ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168


    ตอนที่ ๑๑๖๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ อารมณ์ของจิตสำคัญไหม

    ผูู้ฟัง สำคัญ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอารมณ์กระทบ จิตจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ดังนั้น อารัมมณปัจจัย สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อาศัย ที่ทำให้สภาพธรรมทุกอย่างปรากฏได้ คือ ธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น มีธาตุที่กระทบจิต มีสิ่งที่กำลังกระทบตาเดี๋ยวนี้ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง แล้วก็เป็นปัจจัยด้วย ถ้าไม่มีธาตุที่กระทบตา จิตเห็นเกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ปัจจัยหนึ่งของจิตเห็น คือ อารมณ์ อารมณ์จึงเป็นอารัมมณปัจจัยของจิต เมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ต้องมีอารัมมณปัจจัยทุกขณะที่ทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ตามที่จิตกำลังรู้ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่จิตรู้เป็นปัจจัย คือ อารัมมณปัจจัย ที่เราเรียกธรรมดาว่า อารมณ์ เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้ อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ขาดอารมณ์ไม่ได้ ถ้าขาดอารมณ์จิตก็เกิดไม่ได้ ดังนั้น อารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเกิดขึ้น อารมณ์เป็นปัจจัยทำให้อะไรเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ทำให้จิตเห็น

    ท่านอาจารย์ ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น

    เพราะฉะนั้น อารมณ์เป็นปัจจัย จิตที่เกิดรู้อารมณ์นั้นเป็น ปัจจยุปบัน สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยนั้น เท่านั้นเอง มาจากคำว่า ปัจจย กับ อุปปันนะ แปลว่า เกิดปัจจัย ดังนั้น ปัจจยุปบันธรรม คือ ธรรมที่เกิดเพราะสิ่งนั้นเป็นปัจจัย เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มีเหตุ ก็ต้องมีผล เมื่อเหตุเป็นปัจจัย ผลก็คือ ปัจจยุปบันธรรม เราก็พูดสั้นๆ ว่าปัจจยุปบัน ถ้าเข้าใจปัจจัย ต้องรู้จักปัจจยุปบัน อารมณ์เป็นปัจจัย จิตเป็นปัจจยุปบัน เจตสิกเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุปบัน

    ผู้ฟัง จิต

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นปัจจยุปบัน จิตเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุปบัน

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิกเป็นปัจจยุปบัน โดยสหชาตปัจจัย เกิดพร้อมกัน และยังเป็นสัมปยุตตปัจจัย เพราะเหตุว่า เกิดพร้อมกัน แต่ดับไม่พร้อมกันก็มี แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดพร้อมกัน เป็นธาตุรู้ด้วยกัน รู้สิ่งเดียวกัน เพราะจิตต้องเกิดขึ้นรู้ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็รู้สิ่งเดียวกัน เกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน ดับพร้อมกัน แล้วเกิดที่เดียวกันด้วย

    ผู้ฟัง เกิดที่เดียวกันด้วย

    ท่านอาจารย์ เกิดที่ไหน จิตเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง ถ้าจิตเห็น ก็เกิดที่ตา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเกิดที่รูป โดยมี ๖ รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เป็นวัตถุปุเรชาตนิสสยปัจจัย หรือ จะใช้คำว่า ปุเรชาตะ คือ คำพูดนี้ก็พูดได้เหมือนภาษาไทยเลย ถ้าเราเป็นชาวมคธ ตื่นขึ้นมาก็พูดภาษาบาลี ไม่ได้พูดภาษาไทยสักคำ ก็เหมือนกันเลย แต่เราได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของธรรม เราพูดภาษามคธไม่ได้ แต่เราเข้าใจคำนั้น โดยการศึกษาว่าหมายความว่าอะไร ก็คือภาษาไทยที่เราใช้ธรรมดา

    ผู้ฟัง ทันสมัย ก็เป็นภาษามคธหรือ

    ท่านอาจารย์ สมยะ เป็นภาษาบาลี แต่ ทัน ไม่ใช่ ทัน เป็นภาษาไทย ซึ่งเราใช้บาลีปนไทยมาตลอด ทันสมัย คิดดู ไม่ใช่เมื่อวานนี้ ไม่ใช่เมื่อก่อนนี้ แต่ทันสมัยคือเดี๋ยวนี้ แต่เดี๋ยวนี้ใครจะทันสมัยเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสมัยคือหนึ่งขณะ ทัน ที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร มีใครทันบ้าง เพราะฉะนั้น ทุกคนที่คิดว่าทันสมัย ไม่ได้ทันสมัยเลย

    ผู้ฟัง ไม่ทันสมัยเท่ากับพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะคิดว่าศาสนาคร่ำครึได้หรือ ในเมื่อทันสมัยทุกกาลสมัย ไม่มีสมัยไหนที่ไม่เห็น ไม่มีสมัยไหนที่ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์ทันสมัย ให้เข้าใจสิ่งที่มีในแต่ละสมัย ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกับบุคคลอื่นโดยสิ้นเชิง

    ยิ่งเข้าใจธรรม ยิ่งเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมไม่มีทางเลย จะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน กราบไหว้นมัสการเช้าค่ำ ก็ไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" เห็นพระปัญญาคุณ ตรัสรู้สิ่งซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ที่ทรงแสดงเพียงใบไม้สองสามใบเมื่อเทียบกับใบไม้ในป่า คือ พระปัญญาของพระองค์

    เพราะฉะนั้น ความบริสุทธิ์จากความไม่รู้ทั้งหลาย จากอกุศลทั้งหลาย ไม่มีใครเท่าพระองค์ พระบริสุทธิคุณที่ทรงแสดงธรรมด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นเลยทั้งสิ้น ด้วยพระมหากรุณา ความกรุณาสัตว์โลก ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด อยู่ที่ไหน มนุษย์สวรรค์ พรหม ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง

    พระมหากรุณาไม่ได้จำกัดเฉพาะโลกนี้ สัตว์โลกอยู่ที่ไหนที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ แม้อยู่ไกลพระองค์ก็เสด็จไปโปรด โรงช่างหม้อ คิดดู ไม่เหมือนเตียงตั่งในพระราชวังเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่ามีผู้อยู่ที่นั่นที่แสนไกล แต่สะสมมาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจึงเสด็จไปโปรด และประทับในโรงช่างหม้อ ไม่ว่าอากาศจะหนาวเย็นอย่างไรก็ตาม หิมะตกที่พุทธคยาในครั้งโน้น มีเหตุที่จะให้ทรงแสดงธรรมก็ประทับนั่งคลุมศีรษะ เพื่อให้เขาอยากรู้ว่านี่เป็นใคร ทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำด้วยพระมหากรุณาทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้จริงๆ ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่คำของคนอื่น จึงมีเกจิอาจารย์

    เกจิ คือ พวกอื่น ดังนั้น เกจิอาจารย์ คือ อาจารย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าอื่น ก็ต้องไม่ตรงกับคำของพระองค์ใช่ไหม จึงเป็นอื่น ไม่มีสำนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน ไม่มีสำนักปฏิบัติ ทั้งๆ ที่ท่านให้อาหารคนอนาถา แต่ก็ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติ เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิด

    เดี๋ยวนี้ ที่นี่มีอะไรบ้าง

    อ.คำปั่น มีคน มีกล้อง มีไมโครโฟน มีดอกไม้ เป็นต้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรม จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหม

    อ.คำปั่น ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีแต่ละธาตุ จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหม

    อ.คำปั่น ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อเกิดขึ้นและดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ใครรู้ว่า ขณะนี้แต่ละหนึ่งที่มีจริงกำลังเกิดดับ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ฟังแล้วเข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นเอง เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงนี้มานานเท่าไหร่ว่า จริงๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีธรรมหรือมีธาตุแต่ละหนึ่ง จะไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ แต่ละหนึ่งที่ปรากฏเป็นอย่างหนึ่งๆ ให้รู้ได้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นเก้าอี้ เพราะว่าสิ่งที่มีจริงนั้นเกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่มีสิ่งที่เกิดสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ และมากด้วย จึงปรากฏว่ามีหลายอย่าง แต่แต่ละหนึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีธรรม หรือ มีธาตุที่มีจริงๆ กำลังเกิดดับ แต่เพราะเร็ว เกิดดับเร็วและรวมกัน จึงปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ไม่ต้องเรียกชื่อเลย แต่ละหนึ่งในขณะนี้มีรูปร่างสัณฐาน ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ไหมว่า รูปดอกไม้ไม่ใช่รูปใบไม้ โต๊ะก็แข็ง เก้าอี้ก็แข็ง แต่รูปไม่เหมือนกัน มี ๔ ขาเหมือนกันด้วยใช่ไหม แต่อย่างหนึ่งก็จำไว้เลยว่า นั่นโต๊ะ นี่เก้าอี้ โต๊ะมีที่พิงไหม มีที่พิงเมื่อไหร่เป็นเก้าอี้เมื่อนั้น แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดรวมกัน

    เด็กเกิดใหม่ อะไรเกิดถ้าไม่มีธรรม คือ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป จะมีอะไร หรือมีเด็กเกิดไหม ตั้งแต่อยู่ในท้อง คือ อยู่ในครรภ์ของมารดา ขณะแรกของจิต เจตสิก และรูปที่เกิดขึ้น ขณะนั้นขณะเดียวชื่อว่า ปฏิสันธิขณะ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น ก็เป็นปฏิสนธิจิต ขณะแรกของชาตินี้ เกิดพร้อมกับเจตสิก รวมกันก็เป็นปฏิสนธิเจตสิก

    ทำไมเราไม่พูดบ่อยๆ ว่าจิต เจตสิก พูดแค่จิตคำเดียวได้ เพราะเหตุว่าจิตต้องเกิดกับเจตสิกทุกครั้ง ถ้ามีความเข้าใจแล้วเราก็บอกว่า จิตเกิด แต่คนที่เข้าใจแล้วก็รู้ว่า ไม่ใช่เฉพาะจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น จึงมีคำอีกคำหนึ่งว่า จิตตุปปาท การเกิดของจิต ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ที่กล่าวชื่อ จิต เพราะจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานของการรู้แจ้ง ด้วยเหตุนี้ พูดถึงจิตประเภทใด ให้เข้าใจว่าต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง

    เพราะฉะนั้น ขณะเกิดก็มีจิต มีเจตสิก เป็นผลของกรรมหนึ่ง เลือกเกิดได้ไหม ชาตินี้เลือกไม่ได้ ชาติหน้าเลือกได้ไหม ชาติไหนๆ ก็เลือกไม่ได้ เพราะอะไร ทำไมเราเลือกเกิดไม่ได้ เพราะอะไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำว่าทั้งหลาย ไม่มีช่องว่างให้เว้นอย่างหนึ่งอย่างใดเลยทั้งสิ้น

    คำไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว เปลี่ยนไม่ได้เลย เลือกเกิดไม่ได้ สะสมปัญญาเอาไว้ เลือกเกิดให้มีปัญญาได้ไหม แล้วแต่กรรม กรรมที่ทำมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ กุศลกรรมก็มี กรรมที่ดีก็มี อกุศลกรรมก็มี กุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ทานที่ให้ไปก็เป็นศีล ซึ่งไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยทั้งหมด ดังนั้น เวลาให้ผล จะมีปัญญาที่ไหนมาเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นมีปัญญาได้ เพราะฉะนั้น เหตุกับผลต้องตรงกัน

    การเกิด ทรงจำแนกไว้ว่าต่างกันโดยกรรม ถ้าเป็นอกุศลกรรม มีจิตเดียวที่เกิด คือ อกุศลวิบากจิต จิตเห็นไม่ทำปฏิสนธิกิจ จิตได้ยินก็ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ ด้วยเหตุนี้ ศึกษาให้ละเอียดขึ้น เพื่อที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งยึดถือความเป็นเราไว้หนาแน่น คือ ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ การที่จะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ก็เป็นไปได้ตามกำลังของความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่เป็นผลของกรรม เกิดขึ้นขณะแรกในชาตินี้ โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา หรือ จะพิการตั้งแต่กำเนิด ไม่มีใครช่วยได้เลย เพราะทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะไม่มีใคร แต่เหตุซึ่งเป็นกรรม เป็นปัจจัยที่จะให้ผลเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะแรกของจิต

    จิต เจตสิก เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมซึ่งทำไว้ตั้งแสนโกฏิกัปป์ แต่จิตเป็นธรรมที่สะสมกิเลส กรรม และวิบาก เพราะฉะนั้น วิบากเกิดขึ้นแล้วตามกรรมและกิเลสที่สะสมมา ด้วยเหตุนี้ เกิดมาโดยกรรมที่เป็นกุศลถ้าเกิดเป็นมนุษย์ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเป็นผลของอะไร กรรมไหนที่ทำให้เกิดมาเป็นคนนี้ แต่ถ้ามีปัญญาเกิดร่วมด้วย ได้มีโอกาสฟังธรรม ได้มีโอกาสเข้าใจถูก แสดงว่าได้สะสมปัญญามาแล้ว พอที่ฟังแล้วเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด สามารถจะทิ้งสิ่งผิดได้ นั่นคือปัญญา แต่ถ้ายังทิ้งสิ่งที่ผิดไม่ได้ ไม่ใช่ปัญญา เพราะยังมีความเข้าใจผิด ขณะที่เป็นความเข้าใจผิด ไม่เห็นว่าขณะนั้นอะไรถูก อะไรผิด

    ด้วยเหตุนี้ แต่ละหนึ่งก็คือ ธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย รูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต เลือกไม่ได้อีกเหมือนกัน เป็นกัมมชรูป กรรมทำให้รูปนั้นเกิดขึ้น เพียงขณะแรกที่เกิด ไม่มีความเป็นตัวตนที่จะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะปรากฏรูปร่างเป็นหญิง เป็นชาย แต่มีธรรมที่รวมอยู่ในที่นั้น ที่จะทำให้เกิดดับสืบต่อ เมื่อใหญ่ขึ้นก็รู้ว่าเป็นคน หรือเป็นมด หรือเป็นช้าง จากเล็กที่สุดที่มองไม่เห็น ในขณะแรกซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด พูดถึงอะไรถ้าเข้าใจก็คือเป็นธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นเรา ยืนยันอยู่อย่างนั้นว่าเป็นเรา เพราะเห็นผิดว่าเป็นเรามานานแสนนาน

    ด้วยเหตุนี้ ประโยชน์ของการฟังธรรม คือ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เงินซื้อได้ไหม อยากได้ปัญญาเหลือเกิน สักแสนพันล้านซื้อปัญญาสักหนึ่งได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะมีค่าเกินกว่าที่จะประมาณได้ เพราะว่าเงินไม่สามารถจะซื้อได้ ทรัพย์สินใดๆ ก็ไม่สามารถจะซื้อปัญญาได้ ปัญญาเป็นสิ่งที่มีค่า คือ ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ ทั้งสิ้น ใครให้ มาจากไหน จากพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คราวนี้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ก็รู้จักปัญญาของพระองค์ พระบริสุทธิคุณ เพราะปัญญาจึงไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น ดับกิเลสได้ และพระมหากรุณาคุณ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ ทีนี้กราบไหว้ถูกแล้วใช่ไหม

    พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ไม่อย่างนั้นกราบตรงไหน ตรงชื่อ พระพุทธรูป แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธรูป ไม่มีสักองค์เดียวที่จะเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ต่อให้เป็นนายช่างที่มีความเชี่ยวชาญสามารถวิเศษสักปานใด ก็ไม่สามารถที่จะทำรูปให้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นพระพุทธรูปก็เพียงเตือนให้ระลึกถึงพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่านั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงพระคุณ พระพุทธรูปองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์ เป็นโลหะใช่ไหม แล้วศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน ดังนั้น ความเข้าใจถูกต้องนี้จะทำให้ตรง แล้วก็ละความเห็นผิด ผ้ายันต์เครื่องรางของขลัง อะไรๆ ทั้งหมดศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า แค่รูป แค่ผ้า แค่ไม้ แค่โลหะ จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ทางบ้านธัมมะ เราก็คุยกันหลายรอบในเรื่องของ วิถีจิตแต่ละวาระ เห็นแล้วก็ได้ยิน มีรายละเอียดสภาพธรรมอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่า วิถีจิตคืออะไร

    ผู้ฟัง เป็นจิตที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ท่านอาจารย์ แสดงว่า ต้องมีจิตที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่ไหม การศึกษาไม่ใช่ว่านำเรื่องนั้นขึ้นมาพูดถึง แต่ไม่เข้าใจความละเอียด ถ้ากล่าวอย่างนี้หมายความว่า จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยอาศัยทางหนึ่งทางใด รู้สิ่งที่ปรากฏเพราะกระทบทางนั้น เป็นวิถีจิต เพราะฉะนั้น หมายความว่าจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตก็มี ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร

    ผู้ฟัง วิถีมุตตจิต

    ท่านอาจารย์ คำว่า วิถีมุตตจิต หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง พ้นจากวิถี

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รู้อารมณ์ได้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า จิตเป็นธาตุรู้ เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้ ไม่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ รูปเกิดขึ้น รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รูปเกิด รู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แสดงว่าอย่างไรๆ รูปก็รู้ไม่ได้ จะไปทำอย่างไรให้รูปรู้ รูปก็รู้ไม่ได้ แต่สำหรับจิต ธาตุรู้ บอกแล้วว่าธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกจิตรู้ คือ อารัมมณะ หมายความว่า อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช้คำว่า อาลัมพนะ ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่คนไทยเรามักจะพูดว่า อารัมมณะ ดังนั้น จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตก็มี เกิดขึ้นต้องรู้ จิตขณะแรกเกิดขึ้น เป็นวิถีจิตหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นวิถีมุตตจิต

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดขึ้นรู้ ใช่ไหม แต่ก็รู้ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต รู้อารมณ์ไหม

    ผู้ฟัง รู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้น การศึกษาของเรา ต้องเป็นคนที่เข้าใจในแต่ละคำอย่างมั่นคง ฟังด้วยความใส่ใจ สนใจว่า จิตเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใด ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่คิดนึกก็ได้ แต่ว่าจิตเกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ใช่ ต้องรู้

    ท่านอาจารย์ เจตสิก

    ผู้ฟัง ก็รู้

    ท่านอาจารย์ แตกต่างกับจิต

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต ทั้งๆ ที่เป็นธาตุรู้ด้วยกัน ตอนเกิดขณะแรก จิตรู้อารมณ์อะไร ทุกคนที่นี่รู้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจคำว่า ทวาร มิฉะนั้นเราก็เพียงพูดตาม ใช่ไหม จิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ แต่มีจิตที่รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย เป็นทวารวิมุตต ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ พ้นจากทวาร เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่วิถีจิต เป็นอะไร

    ผู้ฟัง วิถีมุตตจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้เลย จิตในขณะที่เกิดต้องมีอารมณ์ แต่เมื่อไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใด อารมณ์ของจิตจึงไม่ปรากฏ แต่จิตเกิดขึ้นต้องมีอารมณ์ อารมณ์ของปฏิสนธิจิตไม่ใช่โลกนี้ เพราะไม่อาศัยตาเห็นโลกนี้ โลกคือเดี๋ยวนี้ อาศัยหูได้ยินเสียงของโลกนี้ คือเสียงนี้ อาศัยจมูกรู้กลิ่นที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นวิถีจิตทั้งหมด แต่ปฏิสนธิจิตไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้นึกคิดอะไร แต่จิตเกิดขึ้นที่ไหนต้องรู้อารมณ์

    ดังนั้น อารมณ์ของจิตไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่จิตต้องเกิดขึ้นรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้น ก็แบ่งจิตออกได้เป็นสองประเภท จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจิตที่เกิดขึ้นโดยรู้อารมณ์ แต่ไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ จึงไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์ของจิตไม่ปรากฏ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องมีอารมณ์

    ผู้ฟัง มีอารมณ์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อารมณ์ของปฏิสนธิจิต คือ อารมณ์ที่ใกล้จุติของชาติก่อน เพราะว่าหลังจากจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น เพราะฉะนั้น ธรรมดาเวลาที่เห็นแล้ว จิตทางใจรับรู้ต่อ เวลาได้ยินแล้ว จิตทางใจก็รับรู้ต่อ แต่ว่าขณะที่เกิด ไม่มีจิตทางใจที่จะไปรับรู้ต่อ แต่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของจิตใกล้จุติของชาติก่อน

    ก่อนตายใครรู้บ้างว่าจะมีอารมณ์อะไร จะเห็น หรือจะได้ยิน หรือจะได้กลิ่น หรือจะคิดนึก ก็แล้วแต่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เวลาที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตรับรู้ต่อทันที เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตของชาตินี้ มีอารมณ์เดียวกับจิตก่อนจุติของชาติก่อน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    14 ก.ย. 2568