ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
ตอนที่ ๑๑๕๙
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เวลาเสียใจ กำลังเสียใจ เป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่ แล้วเป็นอะไร เป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นเจตสิก ชัดเจน เปลี่ยนไม่ได้เลย คนตาย ตายแล้วมีจิตไหม ไม่มี มีแต่ร่างกายเพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ใครกระทบสัมผัสก็ไม่รู้สึก ไม่คิดนึก ไม่อะไรทั้งสิ้น มีแต่รูปธรรม แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีทั้งร่างกายและใจ จึงมีทั้งนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีเรา
ที่นั่งอยู่ที่นี่ เลือกเกิดหรือเปล่า แต่เกิดแล้ว อะไรเกิด ธรรมที่เกิดต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เกิดเป็นจิต หรือเกิดเป็นเจตสิก หรือเกิดเป็นรูป ซึ่งเราไม่ได้เลือกเกิดเลยใช่ไหม ขณะที่เกิดอะไรเกิด ธรรมเกิด ตอบได้แล้วใช่ไหม แต่ธรรมอะไรในขณะเกิด ทั้งจิต เจตสิกและรูป เกิดพร้อมกันในหนึ่งขณะ แต่จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป เจตสิกหนึ่งเจตสิกใดจะเป็นจิตไม่ได้เลย จิตก็จะเป็นเจตสิกหนึ่งเจตสิกใดไม่ได้เลย
ให้ทราบว่านี่คือธรรมซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนได้ เป็นปรมัตถธรรม ยิ่งใหญ่ ปะระมะ ใครเปลี่ยนไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนได้ไหม ไม่ได้ แต่ทรงแสดงความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นธรรมไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้เลย เปลี่ยนจิตให้เป็นเจตสิกไม่ได้ เปลี่ยนรูปให้เป็นจิต ให้เป็นเจตสิกไม่ได้ แต่ละหนึ่งต้องเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
เพราะฉะนั้น ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่เล็กจนโต ไปโรงเรียน ทำงาน ไปเที่ยวสนุกสนาน เข้าค่าย ทั้งหมดเป็นอะไร เป็นธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เพื่อไม่ให้ลืม ๓ คำนี้ เพราะว่าธรรมจะไม่พ้นจาก ๓ คำนี้เลย ไม่ว่าเราจะพูดถึงอะไรทั้งหมด ฟังแล้วเข้าใจทันทีว่านั่นคืออะไร
ขนมจีนน้ำยาเป็นอะไร เป็นรูปธรรม อร่อยเป็นอะไร เจตสิกที่ชอบ รู้สึกดีใจที่ได้รับประทานก็เป็นเจตสิกใช่ไหม ถ้าเผ็ดมากเป็นอะไร เห็นไหมว่าเริ่มยากขึ้นมาแล้ว เผ็ด เผ็ดเป็นอะไร เผ็ดเป็นรูปธรรม เวลาที่รู้สึกเผ็ด รับประทานแล้วรู้เลยว่าเผ็ดแค่ไหน เผ็ดน้อยเผ็ดมาก
สภาพนั้นเป็นจิตที่รู้ ที่ลิ้มรสเผ็ด เผ็ดเป็นรสชนิดหนึ่ง บางรสหวาน บางรสเปรี้ยว บางรสเค็ม เผ็ดก็เป็นรสชนิดหนึ่ง แต่เห็นเผ็ดได้ไหม ทำไมถึงรู้ว่าพริกเผ็ด ไม่ใช่เห็นเผ็ดแต่เห็นพริกเพราะรูปร่างสัณฐาน แสดงว่าเคยลิ้มรสนั้นและจำได้จึงรู้ว่าเผ็ด ถ้าเห็นสิ่งที่เผ็ดมากๆ และเคยรับประทานแล้ว แค่เห็นก็คิดถึงรสได้ แต่ไม่ใช่ลิ้มรส
เพราะฉะนั้น สภาพจำมีจริงๆ ไหม เป็นเราหรือเปล่า เป็นธรรมอะไร จำ จำกันทุกวัน ต่อไปนี้ต้องรู้ชัดเจนว่า จำไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมประเภทไหน นามธรรมที่เป็นเจตสิก
จิตไม่ได้จำ จิตเพียงแค่เห็น เห็นคือเห็น แต่จำ ไม่เห็นก็จำ เห็นก็จำ เวลาเห็นจำอะไร จำสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม แล้วแต่อะไรก็ตามที่ปรากฏให้เห็น ก็จำเลย ถ้าไม่จำจะรู้ไหมว่าเห็นดอกไม้หรือเห็นคน แต่เพราะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นหลากหลายมาก สภาพจำที่เกิดกับจิตทุกขณะ จำละเอียดมากจนสามารถจะรู้ทันทีว่าเดี๋ยวนี้คือใคร นั่นคือจำ เป็นนามธรรม มีจริง ไม่ใช่เราแต่เป็นเจตสิก
ถ้าวันนี้สามารถที่จะตอบได้ว่าธรรมเป็นอะไร เป็นรูปธรรม หรือเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก ก็เริ่มรู้จักธรรมว่า นี่คือธรรม นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา สิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ถ้าเป็นรูปธรรม สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย สีต่างๆ รู้อะไรไม่ได้ เสียงรู้ไม่ได้ กลิ่นรู้ไม่ได้ รสรู้ไม่ได้ เย็นรู้อะไรไม่ได้ อ่อนแข็ง ตึงไหวรู้อะไรไม่ได้เลย
นอกจากนี้แล้วก็คือจิตและเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน แค่เห็น แต่เห็นแล้วชอบเป็นเจตสิก จำเป็นเจตสิก โกรธเป็นเจตสิก วันหนึ่งๆ นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ทั้งหมดที่เป็นนามธรรมเป็นเจตสิก ไม่ยากเลยใช่ไหม
เริ่มรู้จักว่าไหนคือเรา มีแต่ธรรมทั้งนั้น เริ่มเข้าใจความหมายอนัตตาว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะว่าแต่ละอย่างเกิดแล้วดับ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เร็วแค่ไหนต่อกันสนิท แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าไม่ได้ต่อกันทันที ต้องมีจิตอื่นเกิดสืบต่อคั่นระหว่างเห็นกับได้ยิน ซึ่งดูเหมือนพร้อมกัน
นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ เริ่มเห็น เริ่มรู้จักคุณของผู้ที่ทุกคนกราบไหว้บูชาในพระปัญญาคุณ แต่ยังไม่ศึกษา ไม่ฟัง ไม่รู้ว่าปัญญานั้นรู้อะไร แต่ขณะนี้รู้เลย เห็นกับได้ยินไม่พร้อมกัน ห่างกันโดยมีจิตที่เกิดคั่นหลายขณะ
ถ้าเรียนความละเอียดของธรรมมากขึ้นต่อไป คือ อภิธรรม จากธรรม ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งใครเปลี่ยนไม่ได้ และเป็นอภิธรรมด้วย ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้ และมีจิตเกิดระหว่างคั่นจิตเห็นกับจิตได้ยิน ถ้าศึกษาอภิธรรมคือ ความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมแต่ละหนึ่งขณะ
อ.อรรณพ หน้าที่ที่ควรจะทำกับบุคคลที่อยู่รอบๆ เรา ตั้งแต่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ มิตรสหายเพื่อนฝูง
อ.คำปั่น ฟังข้อความโดยประมวลจากสิงคาลกสูตร อย่างเช่นในเรื่องของทิศเบื้องหน้า คือผู้ที่เป็นบิดามารดาหรือว่าพ่อแม่ เป็นผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งเลย เป็นผู้ที่ให้ชีวิตเป็นผู้ที่เลี้ยงดูบุตรธิดา จริงๆ พ่อแม่ท่านก็จะมีกิจหน้าที่ที่สำคัญคือห้าม คือให้ออกจากความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในคุณความดี ให้ศึกษาศิลปะวิทยา หาคู่ครองที่เหมาะสม รวมไปถึงมอบทรัพย์สมบัติให้ในกาลโอกาสที่ควร นี่คือผู้ที่เป็นบิดามารดา มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลต่อบุตรธิดาอย่างไร
เมื่อบุตรธิดาได้รับการอนุเคราะห์จากผู้ที่เป็นบิดามารดาแล้ว ควรที่จะกระทำอะไรบ้าง ที่จะเป็นเครื่องตอบแทนในคุณความดีที่ท่านกระทำ คือท่านเลี้ยงเรามา ก็ต้องเลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำกิจการงานของท่าน ดำรงวงศ์ตระกูล คือเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ดีงาม แล้วก็เป็นผู้ที่ประพฤติตนให้เหมาะควรที่จะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ท่านจะมอบให้ และเมื่อท่านสิ้นชีวิตไปก็ทำบุญอุทิศกุศลไปให้ท่าน
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าใครเบื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี คนนั้นไม่มีโอกาสที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่คิดว่าเรานับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าความจริงไม่ใช่ว่านับถือโดยเพียงคิดว่าเรานับถือ แต่เรานับถือในคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ที่ทำให้เรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
เรา แต่ละคนเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น พ่อเป็นไหม แม่เป็นไหม ทุกอย่างต้องเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจะต่างกันอย่างไร คุณความดีของพ่อและแม่มีแค่ไหนกับเรา คิดดูตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เรายังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นแต่พ่อแม่ก็เลี้ยงดู ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดู เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ไหม ไม่มี
เพราะฉะนั้น คุณความดี ตั้งแต่เลี้ยงดู ชนิดซึ่งลูกจะทำอย่างพ่อแม่ทำกับเราได้หรือเปล่า ตั้งแต่เราเป็นเด็กเล็กๆ มีอุจจาระ มีปัสสาวะ พ่อแม่ไม่เคยรังเกียจเลย แล้วเราสามารถจะทำสิ่งนี้กับพ่อแม่ได้ไหม ท่านป่วยไข้ไม่มีใครดูแล เราทำด้วยความไม่พอใจ หรือทำด้วยการเห็นว่า เป็นโอกาสที่เราจะได้ทำสิ่งซึ่งคนอื่นอาจจะไม่มีโอกาสนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญมากแล้วแต่ว่าเราจะคิดอะไร ความคิดเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น คิดดีก็มี คิดไม่ดีก็มี ดีเป็นอะไร ธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เจตสิก
ท่านอาจารย์ เจตสิก ก็เก่ง แต่ว่าเสียงเบามากเลย เพราะคงจำได้ว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น กำลังรู้รส และก็กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นจิตแน่ๆ รู้ว่าสิ่งนี้กำลังปรากฏ เสียงนี้กำลังปรากฏ กลิ่นนี้กำลังปรากฏ แต่ธรรมอื่นทั้งหมดเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้น ที่เราเห็นพ่อหรือเห็นแม่ ขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นจิตและเจตสิก
ทบทวนบ่อยๆ เพื่อที่จะให้เราไม่ลืมว่า สิ่งที่เรามีโอกาสได้ยินได้ฟังนี้ เราสามารถที่จะมีความเข้าใจ และต่อไปถ้าเข้าใจขึ้นก็จะเป็นประโยชน์มากกว่านี้มาก แต่ยังไม่ถึง ซึ่งเมื่อยังไม่ถึงประโยชน์นั้นก็อาจจะคิดว่าไม่เห็นมีประโยชน์อะไร แค่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ความจริงการรู้ว่าเป็นธรรมเป็นความจริงถึงที่สุดสูงสุด ไม่เปลี่ยนเลยไม่ว่าในกาลไหนๆ ก็จะไม่พ้นจากสภาพที่มีจริง คือจิตต้องมีแน่ พ่อแม่มีจิต เรามีจิต และเจตสิกที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี
เพราะฉะนั้น ที่เราใช้คำว่าพ่อแม่คือ ผู้มีคุณยิ่งกว่าใครทั้งหมด เพราะเหตุว่านอกจากเราจะเกิดมาแล้วเลี้ยงดูเราแล้ว คุณพ่อคุณแม่ให้ทุกอย่างกับเราหรือเปล่า กำลังนั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้มาจากคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่า และไม่ใช่ให้วันนี้วันเดียว ให้มาตั้งแต่เกิดและก็ยังให้ต่อไปอีก รู้คุณของพ่อแม่ไหม
ถ้าขณะที่รู้ว่าพ่อแม่มีคุณ ขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่เราแต่เป็นอะไร จิตและเจตสิก แล้วเวลาที่โกรธคุณพ่อคุณแม่ มีไหม มี ขณะนั้นเป็นธรรมหรือเป็นเรา ธรรม ถ้าไม่มีธรรมไม่มีเรา ถ้าไม่มีธรรมไม่มีพ่อไม่มีแม่ ถ้าไม่มีธรรมไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
ดังนั้น สิ่งที่เราเข้าใจว่าหลากหลายมาก ประมวลแล้วก็คือว่าต้องเป็นธรรมที่เป็นจิต หรือว่าเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป เพราะฉะนั้น การที่เราสนทนากันไม่กี่ชั่วโมงนี้ก็สามารถที่จะทบทวนให้เราเข้าใจมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่เรียกชื่อได้หลากหลาย เป็นเพื่อนก็ไม่ใช่เป็นพ่อใช่ไหม แต่ก็เป็นธรรม คือไม่พ้นจากจิต เจตสิก และรูป ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่เป็นเหตุที่ดีต้องนำมาซึ่งผลที่ดี ถ้าผลเกิดขึ้นเป็นผลที่ดีก็ต้องมาจากเหตุที่ดี แต่เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ดีและไม่ดี เช่นเราชอบดอกไม้นี้สวยจังเลย ดีหรือไม่ดี คือถ้าไม่คิด จะไม่เป็นความเข้าใจของเราเอง เพียงเขาบอกแล้วก็ลืม ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้น แต่ละคำคนที่รู้ประโยชน์ต้องคิดไตร่ตรองว่าอะไรจริง อะไรถูก คนนั้นจะได้ประโยชน์
ถ้ามีคนถามว่าดอกไม้นี้สวยมาก ชอบไหม ตอบว่าชอบ เพราะชอบจริงๆ ขณะที่ชอบดอกไม้ ดีไหม ถ้ายังไม่ฟังเลยทุกคนก็ต้องตอบว่าดี เพราะชอบดีกว่าไม่ชอบใช่ไหม คิดอย่างนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สภาพธรรมแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้ชอบได้ไหม ไม่ได้
ถ้าเกิดโกรธไม่ให้โกรธได้ไหม แสดงให้เห็นว่าเราจะต้องมีความเข้าใจจริงๆ เมื่อพูดคำไหนแล้วควรที่จะเข้าใจคำนั้นให้มั่นคงขึ้น เช่น ถ้าบอกว่าเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก็หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วปรากฏแล้วว่าเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครไปทำให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่อาศัยธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น อย่างโกรธเกิดขึ้น ทุกคนรู้จักโกรธ เข้าใจว่าโกรธเป็นเรา เเต่ไม่รู้ความจริงเลยว่าโกรธเป็นโกรธ คือการที่จะฟังสิ่งที่มีจริง ให้มั่นคงจริงๆ ว่าเป็นการรู้ความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้เลย
โกรธจะเป็นเราไม่ได้ โกรธจะเป็นพี่เราโกรธไม่ได้ จะเป็นเพื่อนเราโกรธไม่ได้ โกรธก็คือโกรธ โกรธเกิดขึ้น โกรธดับไหม ฟังธรรมแล้วคือ แม้แต่แต่ละคำที่เราฟังแล้วอย่าผ่านไป ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าโกรธดับไหม ดับรู้ไหม ตอบได้ว่าโกรธนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับด้วย แต่ถามว่ารู้ไหมว่าเกิดดับ
เกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดับไปแล้วก็ไม่รู้ มีแต่ขณะนั้นโกรธมี แสดงให้เห็นว่าความรู้ของเราขั้นฟัง เพียงแต่เริ่มที่จะมีความเข้าใจขึ้นว่า แท้ที่จริงแล้วถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย โลกนี้ก็ว่างเปล่า ไม่มี แต่ว่าสิ่งที่เกิดมีในโลกนี้หลากหลายมาก แม้แต่รูปธรรมและนามธรรมก็ต่างกัน ก็ค่อยๆ เปรียบเทียบให้เห็นประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ว่า ทุกคนมีชีวิตอยู่ไม่นาน ไม่รู้เลยสักนิดว่าใครจะต้องจากโลกนี้ไป
ก่อนจะจากโลกนี้ไป ถ้าไม่รู้ความจริงของโลกนี้ ตื่นมาก็หลง ไม่รู้ความจริงและก็มีโลภะติดข้อง แล้วก็มีโทสะความขุ่นเคืองใจที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เต็มไปด้วยอกุศล เต็มไปด้วยใจที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะหลับไม่มีใจที่ไม่ดีเกิด แต่เมื่อตื่นแล้วมีใจที่ไม่ดีหรือใจที่ดี ซึ่งถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าใจดีคืออย่างไร ถ้ารู้จริงๆ ก็จะรู้หนทางว่าที่ใจจะดีได้ เพราะอะไร
อ.อรรณพ เราพูดกันถึงเรื่อง ดีต่อใจกับใจดี กราบเรียนท่านอาจารย์ในเรื่องของใจคืออะไร
ท่านอาจารย์ ทุกคนมีใจ อยากรู้จักใจไหม อยากรู้จักใจคนอื่น หรือว่าอยากรู้จักใจเรา ใจเรารู้ยากไหม หมายความว่ารู้ได้ ใจ รู้ยากจริงๆ เพราะว่าใจอยู่ไหน คำตอบก็คือว่าอยู่ที่เราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเลยใช่ไหม ตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเล็บ แล้วใจอยู่ตรงไหน มีคนชี้ที่หน้าอกซ้าย ทำไมที่ตรงนั้น ทำไมรู้ว่าใจอยู่ตรงนั้น หรือคิดว่าตรงนั้นมีรูปร่างของหัวใจ และก็มีคนบอกว่าหัวใจคือใจ ใช่ไหม แต่ความจริงไม่ใช่เลย หัวใจมีรูปร่างใช่ไหม แต่ใจไม่มีรูปร่าง ใจขณะนี้คือกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กระทบสัมผัสมีสิ่งที่แข็งปรากฏ สิ่งที่แข็งกระทบกัน
ถ้าไม่มีใจ ไม่รู้ความแข็ง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ง่ายมากเลยที่จะรู้ว่าใจอยู่ที่ไหน เมื่อแข็งกระทบ รู้แข็งนั่นเองคือใจ คิดนึกทุกวันใช่ไหม ตาคิดได้ไหม หูคิดได้ไหม รูปร่างหัวใจคิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่าสภาพธรรมที่เป็นใจเกิดขึ้นรู้ แต่ว่าสภาพธรรมอื่นนอกจากใจไม่รู้ ตาเป็นรูปร่างตา แต่ตาเองก็เป็นก้อนเนื้อไม่เห็นอะไร หูก็เป็นรูปร่างหู ก็เป็นเนื้ออีกใช่ไหม จะใช้คำว่ากระดูก จะใช้คำว่าเยื่อ จะใช้คำอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งนั้นๆ ก็เป็นแต่เพียงเหมือนสิ่งอื่นที่อ่อนและแข็งทั่วๆ ไป
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ร่างกายของเราอ่อนหรือแข็งทุกส่วน จับผมแข็ง จับมือแข็ง หรือบางส่วนก็อาจจะอ่อนนุ่ม แต่ลักษณะนั้นไม่รู้อะไรเลยถ้าไม่มีใจ อย่างคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ก็มีทุกอย่างเหมือนเดิมเลย ตาก็ยังอยู่ หูก็ยังอยู่ รูปร่างทั้งหมดปรากฏเหมือนยังอยู่ แต่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส คิดนึกอะไรก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราเริ่มแยกกายกับใจ กายไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น และถ้าไม่มีใจ กายก็เหมือนกับท่อนไม้ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่าใจเป็นสภาพรู้สามารถที่จะรู้ว่า ขณะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือใจ ใครอยากรู้จักใจ ก็คือเดี๋ยวนี้ที่เห็นนี่เองเป็นใจที่เห็น เวลาที่เกิดได้ยินขึ้น ได้ยินมีเสียงปรากฏ เสียงไม่ใช่ใจ เสียงรู้อะไรไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังได้ยินเสียงต้องต่างกัน
นักศึกษาหมายความถึงผู้ศึกษา ผู้ที่ไตร่ตรอง พิจารณาสิ่งที่ได้ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วไม่ชื่อว่าศึกษา แต่สิ่งใดๆ ในโลกนี้มีมากมายมหาศาล จะศึกษาอะไรดี ศึกษาอะไรถึงจะจบ ถ้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรก็มีเวลาที่จะจบได้ แต่ว่าศึกษาที่จะให้รู้จักใจของแต่ละคนซึ่งมีตั้งแต่เกิดจนตาย จะจบไหม เพราะใจหลากหลายมาก เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวรักเดี๋ยวชัง เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ นั่นคือสภาพของใจ ไม่ใช่รูปร่างกาย รูปร่างกายไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น
ก่อนอื่นให้ทราบว่าแม้แต่คำว่า ดีต่อใจ ต้องหมายความว่า สิ่งนั้นปรากฏให้รู้กับใจที่กำลังรู้สิ่งนั้น อย่างเช่น เห็นขณะนี้มีสิ่งที่กระทบตาแน่ๆ ถ้าหลับตาก็ไม่ปรากฏ แต่เพราะเหตุว่าลืมตาแล้วสิ่งนั้นกระทบตา ก็กำลังปรากฏสีสันวัณณะต่างๆ ที่กำลังอยู่ตรงนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ดีต่อใจหรือเปล่า พูดมาตั้งหลายครั้งใช่ไหมว่า ดีต่อใจ ดีต่อใจ แต่ต้องชัดเจนว่าเมื่อไหร่ อะไรดีต่อใจ ตอนนี้ตอบได้ไหม กำลังเห็นพวงมาลัยดอกมะลิ ดีต่อใจไหม ดีต่อใจ สิ่งที่ปรากฏต่อใจเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นเองดีต่อใจ
เราพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตายมานานมาก แล้วจะพูดต่อไปอีกถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราเคยได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แต่รู้ไหมว่าธรรมคืออะไร ธรรม คือคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้ความจริง จนกว่าพระองค์จะทรงแสดงคำทุกคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง เพราะพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ จึงทรงพระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธคือผู้รู้ ผู้ที่เป็นพุทธเจ้าคือสูงสุด ไม่มีใครเปรียบได้เลย สัมมาสัมพุทธ ตรัสรู้ความจริงที่มีตามความเป็นจริงโดยชอบทุกอย่าง เราเคยฟังคำของพระองค์กี่คำ แต่พระองค์ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา
ทุกคนอาจจะจำได้ตอนเป็นนักเรียน ที่มีการกล่าวถึงพระพุทธประวัติว่า พระองค์ทรงตรัสรู้เมื่อไหร่ ทรงแสดงธรรมนานเท่าไร แล้วก็ปรินิพพานเมื่อไหร่ แต่เคยฟังคำของพระองค์ไหม พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่เราพูดทุกวัน อย่างดีต่อใจก็พูด แต่ว่ารู้ไหมขณะเห็น ดีต่อใจหรือเปล่า ขณะได้ยินเสียงปรากฏ ดีต่อใจหรือเปล่า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
