ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
ตอนที่ ๑๑๗๕
สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิง วิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เราอยากมาฟังธรรม ห้ามไม่ได้ถ้าจะมีความติดข้อง แต่ฉันทะในความอยากฟังธรรม ต่างกับความอยากไปเที่ยว หรือไปรับประทานอาหารอร่อยๆ นั่นคือโลภะต้องการทั้งนั้น แต่สิ่งที่เกิดกับโลภะคือฉันทเจตสิก พอใจในการที่จะไปทำอะไร พอใจที่จะสนุกสนาน รับประทานอาหารอร่อย ไปชายทะเล ภูเขา อากาศดี หรือว่าพอใจที่จะได้ฟังคำ ก็เป็นความพอใจเหมือนกันใช่ไหม ขณะนั้นยังไม่มีปัญญา แต่มีความเป็นเรา
ขณะนั้นก็มีเราที่มีความยินดี มีความต้องการ แต่ว่าฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาคือปัญญา ไม่ได้ต้องการอย่างอื่น แม้จะฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นความที่ละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าฟังคำตามตัวหนังสือ พูดตามตัวหนังสือ แต่ไม่สอดคล้องกัน ในเบื้องต้นเมื่อได้ยินคำว่าธรรม อยากฟัง ยังไม่รู้ว่าธรรมเป็นอะไร ขณะนั้นเป็นอะไร
อ.วิชัย ก็ต้องด้วยความพอใจ ที่เป็นไปพร้อมกับฉันทะด้วย
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นโลภะก็ได้ แต่ฉันทะที่จะเข้าใจ ไม่ใช่โลภะที่มีฉันทะที่จะไปสนุกสนาน เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตไม่มีฉันทเจตสิก เพราะเลือกไม่ได้ เลือกเห็นไม่ได้ เลือกได้ยินไม่ได้ แต่ฉันทะขึ้นอยู่กับการสะสมมาที่จะพอใจ บางคนพอใจอยากจะฟังเรื่องปัจจัยมากๆ เลย อีกคนหนึ่งก็ค่อยๆ ฟังไป แล้วค่อยๆ เข้าใจปัจจัยไป ก็คือความเข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าต่างคนก็ต่างสะสมมาแต่ละทาง ที่จะเป็นไปในทางหนึ่งทางใด
เพราะฉะนั้น โลภะมี ในขณะที่ปัญญาไม่มี แต่ว่าฉันทะก็เกิดกับโลภะ ว่าในโลภะนั้นคือโลภะแบบไหน ซึ่งถ้าจะอาศัยโลภะแบบสนุกสนานไปเรื่อยๆ จะมีวันที่จะมาถึงธรรมไหม อาศัยตัณหาอย่างนั้นหรือ หรือว่า อาศัยความต้องการที่ประกอบด้วยความยินดีพอใจ คือฉันทะ ที่จะเข้าใจธรรม ต่างกันแล้ว
เรามาที่บ้านคุณหมอวิภากรกัน ทุกคนได้รับประทานอาหารอร่อย ชอบส้มตำไหม ขณะกำลังชอบส้มตำมีฉันทะที่จะเข้าใจธรรมไหม แต่ขณะนี้ที่ฟังอยู่ตอนนี้เราก็ชอบ แต่ก็มีฉันทะที่จะเข้าใจธรรม ดังนั้น ต้องรู้ส่วนประกอบของโลภะว่า ความต้องการนั้นมีอะไรเกิดร่วมด้วย ถ้ามีความต้องการเพียงแต่จะเปิดโทรทัศน์ นอนสบาย อาหารอร่อย อยู่กับบ้าน หรือไปเที่ยวอย่างชาวโลกส่วนใหญ่ จะนำมาสู่ความเข้าใจธรรมหรือ แต่ความอยากไม่หมด อยากคนละแบบ คนละแบบคือฉันทะคนละอย่างที่เกิดกับโลภะ ก็นำมาสู่การที่จะได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรม
แม้ฟังธรรมด้วยกันยังต่างกันเลย คนนี้จะฟังพระสูตร คนนั้นจะฟังพระวินัย คนนี้จะฟังพระอภิธรรม ก็หลากหลายฉันทะ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับธรรมได้เลย แต่เข้าใจ เพื่ออะไร หลากหลายก็จริง แต่ทั้งหมดหลากหลายอย่างไรก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลยสักคน เป็นความเป็นไปของธรรมทั้งหมด เนิ่นนานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ข้างหน้าจะเป็นใคร ไม่เป็นคนนี้แน่นอน แต่มาจากทุกขณะจิตที่ขณะนี้สะสมไว้ที่จะปรุงแต่ง เหมือนชาติก่อนๆ ก็ปรุงแต่งให้เป็นคนนี้ เฉพาะชาตินี้ด้วย
ดังนั้น ธรรมทั้งหมด ธรรมล้วนๆ ไม่มีอะไรนอกจากธรรม แต่ไม่เห็นว่าเป็นธรรม เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าจะไปทำอะไรตามอย่างใคร อย่างท่านพระสารีบุตรท่านกล่าวคาถานี้ ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง แต่ละหนึ่ง พระเถรีทั้งหลายแต่ละหนึ่ง ท่านก็กล่าวตามอัธยาศัย แต่ทั้งหมดมีปัญญาที่ไม่ต้องไปตามใคร เพราะตามไม่ได้ เป็นธรรมแล้วจะไปตามได้อย่างไร ต้องเป็นไปตามการสะสม
อ.วิชัย ก็แสดงความเป็นจริง ตราบใดที่ยังละโลภะไม่ได้ โลภะก็เกิดขึ้น แต่ว่ามีความเป็นไปอย่างไรของอุปนิสัยที่จะเห็นประโยชน์ของธรรม ต่างกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นไปในเรื่องอื่นๆ ซึ่งไม่นำมาด้วยความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คนที่เพียงฟังผ่าน คิดว่าก็เป็นไปตามโลภะก่อน แล้วก็นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หารู้ไม่ว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย ไม่เว้นอะไรเลย แต่มีความต่าง ปกตูปนิสสย เชิญคุณวิชัย
อ.วิชัย ปกตูปนิสสย มาจาก ปกต (ปะ-กะ-ตะ) และอุปนิสสย ปกต คือ กระทำแล้วด้วยดี อุปนิสสย คือ เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง รวมคำก็คือ เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ที่กระทำไว้แล้วด้วยดี หมายความว่าเกิดแล้ว สะสมแล้ว ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ธรรมเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
ท่านอาจารย์ ด้วยดี ที่นี่ไม่ใช่กุศลธรรม เเต่คือ ด้วยดี ตามภาวะการเป็นปัจจัยนั้น ที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น ละเอียดมาก ฟังธรรมแล้วกรุณาอย่าคิดเองเลย เพราะว่าเป็นการปิดกั้นปัญญา ไม่มีทางที่จะนำออกเลย เพราะคำของใคร แค่นี้เราไม่ประมาทแล้ว ถ้าคิดเอง ฟังแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เป็นคำที่ท่านตรัสไว้ก็ไม่เข้าใจ อย่างอาศัยตัณหาละตัณหา แค่นี้ จับความเพียงแค่นี้ แล้วไปเพลิดเพลินด้วยตัณหา เพื่อที่จะไปละตัณหา ได้อย่างไร
มีใครเป็นอย่างนั้นบ้าง มีใครอาศัยตัณหาไปดับตัณหา มีใครบ้าง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วทำไมจึงคิดเองอย่างนั้น ไม่ไตร่ตรองว่า แต่ละคำของพระองค์มีเหตุมีผล ลึกซึ้งแค่ไหน เพราะเหตุว่ายังมีตัณหา แต่มีฉันทะในตัณหา ซึ่งทำให้ตัณหานั้นหลากหลายไปว่าต้องการอะไร
ผู้ฟัง การจะดับกิเลส คือเป็นเรื่องของมรรค ๘ สัมมามรรค สิ่งที่จะทำให้ข้ามฟากจากฝั่งกิเลสไปฝั่งดับกิเลส หรือนิพพาน ก็คือบารมี ๑๐ ขอความละเอียดทั้งมรรค๘ และบารมี๑๐
อ.วิชัย บารมีต้องเป็นธรรมแน่นอน ซึ่งเป็นธรรมที่ยังให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน เพราะว่าการที่จะดับอกุศลธรรมหมดเป็นสมุทเฉจ แล้วจะไม่มีการเกิดอีกต่อไป ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นบารมีไม่สามารถจะถึงได้ แต่พระองค์สามารถที่จะรู้บารมีทั้งหลาย ที่จะอุปการะเกื้อกูลต่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นระดับไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์สามารถที่จะมีปัญญาพิจารณาธรรม ที่เป็นพุทธการกธรรม ก็คือ ธรรมที่จะกระทำให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อัธยาศัยของพระองค์ซึ่งสะสมมาที่จะประพฤติธรรม ที่เป็นบารมีทั้งหลาย แล้วเมื่อถึงที่สุดของบารมี จึงถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ถ้าเป็นผู้รู้อื่นๆ อย่างเช่น พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสาวกทั้งหลาย ก็ตามควรแก่ฐานะของแต่ละบุคคล
ท่านอาจารย์ อกุศลเป็นบารมีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าแค่ฟังเราก็รู้แล้วว่า ธรรมมีหลากหลายมาก ธรรมที่ดีก็มี ธรรมที่ไม่ดีก็มี ปนกันได้ไหม อกุศลให้โทษไหม
ผู้ฟัง ให้โทษ
ท่านอาจารย์ เหตุไม่ดีนำผลไม่ดีมาให้ ใช่ไหม แค่นี้ก็ธรรมดาๆ แต่ต้องเป็นคนที่เห็นโทษของอกุศล จึงคิดที่จะละอกุศล ถ้าเราคิดว่าธรรมดา เขาก็โลภกันทั้งนั้น เราก็โลภบ้างได้ หรืออะไรอย่างนี้ ไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่เห็นภัย ใช่ไหม
แต่ผู้ที่เห็นโทษจริงๆ ของความไม่ดี และรู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วจะให้หมดไปได้อย่างไร มีแต่สะสมพอกพูนเพิ่มขึ้น เป็นโทษอย่างยิ่งกับตนเอง แม้ว่ายังไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ก็รู้ว่าเป็นโทษ ไม่ใช่ให้โทษกับคนอื่น แต่ให้โทษกับขณะนั้นที่เกิดขึ้นซึ่งจะนำมาซึ่งโทษภัย แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโทษภัยอะไร ใช่ไหม จะมีการเกิดอีก เห็นอีก ไม่เคยมีความเข้าใจที่ชัดเจน เพราะเหตุว่าแค่คิด แต่เพียงแค่เห็นว่าอกุศลไม่ดี แค่นี้ก็เป็นความถูกต้องแล้ว น้อยคนที่จะเห็นโทษของอกุศล แต่ยิ่งรู้ว่ามีแต่อกุศลหนาแน่นมากเหลือเกิน หนทางที่จะละมีไหม หนทางที่จะดับมีไหม ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลย ก็สะสมอัธยาศัยเป็นคนดี
เพราะฉะนั้น การทำดีแต่ละครั้งก็เป็น อาสยานุสยะ สะสมที่จะทำความดีต่อๆ ไปเป็นคนดี วาจาดี กายดี ชาติไหนก็ตาม พ่อแม่มีลูกหลายคน ลูกบางคนดี ลูกบางคนไม่ดี ทั้งๆ ที่พ่อแม่เดียวกัน บางคนดีมาก บางคนดีน้อย พ่อแม่ก็อยากให้ลูกดีทุกคน แต่ธรรมเป็นธรรม ซึ่งสะสมมา
เราอาจจะพูดถึงเรื่องอกุศล ซึ่งบางคนเขาไม่ได้สนใจเลย แต่ถ้าพูดกับบางคนที่เขาเห็นว่าอกุศลไม่ดี และยังอาจจะอยากรู้ว่า แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะไม่มีอกุศล จนกระทั่งได้ฟังธรรม จึงรู้ว่าเพียงกุศล คุณความดีเกิดขึ้น ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ อกุศลน้อยลงเป็นอัธยาศัย แต่ไม่ได้หมายความว่าหมดอกุศล เพราะหมดอกุศลจริงๆ ต้องเป็นปัญญา
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญา การทำดีทั้งหมดก็ยังไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่าจะถึงฝั่งไหน ไม่รู้จะไปไหน แต่นี่คือไปสู่การดับกิเลส ถ้าไม่เห็นโทษจะดับหรือ กิเลสนั้นเห็นยากมาก เพราะว่ามีกิเลสหลายอย่าง หลายระดับ ดังนั้น โทษก็ต่างกัน เช่น เห็นว่าเป็นเรา อย่างนี้โทษไหม โทษที่นำมาซึ่งโทษทั้งปวง เพราะมีเรา
ก่อนอื่น เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา อกุศลทั้งหลายเพื่อเราก็ต้องลดน้อยลง เพราะไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ที่จะให้อกุศลลดน้อยลงโดยยังเป็นเราอยู่นั้นเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น การฟังธรรมจึงต้องละเอียด เมื่อได้ยินได้ฟังคำซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจ รู้ว่ามีความเป็นเราหมดเลย ไม่เหลือ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชั่ว ดี จำ ทุกอย่างทั้งหมดเป็นเราทั้งนั้น เป็นของเราทั้งนั้น จึงรู้ว่ายากที่จะสามารถรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา จึงต้องรู้ว่าถ้ายังเป็นอกุศลอยู่มากๆ ไม่มีทางที่จะถึงการละความเป็นเราได้
ด้วยเหตุนี้ จึงเข้าใจคำว่า ปาระ คือฝั่ง มี คือถึง ปารมี (บารมี) ถึงฝั่งด้วยคุณความดีเท่านั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ความดีทั้งหมดไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่อละความเป็นเรา นั่นจึงเป็นบารมี อย่างที่คุณหมอจัดสนทนาธรรม ถ้าเพื่อตัวคุณหมอก็ไม่ใช่บารมี แต่ถ้าเพื่อความเข้าใจธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อรู้ว่ากิเลสนั้นมีมาก และทุกคนดับกิเลสไม่ได้ นอกจากได้เข้าใจพระธรรม
วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ได้ฟังพระธรรมอย่างใกล้ชิด มีปัญหาอะไรที่จะทำให้เข้าใจขึ้น เราก็สนทนากัน เพราะสนทนาธรรมเป็นมงคล ฟังธรรมก็เป็นมงคล ฟังแล้วยังมีความสงสัย หรือเข้าใจต่างระดับกัน ก็สนทนาเพื่อความเข้าใจขึ้น เป็นมงคลที่จะให้มีความเจริญในความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดที่จะเป็นบารมีต่อเมื่อเข้าใจ และเพื่อความเข้าใจ
อ.วิชัย คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีเฉพาะบางกาลบางสมัยเท่านั้น แต่ถ้าบุคคลเกิดขึ้นในกาลที่ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ที่จะแสดงว่านี้เป็นธรรมไม่ใช่เราเลย การกระทำกุศลของเขา จะเป็นปัจจัยเกื้อกูลต่อการที่จะมีโอกาสได้ฟังอีก แล้วเข้าใจอีกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นธรรม ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดได้ไหม
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้ามีปัจจัยแล้วต้องเกิด ใช่ไหม
อ.วิชัย ถ้ามีปัจจัยก็ต้องเกิด
ท่านอาจารย์ ถึงเวลาปัจจัยจะทำให้เกิดหรือยัง แต่มีปัจจัย เพราะฉะนั้น มีปัจจัยก็จริง ถึงเวลาที่ปัจจัยนั้นจะทำให้เกิดหรือยัง เราสะสมกรรมมาในแสนโกฏิกัปป์ เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกรรมไหน
อ.วิชัย ไม่สามารถจะรู้ได้
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วในอดีต จะเห็นเดี๋ยวนี้ไหม
อ.วิชัย ถ้าไม่มีกรรมในอดีตก็ไม่สามารถเห็น
ท่านอาจารย์ เเต่มีเหตุให้เกิดการเห็น แล้วรู้ไหมว่ากรรมไหน ชาติไหน
อ.วิชัย ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ก็เหมือนกับการฟังแล้วเข้าใจนั่นเอง ความเข้าใจไม่ได้หายไปไหนเลย มีอยู่ สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ให้ทราบว่าจิตที่เกิดและดับ สะสมกุศลและอกุศลต่างๆ นานา มากบ้างน้อยบ้างมหาศาล ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความเป็นปัจจัยว่า เกิดจากการปรุงแต่งของแต่ละขณะในแสนโกฏิกัปป์ มาจนเป็นเดี๋ยวนี้ ใครทำได้ ไม่มีทางทำได้เลย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เราก็รู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ข้อสำคัญที่สุดจะฟังนัยใด ประการใด บารมี โพชฌงค์หรืออะไร ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้แต่ที่กำลังไตร่ตรอง กำลังเข้าใจ แต่นั่นคือคิด ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้งตัวธรรม ซึ่งแสดงว่าตัวธรรมแต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วถ้าไม่ประจักษ์แต่ละหนึ่งก็คือว่าไม่ชัดเจน รวมกันแล้วจะชัดเจนได้อย่างไร
ดังนั้น การฟังธรรมจึงต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณค่า ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าลึกซึ้ง ซึ่งผิดง่ายมาก ผิดกันไปมากมายแล้ว คนที่เข้าใจว่าจิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ ก็ตั้งสำนักปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าเป็นตัวตน เพราะเขาเพียงแต่เอ่ยคำว่าจิต เจตสิก และรูป ไม่เหมือนการเข้าใจเดี๋ยวนี้ จิตขณะนี้ ธาตุรู้ ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาด ปรุงแต่ง แต่ทำให้มีสิ่งที่ปรากฏเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
เห็นไหมว่ากว่าจะแตกย่อยเรื่องใหญ่ มาเป็นเรื่องเล็กๆ ประกอบกัน และเรื่องเล็กๆ ประกอบกัน ก็มาจากแต่ละหนึ่งซึ่งประกอบกัน ซึ่งเกิดดับไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้น การฟังไว้ก็คือรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ จะถึงเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่ค่อยๆ คลายความเป็นเรา ด้วยความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น
สนทนาธรรม ที่ สมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๑
ผู้ฟัง อวิชชา หรือความไม่รู้ทางพระพุทธศาสนา หมายถึงอะไร มีความแตกต่างไปจากความไม่รู้ทางโลกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แม้แต่คำว่า อวิชชา ถ้าหมายความตรงๆ ก็คือ วิชชา-ความรู้ อะ-ไม่ เพราะฉะนั้น อวิชชาคือความไม่รู้ เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลยว่า เราไม่รู้อะไร เพราะเหมือนกับว่าเกิดมาก็รู้ทุกอย่าง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อวิชชา ความไม่รู้ก็ต้องไม่รู้อะไร ไม่ใช่เเค่เพียง ไม่รู้ เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ว่า อวิชชามีแน่นอน แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ด้วย ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้บ้าง มีเห็น ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงคำว่า เห็น แต่พระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงของเห็น ซึ่งคนอื่นไม่รู้ว่า เห็นคืออะไร
เห็น มีเดี๋ยวนี้ ใครรู้ว่า ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น จะมีเห็นไหม แค่นี้เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ให้ใครเชื่อ แต่ว่าผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์จะต้องไตร่ตรอง พิจารณา เริ่มเข้าใจตามความเป็นจริงว่า แต่ละคำของพระองค์หมายความว่าอย่างไร ขณะนี้มีเห็น ไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้น โดยไม่มีใครสามารถจะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แต่เห็นก็เกิดแล้ว และขณะนี้ที่ได้ยิน ต้องไม่มีเห็น
เพราะฉะนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ถ้าไม่มีหูก็ไม่ได้ยิน นี่เป็นแต่เพียงปัจจัยที่พระองค์ทรงแสดงในเบื้องต้น แล้วยังทรงแสดงโดยละเอียดจนกระทั่งว่า เห็นหนึ่งขณะที่เกิดขึ้น ประกอบด้วยสภาพธรรม คือสิ่งที่มีจริง ที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
เพราะเหตุว่าเห็นอะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นก็เกิดไม่ได้ ได้ยิน ได้ยินอะไร ได้ยินเสียง ถ้าไม่มีเสียงได้ยินเกิดไม่ได้ นี่เป็นชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ได้รู้ความจริงว่าอวิชชา ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ดังนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ใครจะหยุดยั้งไม่ให้ดับไป เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นธรรมดา คำว่าธรรมดา ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ตา ความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรมดา ก็คือ เมื่อเกิดแล้วดับ ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตไม่รู้อะไร ขณะเห็นก็ไม่รู้ ขณะได้ยินก็ไม่รู้ ขณะคิดนึกก็ไม่รู้ ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่รู้ จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ก็รู้ความจริงของชีวิตแต่ละหนึ่งขณะว่า ชีวิตก็คือขณะที่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น จึงมีชีวิต
ถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีการรู้ ชีวิตก็ไม่มี อย่างเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่เห็นอะไร ไม่ชอบอะไร แต่สภาพธรรมที่เห็น แล้วก็รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ ซึ่งคนไทยเราชินหูกับคำว่าจิต แต่ก็เพียงแต่พูดว่าจิต แต่เดี๋ยวนี้จิตไหน อวิชชาไม่รู้เลยว่าจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เห็นเป็นจิตหรือเปล่า
ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เขาจะตอบว่าอย่างไร เขาก็ไม่รู้ใช่ไหมว่า เห็นเป็นจิต เพราะฉะนั้น จากการที่รู้แม้แต่คำว่า จิต คืออะไร อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พระปัญญาคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่เคยรู้ว่าตั้งแต่เกิดมา เกิดมาต่างๆ กัน เกิดแล้วก็ต่างๆ กันไป ไม่ว่าจะเห็นจะได้ยิน ตลอดชีวิตต่างๆ กันไป แต่ละหนึ่งขณะ จนถึงขณะที่จากโลกนี้ไป ซึ่งก็ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมดา หมายความว่าเป็นธรรมดาของธรรม ซึ่งเกิดขึ้นที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น
ณ บัดนี้ก็พอจะรู้ได้ว่า อวิชชาไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงของธรรม คือสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะ ขณะเห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป และขณะได้ยิน ไม่มีใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเสียงและไม่มีหู ได้ยินเกิดไม่ได้เลย และได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงเท่านั้น รู้อย่างอื่นไม่ได้เลย แล้วก็ดับไป
ทุกๆ ขณะสามารถที่จะพิสูจน์ จนกระทั่งสามารถเข้าใจขึ้นและเริ่มเห็นว่า ผู้ที่จะรู้อย่างนี้คือผู้ที่ทรงตรัสรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริง ให้ทุกคนได้เริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม
พระองค์ตรัสรู้ธรรมว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม กำลังปรากฏในขณะนี้เพราะเกิดขึ้น โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดเพราะอะไร แล้วก็ดับไปแล้วด้วย เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มจะเข้าใจว่า อวิชชาไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงทุกขณะที่กำลังมีในขณะนี้ว่า เป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป แล้วไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่สามารถที่จะไปค้นหาที่ใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล สิ่งที่ดับแล้วเหมือนไฟดับแล้ว ใครหาเจอ
เพราะฉะนั้น เห็น ดับแล้วในขณะที่ได้ยินเกิด ดับแล้วในขณะที่คิดนึก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมดาที่เกิดแล้วก็ดับไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
