุบาสก อุบาสิกา
ดังนั้น เมื่อขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เเต่ไม่ฟังธรรมเลย จะเป็นที่พึ่งได้ไหม ซึ่งคนที่ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ฟังคำของคนอื่น เพราะรู้ว่าคำของคนอื่นไม่ใช่คำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ว่าใครทั้งนั้น ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมซึ่งมีจริงในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทุกกาลสมัย เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ขอถึงพระรัตนตรัย คือขอถึงพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โดยฟังคำของพระองค์ซึ่งเป็นธรรมรัตนะ เป็นที่พึ่ง จนกว่าจะถึงความเป็นสังฆรัตนะ คือสามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟังด้วย จึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่ง
ถ้ากล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ไหม ก็ไม่ได้
ดังนั้น ฟังแล้วสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าเป็นคำของคนอื่นที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอจะรู้ได้ไหมว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นที่พึ่ง คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้ยิ่งขึ้น จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
