ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187


    ตอนที่ ๑๑๘๗

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่าธรรมคืออะไร แต่ละคนตอบได้แต่ละอย่างตามความเข้าใจ ถูกก็คือถูก ถ้าคำตอบถูกคือทุกคำต้องถูก แต่ถ้าไม่ถูกก็ไม่ถูก ต้องเป็นคนที่ตรงถึงจะได้สาระจากพระธรรม เพราะว่าธรรมเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรมดา มาจากภาษาบาลี ว่าธรรมตา ตา คือความเป็นไปของธรรม

    ธรรมต้องเป็นไปตามธรรมนั้นๆ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เมื่อวานนี้คือวันนี้ที่ยังไม่มาถึงใช่ไหม แล้วก็มาถึงวันนี้ แล้วก็ไป ไม่มีอะไรเลยที่จะเปลี่ยนความเป็นไปของธรรมได้ คือเมื่อมีปัจจัยก็ต้องเกิดขึ้น ใครจะคิดว่าเมื่อวานนี้จะต้องไม่มีวันนี้บ้าง เมื่อมีปัจจัยจึงมี แต่ถ้าไม่มี เมื่อวานนี้ก็จบโดยที่ไม่มีวันนี้ แต่เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น

    ฟังธรรมต้องเข้าใจว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แล้วเราจะพูดเรื่องอะไรให้เข้าใจขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เราไม่เคยมีความรู้เรื่องสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะไปแสวงหาธรรมที่ไหนก็ไม่รู้ หากันใหญ่เลย ไปเหนือ ไปใต้ แต่ไม่รู้ว่าธรรมคือขณะนั้นที่มี

    ถ้าไม่มีขณะนั้นจะมีการแสวงหาต่างๆ ได้อย่างไร แต่ธรรมก็เป็นสิ่งที่ลึกล้ำ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จนกระทั่งไม่มีใครคิดว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรมดาทุกอย่าง เมื่อสักครู่เราก็สนุกสนานกันมากพอสมควร เป็นธรรมดาของธรรม ห้ามไม่ให้เป็นไปก็ไม่ได้ ใครพยายามฝืนบังคับไม่ให้เกิดธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดคือผิด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีเรา

    ธรรมคือแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริงๆ ทุกอย่างเป็นธรรมและไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ในขณะที่ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ที่คยานี้ หรือที่ไหนๆ ก็ตาม พระองค์ตรัสว่าอย่างไร คนนั้นเข้าใจทันทีว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยแล้วก็ยึดถือว่าเป็นเรา แต่ความจริงแต่ละหนึ่งต้องเกิดเป็นแต่ละหนึ่ง รวมกันไม่ได้ อย่างเช่น เห็น จะไปรวมกับได้ยินได้ไหม ไม่มีทางเลย เห็นต้องเป็นเห็น ซึ่งเห็นจะเกิดได้ต่อเมื่อมีตา เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นขณะนี้ แล้วมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ซึ่งสิ่งนั้นมีแน่ๆ ใครจะบอกว่าไม่มีบ้าง

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เลยเป็นธรรม จนกว่าจะเข้าใจว่านี่คือไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งต้องเกิดจึงมี ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่มีตาและไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เห็นเกิดขึ้นเห็นไม่ได้เลย ไหนคือเรา

    ดังนั้น ต้องไม่ลืมคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน เช่น ธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่ลืมตาตื่นหรือตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงเมื่อเกิดขึ้น เป็นธรรมทั้งนั้น จากที่ไม่เกิดก็เกิด มาแล้ว แล้วก็ไป หมายความว่าทันทีที่เกิดก็ดับไป

    เมื่อครู่นี้ เสียง จากที่ยังไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ตรงนี้ ทุกขณะของชีวิตเป็นธรรม ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ เราจะไม่มีวันคิดถึงสิ่งที่เป็นธรรมดาที่กำลังเป็นไปว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    แม้แต่คำว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ลืมกันบ่อยไหม ลืมว่าเป็นธรรม แล้วก็ลืมว่าไม่ใช่เรา คำว่าอนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่ตัวตนที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา มีจริง แต่มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทุกอย่าง เมื่อวานนี้คุณชนันต์นั่งอยู่ตรงนี้ วันนี้เป็นคุณชนันต์เมื่อวานนี้หรือเปล่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    แต่ละหนึ่งขณะ เหมือนที่เรามีเก้าอี้ตั้งอยู่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ มีคนเมื่อวานนี้ แล้วคนก็หายไป เราก็คิดว่าเหลือแต่เก้าอี้ แต่ความจริงแม้เก้าอี้ก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่เราคิดหยาบมากเลย เราคิดเเค่สั้นๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างถึงที่สุด ทุกอย่างหมายความว่าแต่ละหนึ่งต้องไม่เหมือนกัน เห็นต้องไม่ใช่ได้ยิน แข็งต้องไม่ใช่เสียง

    ดังนั้น แต่ละหนึ่งปะปนกันไม่ได้ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครด้วย แม้แต่ตรัสไว้อย่างนี้ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ความเข้าใจของแต่ละคนกว่าจะเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง เป็นผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ทุกคนที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ในอดีตก็เคยฟังคำของคนอื่นมาแล้ว คำของพวกเดียรถีย์ หมายความถึง พวกที่มีความเห็นความคิดต่างกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น คำที่เคยได้ยินมาในชีวิต ถ้าไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำนั้นไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนั้นไม่เหมือนคำของใครทั้งสิ้น เพราะว่าก่อนตรัสรู้พระองค์ก็ตรัสคำธรรมดา เจ้าชายสิทธัตถะก็พูดเหมือนทุกคนพูด เหมือนเราพูด แต่เมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ละคำที่ตรัสมาจากปัญญาที่ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มี ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือความไม่รู้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น จึงทรงพระนามว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    อรหันตะ คือผู้ที่ห่างไกลคือพ้นจากกิเลส กิเลสเข้าใกล้เราทุกวัน แต่เข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายไม่ได้เลย เเต่ไม่ใช่ว่าใครก็ตามจะสามารถที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเป็นสาวกได้ แต่ต้องมีบารมี

    บารมี คือคุณความดีที่สะสมมาพอที่จะเข้าใจธรรม ถ้าคนที่มีแต่อกุศล สะสมแต่อกุศลมา ให้ฟังธรรมเขาก็ไม่ฟัง เพราะเหตุว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต่างกับคำของคนอื่น เขาไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนเป็นคำของคนอื่น แต่ถ้าได้ฟังว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง คนอื่นบอกได้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร ซึ่งความจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    คำนี้ต่างกับคำของคนอื่นไหม ถ้าคนอื่นบอกให้ทำดี คนอื่นบอกให้ทั้งสมาธิ คนอื่นบอกให้ทำสติ คนอื่นบอกให้ทำปัญญา แล้วสติคืออะไร สมาธิคืออะไร ความดีคืออะไร ปัญญาคืออะไร ไม่รู้แล้วทำได้หรือ ถ้าไม่รู้และไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดเอง ใช่ไหม เพราะว่าคำนั้นๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย ให้ค่อยๆ เข้าใจทุกคำ ธรรมมีจริงแต่ละหนึ่ง ต้องเกิดขึ้น แต่เกิดและดับไป เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกก็จริง แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ต่อกันสนิท ใครเห็นรอยต่อ ดับแล้วเกิดอีก ดับแล้วก็เกิดอีก แต่ละหนึ่งไม่ใช่ของเก่ากลับมา

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่สิ่งที่เกิดแล้วกลับมา แต่หมายความว่าสิ่งที่เกิดและดับก็ดับไปเลย เหมือนแสงไฟที่ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีก จุดใหม่ก็เป็นไฟใหม่ ไม่ใช่ไฟเก่า เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ๔๕ พรรษา ถ้าเราไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า เห็นขณะนี้มี แล้วเห็นคืออะไร เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเลย แต่เห็นกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง แข็ง ใครเห็นแข็งบ้าง ฟังธรรมแล้วรู้ว่าเห็นแข็งไม่ได้ ใช่ไหม

    ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็คิดว่าเห็นเเข็งได้ เห็นน้ำแข็ง เห็นจาน เห็นเก้าอี้ เห็นอะไรที่แข็ง แต่นั่นคือผิด ถ้าหลับตาแล้วไม่มี แข็งปรากฏไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นสีสันต่างๆ เขียวบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้าง อยู่ที่ไหน อยู่ที่แข็ง อยู่ที่มหาภูตรูป แต่ตัวแข็งไม่สามารถที่จะกระทบตาได้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกขณะ เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เรา ฟังแค่นี้แล้วจริงหรือเปล่า จริงแล้วมั่นคงหรือเปล่า หรือเปลี่ยน

    บังคับแข็งไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ได้ เราทบทวนเรื่องเก่าเพื่อจะได้เข้าใจเเข็งที่มีเดี๋ยวนี้ พูดถึงสิ่งที่มีทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับได้ นั่นจึงจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องเริ่มจากฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีก่อนว่า ร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็แข็ง แล้วทำไมไม่ใช่เก้าอี้ แล้วทำไมไม่ใช่เสื้อ แต่แข็ง

    ดังนั้น แข็ง ใครก็เปลี่ยนไม่ได้เลย แข็งต้องเป็นแข็งตลอดเวลา จับกระเป๋าก็แข็ง ใส่รองเท้าก็แข็ง แต่ลืมว่าจริงๆ แล้วถ้าเพียงแข็งไม่เกิด รองเท้ามีไหม กระเป๋ามีไหม เสื้อผ้ามีไหม ไม่มี เพราะฉะนั้น ธรรมที่ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ ที่ปรากฏให้รู้ได้ว่ามีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง เสียงไม่ปรากฏรูปร่างให้เห็น กลิ่นไม่ใช่เสียง ไม่ดัง สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ไม่แข็ง

    แข็งไม่ใช่หวาน ไม่ใช่เค็ม เป็นแต่ละหนึ่งๆ ค่อยๆ กระจายย่อยออกไป เห็นธรรมหรือยังว่าเป็นธรรมจริงๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายเป็นแต่ละหนึ่ง เเล้วแต่ละหนึ่งนั้นนั่งได้ไหม เดินได้ไหม ยืนได้ไหม แต่ละหนึ่งซึ่งแข็งนิดเดียวจะนั่งได้อย่างไร จะเดินได้อย่างไร เเต่เมื่อรวมกันแล้วก็ทรงอยู่ ตั้งอยู่ ในอาการอย่างหนึ่งอย่างใด

    เพราะฉะนั้น ที่ร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรากับเป็นเก้าอี้ ต่างกันตรงไหน ร่างกายแตกย่อยละเอียดยิบได้ เก้าอี้ก็เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ ก็คือมีแข็ง แล้วก็มีรูปอื่นๆ แต่เรากล่าวเพียงอย่างเดียวคือแข็ง เพราะว่าแข็งปรากฏเสมอตั้งแต่ลืมตาตื่นมา ลืมไปแล้วว่าที่นอนก็แข็ง หมอนก็แข็ง เอื้อมมือไปจับถ้วยแก้วก็แข็ง พ้นแข็งได้ไหม แต่ไม่รู้ความจริงว่าโลกนี้มีแข็ง โดยที่แข็งเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    ดังนั้น แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่รู้ก็ยังคงเป็นถ้วยแก้ว ยังเป็นเรา ยังเป็นหมอน ยังคงเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมต้องเป็นหนึ่ง ปะปนกันไม่ได้เลย ดังนั้น การที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือเห็นถูกหรือเห็นผิด ต้องตรง ธรรมเป็นธรรม ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ แต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเป็นไป คือเกิดขึ้นแล้วดับไป

    ถ้าฟังเมื่อเช้านี้แล้วคือธรรมทั้งหมดเลย ใช่ไหม มีอย่างอื่นหรือเปล่านอกจากธรรม ตั้งแต่ลืมตา จนกระทั่งเดินไปรับประทานอาหาร ตักอาหาร เคี้ยวกลืนกินเข้าไป คือธรรมทั้งหมด ใช่ไหม แต่ลืม ซึ่งเราลืมเสมอ

    ด้วยเหตุนี้ คนที่ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ฟังเพียงครั้งเดียว แม้แต่จะบวชเป็นพระภิกษุแล้วอยู่ที่เดียวกันกับพระองค์ เช่น ที่พระวิหารเชตวัน พระวิหารเวฬุวัน เป็นต้น เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปที่ใดก็ตาม ภิกษุเหล่านั้นตามพระผู้มีพระภาคไปเพื่อฟังธรรม

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของคนที่ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะขาดการฟังธรรมได้ไหม ธรรมคือคำของพระองค์ ซึ่งเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด และตรัสไว้ด้วยว่าเป็นอนัตตา จากการที่ได้ทรงตรัสรู้

    ดังนั้น การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างเรากำลังคิดถึง กำลังคิดถึงตา คิดถึงเสียง คิดถึงชอบหรือไม่ชอบ ขณะนั้นธรรมนั้นก็มีจริง แต่ปัญญาที่รู้สิ่งนั้น กับปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกันแค่ไหน เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องเคารพอย่างยิ่งในแต่ละคำ เพราะคำที่พระองค์ตรัสจากการที่ทรงตรัสรู้ แต่เรายังไม่รู้อะไรเลย

    จะพูดตามสักเท่าไหร่ก็ยังไม่เท่าปัญญาของพระองค์ ที่ทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง ให้คนที่ยังไม่เคยได้ฟังเลยได้เกิดปัญญาของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดแล้วต้องตาย แต่ก็สนุกสนานบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ทำอะไรบ้างทุกวัน โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งต้องตาย แต่ตายโดยไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย กับก่อนตายได้มีโอกาสฟัง ได้มีโอกาสรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือฟังคำ รู้ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะทำให้เห็นประโยชน์ว่าที่ฟังเรื่องอื่นมามากมาย ตั้งแต่เด็กไปโรงเรียน ดูหนังดูละคร เล่นกีฬา ทำอะไรต่างๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่มีในโลกเป็นประจำ

    แต่คำของพระองค์ที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีแต่ละคำให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ว่าทุกคนมีโอกาสจะได้ฟัง ลองไปชวนคนอื่นให้ฟังธรรม แล้วเขามาไหม ก็จะตอบกันว่ารอไปก่อน เพราะวันนี้จะต้องไปทำอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ใช่การฟังธรรม เเล้วทำอย่างนั้นจะเข้าใจธรรมไหม กับฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจ เพราะเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    โอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมแม้เพียงเล็กน้อยก่อนจากโลกนี้ไป เป็นประโยชน์แค่ไหน แต่คำของพระองค์ที่ตรัสไว้ ๔๕ พรรษานั้นนับคำไม่ถ้วน ใช้คำว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งพระธรรมขันธ์ไม่ใช่ขันธ์อย่างที่เราเข้าใจ แต่ธรรมและขันธ์ก็เป็นส่วนหนึ่งๆ ๆ เพราะฉะนั้น คำว่าขันธ์ เรานับไม่เป็นก็ไม่ต้องไปนับเลย เพราะจะต้องกล่าวถึงสาระสำคัญของแต่ละขันธ์ ซึ่งบางพระสูตรตั้งหลายบรรทัดกว่าจะได้หนึ่งขันธ์ บางทีก็หลายวรรค บางทีก็คำเดียวสองคำ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปเรียนเรื่องภาษา เพราะเหตุว่าชีวิตของเราสั้น และมีผู้ที่ได้ฟังได้เข้าใจมาแล้ว จึงรู้ว่าความเข้าใจธรรมยากมาก ซึ่งท่านก็ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นโดยละเอียด เราก็ตามท่าน แต่สาระก็คือไม่ใช่ว่าไปนั่งนับพระธรรมขันธ์ แต่เข้าใจจริงๆ ได้มากเเค่ไหน ในเเต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นประโยชน์กว่า ไม่ต้องหลายคำ แค่คำเดียวอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง บริบูรณ์

    ถ้าปัญญายังไม่บริบูรณ์ หมายความว่ายังเหลือความไม่แจ่มแจ้ง ยังไม่เข้าใจชัดเจน เพราะฉะนั้น ปัญญาขั้นต่อไปที่จะประจักษ์แจ้งความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แล้วก็เป็นไปไม่ได้ จนกว่าปัญญาของคนที่ฟังจะค่อยๆ เริ่มเกิด เริ่มสะสม ที่จะละคลายความยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ว่าเป็นเราให้ค่อยๆ บางเบาลง และสภาพธรรมก็ปรากฏ เมื่อนั้นก็รู้ว่าทุกคำที่พระองค์ตรัสเป็นคำจริง เป็นผู้ที่ถึงความเป็นสาวก คือเป็นอริยบุคคลที่ได้เข้าใจสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ให้ทราบว่า ไม่มีทางที่ใครจะมาประเมินได้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน แต่ละคนต้องเป็นผู้ตรงว่าเข้าใจมากขึ้น หรือว่ายังสงสัยบางประการ ซึ่งจะหมดความสงสัยได้ก็ต่อเมื่อไตร่ตรอง และฟังคำอื่นประกอบด้วยโดยนัยเทศนาหลากหลาย เช่น ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ตอนนี้เริ่มรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นอัตตาเลยสักอย่าง คนไม่รู้ก็บอกว่านั่นโต๊ะ นั่นถ้วยแก้ว แต่คนที่รู้ก็รู้ว่า ทางตามีสิ่งที่ปรากฏ หลับตาแล้วไม่เห็น เป็นสิ่งที่มีจริง ที่สามารถรู้ว่ามีจริงเมื่อมีการเห็นเท่านั้น ถ้าเพียงได้ยินเสียงแต่ไม่เห็น ก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ แต่เมื่อใดมีการเห็น เมื่อนั้นไม่สงสัยเลยว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีโลก ไม่มีโลกแล้วมีสิ่งอื่นไหม เห็นไหมว่าคำถามของเราสามารถที่จะเปลี่ยนไปหลายรูปแบบ เพื่อให้คนฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเขาเข้าใจจริงๆ แล้วจะตอบได้โดยไม่สงสัย แต่ถ้าสงสัยก็อาจจะลังเล

    ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มีโลกไหม ไม่มีแน่นอน แล้วมีอะไร ถ้าตอบว่า "ต้องไม่มีอะไร" ก็ถูกต้อง เห็นไหมว่าไม่สงสัยเลยกับคำถามนี้ เเละไม่ว่าจะถามแบบไหนก็ตาม ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงก็ต้องตอบว่าไม่มีอะไร แต่ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งเดียว สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นคือโลก ใช่ไหม เพราะที่เป็นโลกที่ปรากฏมากมาย ต้องเกิดหมดเลย แต่หลากหลายเป็นแต่ละหนึ่ง เกิดพร้อมกันมากมายจนปรากฏเป็นทะเล ภูเขา คนต่างๆ

    ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้เลย จะให้เกิดมาทีละคนได้ไหม ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย เมื่อต้องเกิดมาเพราะมีปัจจัยที่จะเกิด ยับยั้งได้อย่างไร นี่คือเริ่มเข้าใจคำว่าอนัตตา และเข้าใจคำว่าธรรมด้วยว่าไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา คือธรรมที่เป็นอนัตตา เเต่ถ้าเราเป็นอนัตตา ถูกหรือผิด ก็เรา ตัวเรา เป็นตัวตน จะเป็นอนัตตาได้อย่างไร ก็แสดงว่าค้านกันแล้ว

    เพราะฉะนั้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ถึงที่สุด ค้านกันไม่ได้เลยทั้ง ๓ ปิฏก ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่งแล้วก็เข้าใจอย่างมั่นคง จึงสามารถที่จะรู้ความจริง เเล้วค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องซึ่งปิดบังมาตลอด ดังนั้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลยก็ไม่มีโลก แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น มีโลกแล้ว

    ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น จะมีอะไรปรากฏไหม ไม่ได้เลย ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น มีธาตุรู้เกิดขึ้น แล้วก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สงสัยในสิ่งที่เกิดไหม ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิด เพราะไม่รู้ใช่ไหม ยังไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงเลย จึงยึดว่าเป็นเราทันทีที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้เพียงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้น เสียง ปรากฏได้อย่างไรถ้าไม่มีธาตุได้ยิน หรือสภาพที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ได้ยิน ที่เคยเป็นเราได้ยินมานานแสนนาน ถามคนที่อยู่ใกล้เคียงว่าได้ยินไหม เขาก็ตอบว่าได้ยิน แต่เขาไม่ได้ตอบเลยว่า ได้ยินไม่ใช่ตัวเขา

    ดังนั้น อะไรก็ตามที่มีเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ เป็นเราใช่ไหม เป็นภาวะความเป็นเกิดขึ้น มีความไม่รู้เกิดขึ้น จึงยึดถือสิ่งที่มีนั้นว่าเป็นเรา มีความเป็นเกิดขึ้นคือเป็นเรา

    ขณะนี้เป็นเราเห็น มีสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเเต่ไม่รู้ก็ยึดถือว่าเราเห็น และยึดถือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    15 ต.ค. 2568