ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161


    ตอนที่ ๑๑๖๑

    สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เราทำกรรมกันทุกวัน ทำดีต่อพ่อแม่ เป็นกรรมดีเพราะใจดี ต้องเข้าใจคำว่า ใจ ให้ชัดเจนขึ้นอีก ใจเป็นรูปธรรม หรือ นามธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ต้องมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้เลย เห็นเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นใจหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าแยกกายกับใจ กาย คือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ที่กายทั้งหมด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ก็เป็นที่อาศัยเกิดของใจ

    เพราะฉะนั้น คำว่าใจ รวมธรรมสองอย่าง คือ อย่างหนึ่ง เราใช้คำว่าจิต เห็นไหม เพราะฉะนั้น คนไทยเราพูดสองคำพร้อมกัน จิตใจ แต่ว่าคำว่า จิต หมายความถึง สภาพที่รู้ เป็นนามธรรม แต่เป็นใหญ่เป็นประธาน เฉพาะรู้สิ่งที่ปรากฏให้รู้ ดอกไม้ที่แจกันมีกี่สี

    ผู้ฟัง มีหลายสี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็น จะรู้ไหมว่า หลายสี

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่เห็นทางตา ตาไม่เห็น แต่สีนี้กระทบตาทำให้เห็น เกิดขึ้นเห็น เห็นอะไร ก็ต้องเห็นสิ่งที่กระทบตา

    เพราะฉะนั้น เห็นแจกันก็ต่อเมื่อรูปที่เราเรียกว่าแจกันกระทบตา ถ้าเห็นดอกไม้รูปที่เราเรียกว่าเป็นดอกไม้ เห็นถ้วยแก้ว ก็รูปที่มีรูปร่างสัณฐานที่เราเรียกว่าถ้วยแก้ว แต่รูปที่สามารถกระทบตาได้ มีรูปเดียวเท่านั้น รูปทั้งหมด มี ๒๘ ประเภท ที่ตัวของแต่ละคนมีรูป ๒๗ รูป นับอย่างไร ตัดเป็นชิ้นเป็นส่วนๆ หรือไม่ ไม่ใช่เลย แต่เป็นลักษณะของธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งมี และก็เป็นรูปแต่ละรูปด้วย เช่น ตาเป็นรูปหนึ่ง หูเป็นรูปหนึ่ง จมูกเป็นรูปหนึ่ง ลิ้นเป็นรูปหนึ่ง กายเป็นรูปหนึ่ง แต่ใจเป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพียงไม่กี่รูปที่เรารู้จัก ตาหนึ่งรูป หูหนึ่งรูป จมูกหนึ่งรูป ลิ้นหนึ่งรูป กายหนึ่งรูป แล้วยังมีรูปอื่น ซึ่งเราค่อยๆ รู้ได้ แต่ทั้งหมดแต่ละหนึ่งคน มีรูป ๒๗ รูปไม่เกินกว่านั้น แต่น้อยกว่านั้นได้ สำหรับคนตาบอด ก็ไม่มีตา สำหรับคนหูหนวก ก็ไม่มีหู ตาเป็นเราหรือเปล่า นี่คือศึกษา นี่คือฟัง นี่คือไตร่ตรอง นี่คือเข้าใจ นี่คือมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้ เมื่อเป็นความเข้าใจถูกต้อง เปลี่ยนไม่ได้เลย ตาเป็นของเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร ธรรมที่แยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ก่อน จากหนึ่ง คือ ธรรม เป็นสอง คือ สภาพที่ไม่รู้ทั้งหมด มีลักษณะ แข็งบ้าง อ่อนบ้าง เย็นบ้าง แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม

    แต่สภาพรู้ ไม่มีรูปร่างเลย ไม่อ่อน ไม่แข็ง ไม่หวาน ไม่เปรี้ยว เกิดขึ้นรู้เท่านั้น เกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้ เกิดแล้วต้องรู้ อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เห็น หรือ ได้ยิน เป็นสภาพรู้เสียง นี่เป็นสภาพรู้รส เพราะฉะนั้น สภาพรู้อีกอย่างหนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ แยกโลก เป็นรูปธรรมกับนามธรรม ธรรมไม่ใช่สำหรับจำ แต่สำหรับเข้าใจ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ให้ทราบว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ตาเป็นอะไร

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ ดาวเป็นอะไร

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ น้ำเป็นอะไร

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ แข็ง

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว รูปมีตั้ง ๒๘ เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ คิดว่า เราได้เริ่มรู้จักตัวเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และรู้จักธรรมที่เป็นใจด้วย รวมแล้วมีเราจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีอะไร

    ผู้ฟัง มีธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่า เป็นอะไรทั้งหมดในห้องนี้ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียว เห็นก็เป็นเห็น เกิดขึ้นและดับไป ได้ยินก็เป็นได้ยิน เกิดขึ้นและดับไป คิดเป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แค่นี้ คือ สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ว่า ธรรมมีลักษณะที่ต่างกันเป็นสองอย่าง สภาพไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และนามธรรมเป็นสภาพรู้ เมื่อครู่นี้เราพูดคำที่ค้างไว้ คือ ธาตุ ๔ หมายความถึง รูป ๔ รูป ซึ่งเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ปราศจาก ๔ รูปนี้ไม่ได้เลย ๔รูปนี้ไม่ใช่ ๑ รูป แต่เป็น ๔ แต่แยกกันไม่ออกเลย เพราะอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรมแล้ว ทุกคำต้องเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น รูปธรรมเป็นรูปธรรม เกิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ธาตุ ๔ แยกจากกันไม่ได้เลย ธาตุดิน๑ ธาตุน้ำ๑ ธาตุไฟ๑ ธาตุลม๑ แต่ไม่ใช้ดินที่ปลูกต้นไม้ ไม่ใช่น้ำที่ดื่ม ไม่ใช่ไฟในเตา แต่เย็นด้วยร้อนตรงไหน นั่นคือ ธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุไฟ ไหวหรือตึง มีไหม ที่ตัว

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ แต่เป็นธาตุลม เพราะฉะนั้น ๔ ธาตุ นี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต่อไปนี้ แข็งตรงไหน ที่กายหรือนอกกายก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีลักษณะแข็งเป็นรูปธรรม และรูป ๔ รูปนี้เป็นที่ตั้งที่อาศัยของรูป อื่นๆ เพราะฉะนั้น รูปอื่นมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มี ๔ รูปนี้ ซึ่งเป็นแต่ละ ๑ รูป แต่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ดอกไม้ เป็นธาตุอะไร

    ผู้ฟัง ธาตุดิน

    ท่านอาจารย์ ธาตุดินอย่างเดียวหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นธาตุอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

    ท่านอาจารย์ ๔ แต่ไม่ใช่ชื่อ แต่อย่าลืมว่า ตรงไหนที่ไหวได้ ดินแข็งเฉยๆ ไหวไม่ได้ ไฟก็เย็นหรือร้อนไหวไม่ได้ ไม่ใช่น้ำที่เราดื่มกิน แต่เป็นธาตุที่ซึมซาบเกาะกุมรูปที่อยู่รวมกัน ไม่แยกจากกัน

    เพราะฉะนั้น ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม มีธาตุน้ำซึมซาบ เกาะกุมให้ไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้ ด้วยเหตุนี้ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่า มหา อย่างใหญ่ใช้คำว่า มหา ในภาษาไทยเราก็ใช้ เพราะฉะนั้น ๔ รูปนี้ เป็น มหาภูตรูป รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นที่ตั้งที่เกิดของรูปอื่น ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสีสันวรรณะ ปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ จะมีกลิ่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะมีรสได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ กี่รูปแล้ว รูปทั้งหมดมี ๒๘ ที่ตัวนี่มี ๒๗ รูป เพราะฉะนั้น ที่ตัวนี้มีธาตุดินอ่อน หรือ แข็ง ธาตุไฟเย็นหรือร้อน ธาตุลมตึงหรือไหว ธาตุน้ำไหลหรือซึมซาบหรือเกาะกุม ๔ ธาตุ และยังมีสีสันวรรณะที่กระทบตามองเห็น มีสีแล้วก็มีกลิ่นด้วย แล้วก็มีรสด้วย เนื้อวัว เนื้อสัตว์ เนื้อกบกินได้หมดเลย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และก็รสต่างๆ กันไป เพราะธาตุดิน ธาตุน้ำธาตุไฟ ธาตุลมต่างกัน เพราะฉะนั้น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่เป็นใหญ่เป็นประธานนั้นหลากหลายมาก ในลักษณะที่อ่อนที่สุด จนถึงแข็งที่สุด เย็นที่สุด จนถึงร้อนที่สุด ตึงหรือไหวพวกนี้ และธาตุน้ำก็ซึมซาบ การผสมกันของธาตุทั้ง ๔ ที่ละเอียดอย่างมาก ก็ปรากฏเป็นสีสันต่างๆ เป็นกลิ่นต่างๆ เป็นรสต่างๆ ถ้ามีมหาภูตรูป ๔ และต้องมีธาตุอื่นที่เกิดร่วมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น สี กลิ่น รส และโอชา โอชา อร่อยไหม

    ผู้ฟัง อร่อย

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยใช่อย่างนั้นใช่ไหม รสชาติโอชา อร่อยมาก แต่ความจริงโอชา รูปเป็นรูป ที่ทำให้รูปอื่นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น หรือ บางคนอาจจะมากกว่านั้น หรือบางคนอาจจะน้อยกว่านั้น แต่ต้องมีอาหาร ถ้าเป็นสัตว์โลกจะต้องมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร มิเช่นนั้นแล้วร่างกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเรานี้เป็นธรรมทั้งหมดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ธรรม อะไร

    ผู้ฟัง ธรรม ที่เกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จาก ๑ แยกเป็น๒ คือ ธรรมแยกเป็นรูปธรรมกับนามธรรม เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ก็คือ เป็นรูปธรรม แต่รูปธรรมมีมาก ไม่ใช่รูปเดียว เพราะฉะนั้น มหาภูตรูปใหญ่มี ๔ รูป เป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก ๔ รูป รวมเป็น ๘ รูป ๘ รูปนี้แยกจากกันไม่ได้เลย ภาษาบาลีใช้คำว่า กลาปะ หนึ่งกลาปะ มีรูปกี่รูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สีที่กระทบตาเดี๋ยวนี้ กลิ่น รส โอชา อีก ๔ รูป

    เพราะฉะนั้น มหาภูตรูป ๔ เป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก ๔ รูป รวมแล้วเป็น ๘ รูป ในกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแยกจากกันไม่ได้เลย น้อยที่สุดของรูปที่แยกละเอียดยิบแล้วนั้นต้องมีรูป ๘ รูปนี้ ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ขอให้เป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงได้ยินแล้วก็จำ แต่ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะไม่ลืมด้วย กลุ่มของรูปที่แตกย่อยได้เล็กที่สุด ทำไมถึงแตกย่อยได้ ภูเขาแตกย่อยได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ได้หมดทุกอย่าง เพราะอะไร เพราะมีอีกรูปหนึ่ง อากาศธาตุคั่นระหว่างกลาปะ ภาษาบาลีเรียก กลุ่มของรูป ทุกกลุ่มนี้ว่า ๑ กลาปะ

    เพราะฉะนั้น กลาปะ และกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดมี ๘ รูป หมายความว่ากลุ่มอื่นมีมากกว่านี้ แต่นี่คือ ย่อยที่สุดแล้ว ก็เป็นรูป ๘ รูปที่มีอากาศธาตุแทรกคั่น เพราะฉะนั้น อากาศมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นอีกรูปหนึ่งแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ตัวนี้แยกย่อยละเอียดยิบมีกลุ่มที่เล็กที่สุด ๘ รูป และก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ระหว่างแต่ละกลุ่มที่เล็กที่สุด ที่ใช้คำว่ากลาปะ อีกหนึ่งรูป เป็นเท่าไรแล้ว ๘ กับอีก ๑ เป็น ๙ แล้วที่ตานี้มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชาไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รูปอื่นๆ ทั้งหลายก็มี ดิน น้ำ ไฟ ลม มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา ธรรมดาทั่วไป แต่ที่ตานี้จะต่างกับกลุ่มรูปอื่นไหม

    ผู้ฟัง ต่าง

    ท่านอาจารย์ ต่างใช่ไหม เพราะอะไร เห็นไหม ทุกอย่างมีเหตุ มีผลทั้งหมด ธรรมเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เป็นเรื่องที่จะเข้าถึงความไม่มีเรา เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องรู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพื่อละการที่เคยหลงยึดถือสิ่งที่เกิดดับ โดยไม่ปรากฏการเกิดดับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ฟังอะไร ต้องน้อมไปสู่ว่า ไม่ใช่เรา เพื่อเข้าใจขึ้น เป็นเราไม่ได้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น จะเป็นเราได้อย่างไร สิ่งที่ไม่มีแล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เป็นเราไม่ได้แน่ หาเราจากสิ่งนั้นไม่ได้ ธาตุดินเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำเป็นธาตุน้ำ ธาตุไฟเป็นธาตุไฟ ธาตุลมเป็นธาตุลม สีสันวรรณะที่กระทบตา วรรณะรูปก็มีจริงๆ กลิ่นมีจริง รสมีจริง โอชามีจริง ที่ตาเพียงหนึ่งกลุ่มที่ตา แต่กลุ่มนั้นยังต้องมีรูปอื่นร่วมอยู่ด้วย จึงจะชื่อว่า ตา คือ จักขุปสาทรูป รูปที่เราใช้คำว่า ตา หรือ ประสาทตา คือ ที่ที่สิ่งที่กระทบตาเดี๋ยวนี้กระทบได้ กระทบตรงนั้นเลยไม่ได้กระทบตรงแข็ง ไม่ได้กระทบตรงกลิ่น ไม่ได้กระทบตรงรส แต่ว่ากระทบรูปที่สามารถกระทบได้ คือ จักขุปสาทรูปอยู่ตรงกลางตา

    ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงว่าสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งคืออะไร เพื่อที่จะละคลายการยึดถือว่าเที่ยง ยั่งยืน และก็เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เป็นเรา ซึ่งความจริงก็เป็นธรรม ทั้งหมด คือ เป็นรูปธรรม และนามธรรม

    สนทนาธรรมที่บ้านธัมมะลำพูน

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    ท่านอาจารย์ สนทนากันเรื่องอะไร ก็ตามอัธยาศัย เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งมีแต่ก็ไม่รู้ ไม่ว่าเราจะพูดคำอะไรทั้งหมด เช่น พูดคำว่า ธรรม ก็ลืม ถ้าพูดว่า รูปธรรมก็ลืม พูดว่านามธรรมก็ลืม เพราะว่าความจริงมี แต่ถูกปกปิดไว้นานมาก

    เพราะฉะนั้น ฟังแล้ว ฟังอีก ฟังแล้ว ฟังอีก จนกว่าจะมั่นคง จนกว่าจะถึงลักษณะที่เราพูดถึงบ่อยๆ เราพูดถึงจิต เดี๋ยวนี้ก็เป็นจิตทั้งหมดเลย ไม่มีขณะไหนเลยซึ่งไม่มีจิตแต่จิตก็ไม่ได้เปิดเผย ให้รู้เลยว่าขณะนี้เป็นจิตที่กำลังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะรู้จิตไหน เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่คาดหวังว่า เราจะไปดูจิต เราจะไปรู้จิต นั่นคือ เรา แต่ว่าความเป็นเรานี่แทรกซึมอยู่ทุกอย่างที่มี เพราะไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ รูปที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น เดี๋ยวนี้ ก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมีจริงแค่เมื่อปรากฏให้เห็น น่าอัศจรรย์ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกว่าใครจะรู้อย่างนั้นได้ ก็ต้องฟัง เพราะว่าสิ่งที่ปกปิด ไม่ให้รู้ความจริง ก็คือว่า ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยคิดถึงสภาพความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ พอเห็นก็ไม่รู้ แล้วก็หลงไปเลย จำได้ว่ารูปร่างอย่างนี้เป็นอะไร ก็จำอย่างนั้นมาตลอดในสังสารวัฏ ว่านี่เป็นคนที่กำลังนั่งอยู่ นั่นเป็นโต๊ะ นั่นเป็นเก้าอี้ จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความน่าอัศจรรย์ ก็คือว่า เดี๋ยวนี้ถ้าแยกทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏรวมกันออกเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนั้นเกิดดับ แล้วเราแยกได้ไหม ดอกไม้บนโต๊ะนี้กี่ดอก แต่จิตเกิดดับเท่าไร กว่าจะเห็นเป็นดอกไม้กี่ดอก บนแจกันบนโต๊ะ นั้นเป็นคน

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ไม่ใช่มีตัวเราที่คิดว่าเรามุ่งมั่น ที่จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละคลายกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ แต่ถ้าความเข้าใจจากการฟัง ซึ่งผู้ที่เป็นพระสาวกในครั้งอดีต เป็นตัวอย่างให้เราระลึกได้ว่าท่านฟังกันมานานเท่าไรกว่าสภาพธรรมจะปรากฏที่จะทำให้เข้าใจ ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปนั่งนับ วัน เดือน ปีว่ากี่ชาติ กี่กัป แต่ว่ามีโอกาสได้ฟัง เครื่องพิสูจน์ คือ เข้าใจคำที่ได้ฟังมากน้อยแค่ไหนว่าเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้นเอง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ตรงกับความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มี ถ้าไม่มีแล้วใครจะติดข้องในเมื่อไม่มี แต่เมื่อมีแล้วไม่รู้จึงติดข้อง เพราะฉะนั้น กว่าความไม่รู้จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป จนกระทั่งไม่มีอะไรกั้น สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง ก็เข้าใจธรรมอย่างเดียว ไม่หลงทาง ข้อสำคัญที่สุด คือ ตัวตน มากมายมหาศาล และก็โลภะ ก็ติดข้อง ต้องการทุกอย่างเพื่อตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนแล้ว ก็จะต้องการอะไร ก็ไม่มีความต้องการอะไร แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็เลยยึดถือมั่นคง ว่าเป็นเรา แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อรู้ความเป็นอนัตตาว่าไม่มีใครไปทำอะไร แต่ว่าตัวธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่สะสมมา ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สะสมความโกรธไว้มาก บ่อยๆ ได้ยินใครเขาว่าเราก็โกรธแล้ว ใช่ไหม เป็นเราแล้ว และเขาด้วย แล้วก็ว่าเราด้วย แต่ถ้าสะสมความเข้าใจถูก ก็ไม่มีเรา ใครจะว่า เขาว่าใคร เขาคิดต่างหาก ว่ามีคนนั้น มีคนนี้ แต่ความจริง ก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังธรรม ก็เป็นเรื่องของการสะสม แต่ละชาติ ซึ่งมีโอกาสจะได้ฟัง แต่ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องเห็นความละเอียดความลึกซึ้งของธรรม

    เพราะฉะนั้น ประมาทแต่ละคำไม่ได้เลย ให้รู้ว่า ธรรมมีเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจธรรม คือเข้าใจคำที่กล่าวถึง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะละคลายความยึดมั่นว่าเป็นเราโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไปละคลาย แต่ปัญญาที่เข้าใจถูกนิดหนึ่ง นั่นก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ไปนิดหนึ่ง ฟังธรรมกันมานานแล้วใช่ไหม บ้านนี้ฟังธรรมมาหลายหน ไหนก็ฟังธรรม ก็คงจะนับครั้งไม่ได้ แต่ก็จะต้องฟังต่อไป

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า สภาพธรรมกำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเป็นอื่นได้ไหม ต้องเห็นแค่นี้ แล้วก็คิด เพราะฉะนั้น เห็นต้องเป็นเห็น จะเป็นอื่นไม่ได้เลย สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ ต้องอย่างนี้เอง แต่ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น กว่าจะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เมื่อกระทบตา และธาตุรู้ คือ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แค่เห็น เพราะฉะนั้น จะมีอะไรในขณะที่จิตเห็นไม่ได้นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ฟังว่าเดี๋ยวนี้เห็น และก็สิ่งที่ปรากฏกำลังถูกเห็น เพียงเท่านี้ กว่าจะไม่ใช่คนที่ถูกเห็น หรือใครที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หลับตาก็ไม่มีเลย ทันทีเลย ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้เลย

    เพราะฉะนั้น เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดแล้ว เพราะคิด โต๊ะ เก้าอี้อยู่ที่ไหน ไม่ใช่มากระทบตา แล้วเห็นโต๊ะได้ เห็นเก้าอี้ได้ แต่มีแต่เพียงสิ่งที่กระทบตาได้ และกำลังปรากฏให้เห็น แต่ก็นึกถึงรูปร่าง สัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเพราะเกิดดับเร็วมาก จึงปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำได้เท่านั้นเอง ทุกชาติ ก็หลงเข้าใจว่า มีเรา แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอด กว่าจะถึงกาลที่เพิ่มความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่แค่ทางตาทำไมถึงยากอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่า เราไม่รู้มานาน นานมาก เกินแสนโกฏกัป แล้วก็จะให้ความที่เคยจำผิด รู้ผิด เข้าใจผิด หมดสิ้นไปได้ ไม่ใช่ภายในเวลาที่รวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงแล้วก็จริงใจว่าได้ฟังธรรม แล้วเปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ จึงทรงแสดงความจริงของธรรมด้วยคำซึ่งเป็นสัจจะวาจา รู้ความจริงถึงที่สุดแล้ว จะเปลี่ยนอีกได้อย่างไร ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็คิดไป คิดมา เข้าใจอย่างนั้นบ้าง เข้าใจอย่างนี้บ้าง

    แต่ถ้าถึงที่สุด ก็คือว่า สามารถเข้าใจถูกต้องได้ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ลองคิดดู ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้นอย่างนี้ จะค่อยๆ ละคลายความยึดมั่นไหม เพราะเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และก็สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏและดับไปไม่กลับมาอีกเลย กว่าปัญญาสามารถ ที่จะคล้อยตาม จนกระทั่งรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเราเมื่อไร การละคลายความ เป็นเราก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แต่นี่คือ ขั้นฟัง เห็นไหมปัญญาเทียบแล้ว กับคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้ แล้วนี่มีถึง ๓ ระดับ ขั้นฟัง แค่ฟังคำให้เข้าใจก็ยาก เพราะว่า เป็นคำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็สอนว่า ต้นไม้เป็นอย่างนี้ พ่อแม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนฝูงเป็นอย่างนี้บ้านช่องเป็นอย่างนี้ สอนทุกอย่าง อาหารการกินเป็นอย่างนี้ ก็ได้ยินแต่อย่างนี้ แต่พอได้ยินคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งคิดไม่ถึง คิดเองก็ไม่ได้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ แสดงความละเอียดยิ่งแต่ละคำ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม เห็นคุณของแต่ละคำ และก็ไม่ประมาทด้วยว่า เพียงคำเดียวนี้ยังรู้ทั่วไม่ได้เลย เช่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วแต่ละหนึ่งไม่เห็นพูดถึงเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ก็ง่ายใช่ไหม แต่ว่าพูดถึงทีละอย่าง ให้ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรขณะนี้ที่ปรากฏทางตา ปรากฏชั่วขณะที่จิตเห็น เกิด แค่ไม่เห็นก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ คือ เกิด และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    8 ส.ค. 2568