ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
ตอนที่ ๑๑๘๑
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ต้องรู้จริงๆ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ เเล้วจะไปคิดเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร เพราะไม่รู้จักพระโสดาบัน
ผู้ฟัง คือฟังมานานว่า ฝันกับคิดต่างกันอย่างไร เคยฝันว่าไปเที่ยวเกาะ ไปเที่ยวทะเล ตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรเลยก็คือฝัน คือไม่มีอะไรจริงๆ ส่วนคิดก็เป็นเพียงที่จิตคิด ขณะนี้ก็มีจิตคิด
ท่านอาจารย์ เห็นคุณมน แล้วจะไม่คิดว่าเป็นคุณมนคนนี้ได้ไหม เคยเห็นกันอย่างนี้มาตั้งนานหลายวัน เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นก็คิดแล้ว โดยไม่ต้องไปคิดว่าจะคิดดีหรือไม่คิดดี จะคิดหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่ตามความจริงก็คือคิดแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตอนนี้เข้าใจเเล้วใช่ไหม
เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏ หลังจากนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ปรากฏ บังคับให้คิดถึงสิ่งอื่นได้ไหม เห็นอย่างนี้จะไปคิดถึงปลาดุกได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่ไหม ก็เห็นคนนี้อย่างนี้ ก็ต้องคิดตามนี้ใช่ไหม นี่คือมีสิ่งที่ปรากฏให้คิด แต่ฝันไม่มีสิ่งที่ปรากฏเหมือนกำลังเห็น
เพราะฉะนั้น การสะสมในสังสารวัฏฏ์ที่เนิ่นนานมา เราไม่รู้หรอกว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง พบอะไร เห็นอะไร เกิดตายโดยอาการไหน ชาติไหน เจ็บปวดขนาดไหน สุขทุกข์แค่ไหน เราไม่สามารถจะรู้ได้เลย แต่สัญญาเจตสิกเป็นสภาพจำ ไม่ว่าพูดถึงอะไรเป็นธรรมทั้งนั้น
ต่อจากนี้ไป เมื่อเราพูดถึงอะไรที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่สิ่งที่พูดถึงเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งนั้น จะเป็นอดีตในชาติไหนก็ได้ หรือว่าเป็นในชาตินี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฝันไม่มีสิ่งใดปรากฏอย่างนี้ เห็นคุณมนจะไปคิดถึงนกแก้วก็ไม่ได้ใช่ไหม ก็ต้องคิดถึงตามที่เคยรู้จัก แต่ในฝันไม่มีสิ่งที่ปรากฏ แต่คือจากความจำทั้งหมด จะรู้ได้ไหมว่าเราจะคิดอะไร เพราะสัญญาเขาจำ เห็นความเป็นอนัตตาไหม
ข้อสำคัญคือเห็นความเป็นอนัตตาไหม ถ้าในชีวิตประจำวันไม่เริ่มเห็น แล้วจะไปเห็นความเป็นอนัตตาเมื่อไหร่ ไม่ใช่ให้ไปนั่งเห็นตรงนั้นตรงนี้ว่าเป็นอนัตตา แต่ทั้งหมดเป็นธรรมแล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาของชีวิตธรรมดาเมื่อไหร่ นั่นคือเริ่มมีความเข้าใจถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ฝันก็ไม่น่าสงสัยแล้วใช่ไหม ในเมื่อเราตื่นก็ต้องคิดตามที่เห็น แต่เมื่อเวลาฝันไม่เห็นก็คิดตามที่สัญญาเจตสิกจำไว้ กี่ชาติก็ตามแต่ในสังสารวัฏฏ์ บางคนเขาฝันว่าเหาะได้ ก็เป็นเรื่องของฝัน เรื่องของคิด
ผู้ฟัง คือต่างกันตรงที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้เหมือนฝันไหม ตราบใดที่ไม่รู้ความจริงก็เหมือนเลย เพราะฝันว่ายังมีเรา ฝันหรือเปล่า ไม่มีแท้ๆ เลย มีแต่สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยแล้วดับอยู่ตลอดเวลา ยังฝันว่ามีเรา เหมือนฝันแล้วยังไม่ตื่น ฝันว่าเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนโน้นคนนี้ วันนี้เรามาที่นี่ เดี๋ยวเราจะไปนมัสการสังเวชนียสถาน เพราะฉะนั้น เวลาฝันเราไม่รู้หรอกว่าไม่จริง กำลังฝันแท้ๆ ใครรู้ว่าไม่จริงบ้าง ไม่รู้ใช่ไหม ตื่นเมื่อไหร่จึงรู้ว่านั่นฝัน
ดังนั้น ถ้าเรายังไม่ตื่นในสังสารวัฏฏ์ เราก็ไม่รู้เพราะเหมือนฝันเลย ไม่มี และก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ แล้วยังมืดยิ่งกว่าฝันอีก เพราะว่าฝันไม่มีให้คิด แต่นี่คือมีแล้วก็ยังไม่รู้ด้วย
เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มหาศาลมาก อย่าคิดว่าจะหมดไปได้โดยการที่ไม่รู้สักนิดหนึ่ง และก็ไปทำอะไรมา แล้วคิดว่าจะหมดกิเลส นั่นคือคิดเอง กิเลสก็ไม่รู้จัก เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วจะไปละได้อย่างไร ปัญญารู้อะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าจะไม่รู้ถึงอย่างนี้ แต่ก็เป็นอย่างนี้ เหลือเชื่ออย่างนี้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าที่เหมือนฝันก็เหมือนจริงๆ เพราะไม่มี เหมือนฝันก็ไม่มี แต่คิดไปต่างๆ นานา ตื่นขึ้นเมื่อไหร่ก็รู้ว่าไม่มี
ถ้าตื่นขึ้นรู้ความจริงก็คือไม่มี ถ้ามีก็ละกิเลสไม่ได้ เพราะจากไม่มีแล้วมี จึงยึดถือสิ่งที่มี พอใจในสิ่งที่มีเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ได้ยินคำไหนต้องเข้าใจจริงๆ ได้ยินคำว่าธรรม เข้าใจไหม คืออะไร
ผู้ฟัง คือสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดขณะนี้
ท่านอาจารย์ ชาวโลกรู้จักสิ่งที่มีจริงที่เกิด เพราะเกิดจึงมี ใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมที่ไม่เกิดแต่มี คือกว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งขึ้นว่า เราฟังเท่านี้รู้เท่านี้ เเละต้องมั่นคงเท่านี้
เมื่อได้ยินคำใหม่ว่า สิ่งที่ไม่เกิดเเต่มี ก็ต้องไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นี่คือการไตร่ตรอง เพราะเราฟังมารู้แล้วว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นขันธ์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงคือสิ่งที่เกิดแล้วจึงมี จิตเกิด เจตสิกเกิด รูปเกิด เป็นขันธ์ เมื่อได้ยินคำว่าสิ่งที่เรารู้ เรารู้กันแต่เฉพาะสิ่งที่เกิดว่าเป็นขันธ์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่ามีสิ่งที่ไม่เกิด แต่มีจริงๆ
สิ่งนั้นคืออะไร เห็นไหมว่าถ้าคิด คำตอบต้องสั้นและตรง แต่ถ้าตอบยาวก็คือเราคิดเอง คิดเองไปไกลเลย แต่ถ้าเราฟังแล้วคิด คำตอบของเราจะตรงแล้วก็สั้น เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งที่ไม่เกิดแต่มีจริง ก็ต้องไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นี่คือความเข้าใจบริบูรณ์ มั่นคงเลยว่าสิ่งที่ไม่เกิดแต่มีจริง ต้องไม่ใช่จิต เจตสิก รูป เพราะสิ่งมีจริงเท่าที่เรารู้ก็คือ จิตมีจริง จิตเกิด เจตสิกมีจริง เจตสิกเกิด รูปมีจริง รูปเกิด เป็นขันธ์ สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นและดับไปเป็นขันธ์ นี่คือชาวโลกรู้
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงที่ไม่เกิดขึ้น คำถามว่า แล้วสิ่งที่มีจริงที่ไม่เกิดขึ้นเป็นอะไร ยังไม่ต้องเรียกชื่อเลย แต่ก็ตอบได้ว่าต้องไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นี่คือความเป็นคนที่มีเหตุผล เวลาฟังธรรมและไตร่ตรอง เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผล เพราะว่าธรรมเป็นเหตุเป็นผล ไม่เลื่อนลอย ไม่สับสน ตรงตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีที่ไม่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป เป็นนิพพาน สภาพธรรมที่ดับตัณหา นิ-วา-นะ นิพพาน สภาพธรรมที่ดับตัณหา ดับกิเลสซึ่งยิ่งใหญ่เหลือเกิน ภาษาบาลีใช้คำว่าตัณหาทาโส ใครเป็นทาสของตัณหา ถ้าไม่รู้จักตัณหาก็เป็นทาสตัณหากันทุกคน ถึงรู้จักเราก็ยังเป็นทาสของตัณหา ยังไม่พ้นจากความเป็นทาสของตัณหา จนกว่าสามารถที่จะดับตัณหาได้ สภาพธรรมนั้นต้องใหญ่กว่ายิ่งกว่าคือปัญญา ซึ่งมีคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด คำนี้บริบูรณ์ไหม ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นจิต เป็นเจตสิกอื่นๆ ทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด
ดังนั้น การศึกษาธรรมที่จะเข้าใจบริบูรณ์คือ ไตร่ตรอง มั่นคงไม่เปลี่ยน จะก้าวไปสู่ความเข้าใจสภาพธรรมได้ยิ่งขึ้น เพราะเราไม่ปัดไปเป๋มา คิดนั่นคิดนี่ ไปเติมไปแต่งเอง ไม่ต้องเลย ทุกอย่างในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำสมบูรณ์บริบูรณ์ ขอให้ไตร่ตรอง ขอให้เข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังแล้วคิดไปเองแล้วก็งง เมื่อไม่งงเเล้วเข้าใจก็คือเข้าใจ เข้าใจจริงๆ และเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นความจริง ถ้าเข้าใจความจริงก็ต้องจริง คือเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมี ๔ อย่าง ที่ใช้คำว่าปรมัตถธรรมมี ๑ จิต ๒ เจตสิก ๓ รูป ๔ นิพพาน ปรมัตถธรรมมี ๔ ธรรม ทุกธรรมมีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนได้ไหม ไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ใหญ่ไหม ปรม (ปะ-ระ-มะ) บรม อรรถ ลักษณะของเขาเปลี่ยนไม่ได้ จึงมีอีกคำหนึ่งว่าธาตุ หรือธา-ตุ หมายความว่า แต่ละหนึ่งทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน อย่างไรๆ ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใครเปลี่ยนได้ เพราะเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วดับเลย จะไปเปลี่ยนตอนไหนเพราะเร็วมากสุดที่จะประมาณได้
คำว่าธาตุกับธรรมหมายความอย่างเดียวกัน แต่ว่าธรรมนี้หลากหลายมาก จึงทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ ให้เห็นความมั่นคง ให้ถึงความลึกซึ้ง ธรรมทุกอย่างเป็นธาตุทั้งหมด ใครนับธาตุได้บ้าง เดี๋ยวนี้ก็นับไม่ถ้วนแล้วใช่ไหม แต่ละหนึ่งๆ หลากหลายมากแต่ละหนึ่ง โลภะก็มากมายหลายระดับ แต่ละหนึ่งเกิดและดับไป ซึ่งทรงแสดงโดยประเภทต่างๆ เช่น โดยประเภทของขันธ์ มีคำหนึ่งใหม่อีกคำแล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์คืออะไร
ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นแล้วดับ
ท่านอาจารย์ คือสิ่งที่เกิดดับ สิ่งที่เกิดดับมีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป
ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูป ต้องเป็นหนึ่ง คือจะเป็นจิต หรือเจตสิก หรือเป็นรูป จิตเป็นเจตสิกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เจตสิกเป็นรูปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แม้จะได้ยินคำที่อาจจะหมายความรวมถึงนามธรรม เช่น ปิยรูป สาตรูป แต่ก็ต้องรู้ว่าจิตเป็นรูปไม่ได้ คือทุกคำที่เราเข้าใจอย่างมั่นคง แล้ว เราจะไม่สับสนเวลาที่อ่านข้อความในพระไตรปิฎกโดยนัยหลากหลาย ซึ่งทรงแสดงโดยความลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ขันธ์มี ๓ ทรงจำแนกเป็น ๕ ให้เรารู้ตามความเป็นจริงว่า ๕ คือจำแนกโดยอุปาทาน คือความยึดมั่น ยึดถืออย่างมั่นคง มีขันธ์หนึ่งขันธ์ใดซึ่งไม่ใช่ธรรมไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีธรรมที่ไม่ใช่ขันธ์ไหม
ผู้ฟัง มีธรรมที่ไม่ใช่ขันธ์ คือนิพพาน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาเข้าใจจริงๆ ก็ยังต้องทบทวน ต้องฟังคำถาม และต้องรู้ว่าคำถามนั้นเพื่อให้ดูว่าเราลืมหรือเปล่า เราเข้าใจหรือเปล่า เรามั่นคงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น นิพพานเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง นิพพานเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ นิพพานเป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นขันธ์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง มีความเข้าใจมั่นคงทั้งขันธ์ ทั้งธรรม ทั้งธาตุ และตอนนี้ก็มาถึงอุปาทานขันธ์ เห็นไหมว่าแต่ละคำๆ ถ้าเข้าใจก็คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลย แต่กว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นขันธ์ไหน ไม่ต้องเรียกชื่อใช่ไหม ไม่ต้องเรียกเลย เป็นธรรม ที่เราเรียกก็เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงอะไรเท่านั้นเอง แต่ธรรมจริงๆ ไม่มีชื่อ แต่ต้องมีชื่อสำหรับให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร
ทำไมจึงเป็นการใช้คำรวมกันว่ารูปูปาทานขันธ์ ก็คือมาจากคำว่า รูป อุปาทาน แล้วก็ขันธ์อีกหนึ่งคำ รูปรวมกับอุปาทานก็เป็น รูปูปาทาน กับขันธ์ แล้วทำไมรูปจึงเป็นรูปูปาทานขันธ์
ผู้ฟัง มีรูป แล้วก็รูปนั้นก็เกิดดับ นี่คือพูดตามคำเลยว่ารูปมี ขันธ์มี ความยึดมั่นในรูปมี จึงเป็นรูปูปาทานขันธ์
ท่านอาจารย์ ความยึดมั่นในรูปแค่ไหน
ผู้ฟัง มาก
ท่านอาจารย์ ให้รู้เลยว่ามาก เราเกิดในภพภูมิที่มีรูป รูปทางตาหนึ่งรูปปรากฏเดี๋ยวนี้เลยชอบ ยึดมั่น ต้องการ แสวงหา พอไหม
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ ตลอดเลย เดี๋ยวสิ่งนั้นเดี๋ยวสิ่งนี้ตลอดเวลา จึงเป็นขันธ์ที่เป็นที่ตั้งของความยึดถือ ในภพภูมิที่มีรูปจะไปอยากได้อะไร ก็ต้องอยากได้รูป มีรูปก็ต้องอยากได้รูปใช่ไหม อยากได้เสียงไหม อยากได้กลิ่นไหม อยากได้รสไหม อยากได้ความสบายไหม ทั้งหมดนี้ก็คือติดข้องในรูปเพราะมีรูป
ผู้ฟัง ความติดข้องในรูปเป็นความปกติอย่างไร เพราะมีรูปจึงติด
ท่านอาจารย์ ก็เพราะไม่รู้ว่ารูปเกิดแล้วดับ ถ้าประจักษ์การเกิดดับจะติดข้องไหม เพราะฉะนั้น หนทางที่จะดับหรือจะละความติดข้อง ไม่ใช่หนทางอื่น จะไปนั่งเป็นฤาษีในป่าที่ไหนก็ตาม ไม่มีทางที่จะไปละความยินดีติดข้องในรูป เพราะไม่รู้จักรูปว่ารูปนี้เกิดแล้วก็ดับ เห็นอย่างชัดเจนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นค่อยๆ ละความติดข้องในรูป เเต่ก็ยังมีความลึกกว่านั้นอีก
พระโสดาบันละความเห็นผิด ไม่ยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ เลย ทั้งนามธรรม ทั้งรูปธรรมทั้งหมดว่าเป็นเรา แต่ยังติดข้อง ยังมีโลภะในรูป ยังไม่ใช่พระสกทาคามี ยังไม่ใช่พระอนาคามี ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แสดงว่ากิเลสมากมายมหาศาลซึ่งต้องดับตามลำดับ
อันดับแรก คือต้องดับการเห็นผิดที่ยึดถือธรรมว่าเป็นเรา เป็นเราตราบใดอย่าไปคิดหวังที่จะไม่ติดข้องในอย่างอื่น สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นเองตามลำพังได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เรื่องนี้คือความรู้ใหม่ เราอาจจะคิดว่าเกิดเองได้ใช่ไหม เช่น ฟ้าแลบเอง เเต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นปรุงแต่งสนับสนุนทำให้เกิดขึ้น
ดังนั้น จึงไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นหนึ่งเดียวตามลำพัง ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย บางอย่างเกิดก่อน บางอย่างเกิดหลัง จริงๆ แล้วคือค่อยๆ ศึกษาธรรมตามลำดับ ไม่อย่างนั้นเราจะสับสน
เพราะฉะนั้น จากการที่รู้ว่าสภาพธรรมที่เกิด ต้องอาศัยอย่างอื่นปรุงแต่ง เกิดตามลำพังไม่ได้ จึงมีคำว่าสังขารธรรม สังขาระ ปรุงแต่งใช่ไหม โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อะไรเป็นสังขารธรรม
ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป
ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูปเป็นสังขารธรรม อะไรเป็นสังขารขันธ์ ถ้าไม่ละเอียดถามแค่นี้ก็จะผิดแล้ว ต้องรู้ต้องศึกษาให้มากกว่านี้ ไม่ใช่สังขารธรรมทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ สังขารธรรมมีจิต เจตสิก รูป เกิดดับใช่ไหม รูปหนึ่งเป็นรูปขันธ์ เป็นอุปาทานที่ตั้งของความยึดถืออย่างมั่นคง ปรารถนาอยู่ทุกวันนี่เอง จึงเป็นรูปูปาทานขันธ์ อุปาทานขันธ์
เพราะฉะนั้น เราต้องการรูปเพราะว่ารูปนำมาซึ่งความสุข ไปตลาดเพื่อซื้อสิ่งที่พอใจ เพราะว่าสิ่งนั้นนำมาซึ่งความสุข อาหารที่ตลาดก็เลือกซื้อบางอย่าง เพราะว่ารับประทานแล้วอร่อยดี ดังนั้นที่เราต้องการรูปก็เพื่อสุขเวทนา ทุกคนติดมั่นแสวงหาในสุขเวทนา ไม่มีใครต้องการทุกข์ แต่มีเพราะเหตุปัจจัยแต่ไม่ได้ต้องการ ไม่มีใครต้องการ ถ้ามีคนต้องการทุกข์แล้วได้ไปอเวจีก็ดีเลย เพราะมีแต่ทุกขเวทนา มีแต่ไฟไหม้ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม เพราะเราแสวงหารูปเพื่อความรู้สึกที่เป็นสุข เพราะฉะนั้น เวทนาที่ต้องการจริงๆ ก็คือสุขเวทนา แต่จะไม่ให้มีเวทนาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ มีแล้ว ไม่อยากให้ชอบเวทนาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ติดข้องในสุขเวทนา เวทนาขันธ์หนึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นว่า เราแสวงหารูปเพื่อความสุข ทุกคนเกิดมาแล้วแสวงหาสุขด้วยประการใดๆ ก็ตามแต่ ทั้งหมดนั้นก็นำมาซึ่งสุขเวทนา ถ้ารู้ว่าเป็นทุกข์จะต้องการไหม ไม่มีใครวิ่งเข้ากองไฟแน่ ใช่ไหม เพราะไม่ต้องการทุกข์เวทนา
ดังนั้น สองอย่างนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ในบรรดาขันธ์ ๕ คือ จิต เจตสิก รูป สิ่งใดที่เป็นอุปาทานที่ยึดมั่นอย่างมั่นคง เป็นที่ปรารถนาพอใจก็เป็นแต่ละขันธ์ไป เช่นรูปขันธ์ แต่สรุปรวมความว่ารูปทุกชนิด เพราะบางคนก็ชอบสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นสุขเลย เช่นรสขมๆ เผ็ดมากๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้รู้ไว้ว่าทั้งหมดคือความติดข้องในสิ่งนั้น ติดข้องในเวทนา ติดข้องในความรู้สึก
เพราะฉะนั้น เวทนาขันธ์ แสวงหารูปเพื่อเวทนาขันธ์ ซึ่งถ้าไม่มีสภาพธรรมที่จำคือสัญญาเจตสิก ก็สบายดีไม่เดือดร้อน หมดก็หมดไป แต่เพราะจำสุขไว้แค่ไหนก็อยากได้อีกใช่ไหม แสวงหาสุขให้เป็นอย่างนั้นหรือยิ่งกว่านั้น
ดังนั้น นอกจากรูปขันธ์แล้ว เวทนาเจตสิกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าทุกคนต้องรู้สึก จะไม่มีความรู้สึกไม่ได้เลยจึงมีเวทนาขันธ์ และเพราะจำ ไม่ให้จำก็ไม่ได้ ต้องจำ เมื่อจำแล้วก็ปรุงแต่ง สังขารขันธ์เจตสิก ๕๐ เป็นไปตามความปรารถนาที่ต้องการที่ยึดมั่น
เพราะฉะนั้น เจตสิก ๕๒ ประเภท เป็นเวทนาขันธ์หนึ่ง เป็นสัญญาขันธ์หนึ่ง เจตสิกอีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ ก็เป็นคำตอบ เห็นไหมว่าเรียงตามลำดับของความสำคัญได้ว่า รูปสำคัญก็เป็นรูปขันธ์หนึ่ง เวทนาสำคัญก็เป็นเวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาความจำก็เป็นสัญญาขันธ์หนึ่ง แล้วสังขารขันธ์คือเจตสิก๕๐ ซึ่งทุกเจตสิกเเต่ละหนึ่งเป็นสังขารขันธ์ ไม่ใช่มารวมกันแล้วถึงจะเป็นสังขารขันธ์ และจิตก็เป็นวิญญาณขันธ์ เป็นเราหรือเปล่า
ทรงแสดงไว้เพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่เรา แต่กว่าจะเห็นว่าไม่ใช่เราก็จำชื่อกันไป ขันธ์ ๕ ธรรม รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เพื่อเข้าใจ อย่าลืมว่าเพื่อเข้าใจ และสังขารขันธ์กำลังปรุงแต่ง เวลานี้ไม่มีเรา มีจิต เจตสิก รูป จิตก็ทำหน้าที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เจตสิกทั้งหลายก็เกิดกับจิตทุกขณะ ปรุงแต่งบ้าง เป็นเวทนาบ้าง เป็นสัญญาบ้าง เจตสิกเป็นขันธ์อะไร
ผู้ฟัง เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
ท่านอาจารย์ แล้ววิญญาณเป็นสังขารธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง วิญญาณเป็นสังขารธรรม เพราะเป็นจิต
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นสังขารธรรมทั้งหมด แต่ที่แยกเป็นขันธ์ ๕ ตามนัยการยึดถือที่เป็นความสำคัญ เรามีสองคำใช่ไหม อุปาทานกับขันธ์ ขันธ์เรารู้แล้ว เพราะฉะนั้น อุปาทานเป็นความยึดมั่น ยึดถืออย่างมั่นคง มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง ยึดมั่นก็คือ จิต เจตสิก
ท่านอาจารย์ นี่คือความไม่ละเอียด การศึกษาธรรมขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ถ้าละเอียดก็ต้องเข้าใจขึ้น ถ้าไม่ละเอียด ความเข้าใจก็ไม่มาก ไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น เข้าใจขึ้นเมื่อละเอียดขึ้น แต่ถ้าผ่านไปแล้วไม่ละเอียดก็คือเข้าใจไปอย่างนั้นเอง ใช่ไหม จิตเป็นเจตสิกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เจตสิกเป็นจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สภาพที่ติดข้องยึดมั่น
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ ก็ต้องตอบว่าเจตสิก ไม่ใช่จิต จิตเป็นแค่ธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นเป็นเจตสิกอะไร
ผู้ฟัง โลภเจตสิก
ท่านอาจารย์ ถ้าใช้ชื่อก็เป็นโลภเจตสิก โดยมีสภาพที่ติดข้องต้องการ ปรารถนา เพลิดเพลิน ทุกอย่างมีชื่อเป็นร้อย ตามลักษณะที่เกิดขึ้นประเภทนั้นๆ เช่นเพลิดเพลิน หัวเราะ เป็นเจตสิกอะไร
ผู้ฟัง โลภเจตสิก
ท่านอาจารย์ ขณะโกรธยิ้มไหม ยิ้มเป็นเจตสิกอะไร
ผู้ฟัง โลภเจตสิก
ท่านอาจารย์ ก็โลภเจตสิก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
