ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
ตอนที่ ๑๑๕๒
สนทนาธรรม ที่ บ้าน มล.ดร.ญาศินี จักรพันธ์ จ.เชียงใหม่
วั
นที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ผัสสะเจตสิกรู้ไม่ได้ แต่โลภะความติดข้องรู้ได้ โทสะความโกรธความขุ่นเคืองรู้ได้ ขณะที่กำลังเข้าใจก็เป็นธรรม เห็นไหมว่าต้องน้อมมาที่ขณะที่เข้าใจก็เป็นธรรม แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็คือว่าเราเข้าใจ และเราเข้าใจขึ้นด้วย ทุกวันที่ฟังเราก็เข้าใจขึ้น คือความเป็นเราอยู่ที่ทุกอย่าง อยู่ครบที่ขันธ์ทั้ง ๕
อ.ชุมพร หมายความว่าธรรมเข้าใจก็เข้าใจ แต่ว่าไปสำคัญผิดว่าเราเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตัวที่จะละออกก็คือตัวเรานี่เอง เพราะทุกอย่างเป็นเราหมด เข้าใจก็เป็นเรา ไม่เข้าใจก็เป็นเรา ชอบก็เป็นเรา ไม่ชอบก็เป็นเรา ทุกอย่างทั้งหมด
อ.อรรณพ แสดงถึงความมากมายของความยึดถือ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ความเป็นเราอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ หมายถึงว่า ความเป็นเราอยู่ในแข็ง
ท่านอาจารย์ ความเป็นเราและเมื่อมีเราก็มีของเรา เพราะฉะนั้น แข็งที่เป็นเราก็มี แข็งที่เป็นของเราก็มี เพราะมีเรา
อ.อรรณพ ความเป็นเราอยู่ในสภาพธรรมเหล่านี้อย่างครบถ้วน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ เราจะรู้ไหมว่าฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจก็ไม่ใช่เรา เพื่อความเข้าใจและจะได้ทำหน้าที่ของความเข้าใจที่จะไปละความเป็นเรา
อ.อรรณพ ความเป็นเราอยู่ในสี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ความรู้สึกนึกคิด อะไรทุกสิ่งทุกอย่างหมดครบถ้วน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แค่วันนี้ที่เป็นเรา คิดดู ไม่ใช่แค่วันนี้ ไม่ใช่แค่ปีนี้ ไม่ใช่แค่ชาตินี้ นานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น การที่จะค่อยๆ ละความเป็นเราก็มีทางเดียวคือเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรา เป็นปัญญาเจตสิกซึ่งจะทำหน้าที่ของปัญญา ใครทำหน้าที่แทนปัญญาไม่ได้เลย โลภะอยากจะมีปัญญาสักเท่าไหร่ โลภะก็ทำหน้าที่แทนปัญญาไม่ได้
ผู้ฟัง ขณะที่เข้าใจนั้นคนละขณะกับเรา
ท่านอาจารย์ คนละขณะทั้งหมด ถ้าจะรู้ความน่าอัศจรรย์ของธรรม ธรรมหนึ่งเกิด ธรรมหนึ่งที่เกิดนั้นดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นเจตสิก ไม่ว่าจะเป็นรูป ไม่ว่าจะชาติไหน ขณะไหน เพราะฉะนั้น นับประมาณธรรมไม่ได้เลย
จิตเมื่อครู่นี้เอง แค่เมื่อครู่นี้ก็ปรุงแต่งให้เป็นจิตขณะนี้เเล้ว เมื่อตอนแรกเราฟังและเราคิดใช่ไหม เมื่อคิดแล้วเราก็ถาม ถามแล้วเราก็คิด ก็ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนฟัง เมื่อฟังก็คิดเรื่องที่ฟัง แล้วก็ถามต่อเรื่องที่ฟัง แล้วก็เข้าใจเรื่องที่ฟัง และก็ปรุงแต่งต่อไปอีก คิดเรื่องที่ฟัง เรื่องอื่นต่อไปอีก ไม่มีวันจบสิ้น ให้ทราบความละเอียดว่าที่เราฟังแล้วนั้นเราเผินไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมมีแน่นอน ถ้าไม่มีธรรมจะมีอะไรไหม โลกจะมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เราจะมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ สิ่งของต่างๆ จะมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี แต่เมื่อมีธรรมเกิดขึ้น โลกเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น โลกะหมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ ถ้าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย โลกก็ไม่มีเลย แม้เเต่ดวงดาว ดวงจันทร์ ทะเลมหาสมุทร ก็เป็นธรรมที่เกิดเป็นอย่างนั้นๆ และแม้แต่รูปธรรม หรือนามธรรมก็ตามไม่เว้นเลย สิ่งที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ไม่จบ ไม่สิ้นสุดเลยไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม โดยไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่หนึ่งขณะ จึงประมาณไม่ได้ว่าจิตมีเท่าไหร่ แม้แต่คนหนึ่ง เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน เห็นดับแล้ว จิตก่อนเห็นต้องดับก่อน แล้วถึงมีจิตเห็น เมื่อจิตเห็นดับ จิตอื่นก็เกิดสืบต่อทีละหนึ่งขณะ ไม่กลับมาอีกเลย
ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ค่อยๆ รู้ในความไม่ใช่เราก็เป็นประโยชน์ เพราะว่าค่อยๆ สะสมความเป็นธรรมไม่ใช่เรา ถึงจะเข้าใจธรรมขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะปัญญาก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรเหลือเลย
เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือ ฟังธรรมให้จรดกระดูก ให้ลงไปถึงใจว่าไม่มี ถ้ามีก็ติดข้อง ไม่ว่ามีอะไรทั้งหมดสักอย่างก็ติดข้อง มีโต๊ะก็ติดข้อง มีดอกไม้ก็ติดข้อง มีคนก็ติดข้อง ติดข้องหมดเมื่อมี แต่ถ้าไม่มีจะติดข้องได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าแท้จริงที่ถูกที่สุดก็คือไม่มี สุญญตา อนัตตา เพราะว่านี่ไงมี แล้วจะบอกว่าไม่มี แต่ถ้าบอกว่าสิ่งที่มีนั้นเกิดและดับ แล้วไม่กลับมาอีก อยู่ไหน เหมือนก่อนเกิดมี เช่น เสียง ก่อนเกิดไม่มีเสียง เมื่อเกิดแล้วเสียงนั้นหมดไป ไหนเสียง ก็ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างคือ ไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็ไม่มี
ถ้ายังคงคิดว่ามี อย่างเรานั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ มีดอกไม้มีอะไรก็ติดไปหมดเพราะมี แต่ถ้าไม่มี แค่เห็นแล้วดับ สิ่งที่เห็นนั้นไม่มีอีกเลย ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นๆ ๆ ก็จะค่อยๆ ละคลายว่าแม้การฟังธรรมก็รู้ว่าไม่มีสักอย่าง แต่ปัจจัยทำให้เกิดมีแล้วก็ดับเท่านั้นเองในสังสารวัฏฏ์
คำไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ผิด เพราะว่าตรัสรู้ถึงที่สุดอย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เราเห็นสิ่งหนึ่ง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่หนึ่งเดียว แต่ยังมีสิ่งอื่นรวมอยู่ในสิ่งนั้น แต่ไม่ปรากฏ อย่างเราเห็นดอกไม้หนึ่งดอกกี่กลีบ แค่กลีบเดียวนี้ แตกย่อยจนเป็นสิ่งที่อ่อนหรือแข็งละเอียดยิบ แต่ที่ใดที่มีอ่อนและแข็ง ที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตาได้ ให้รู้ว่ามีแข็งอยู่ตรงนั้นแต่แข็งไม่ได้กระทบตา แต่สิ่งที่อยู่ตรงแข็งที่กระทบตาแสดงสีสันวัณณะว่ามีสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น สีสันวัณณะต้องอยู่ที่มหาภูตรูปแต่ปรากฏเพียงหนึ่งคือสี แต่ตัวมหาภูตรูปแม้มีก็ไม่ปรากฏ แสดงว่าการตรัสรู้ของพระองค์ เพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏ พระองค์ตรัสรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ในที่นั้นซึ่งเกินกว่าหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก เพราะสีก็ไม่ใช่แข็ง และก็มีกลิ่นด้วย กลิ่นก็ไม่ใช่สี และก็มีรสด้วย รสก็ไม่ใช่แข็ง โดยที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งอย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เพื่อให้รู้ว่าไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ ถ้าใจของเราน้อมไปสู่ความไม่มี เราละแน่เลย แต่ว่าที่เรายังติดอยู่ก็เพราะมีให้เห็นว่าไม่ได้ดับ แม้เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ เรายังคงติดข้องอยู่
การฟังธรรมจากนี้ไปจนถึงปัจจัยที่ทำให้มี ก็ยิ่งเห็นความเป็นสิ่งซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นจะบังคับไม่ให้จิตเกิดได้ไหม เกิดแล้ว บังคับไม่ให้เจตสิกเกิดได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย บังคับให้รูปไม่เกิดได้ไหม ไม่ได้ จึงต้องมีจิตเจตสิกเกิดดับไม่รู้จบ โดยบังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นอนัตตา แต่ว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน จึงมีคำว่าสุญญตา แล้วถ้าเราคิดถึงความว่าไม่ใช่เรา แต่ลืมไปว่าแม้สิ่งที่มีก็หามีไม่อีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์ หายไปเลย สูญไปเลย จะค่อยๆ ละคลายการติดข้อง ซึ่งที่เราเรียนก็เรียนเรื่องสิ่งที่มี แต่ว่าสิ่งที่มีนั้นก็แค่มีตรงที่มี แล้วก็หายไปเลยไม่กลับมาอีกเลย หาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์ ค่อยๆ สลด สลดที่นี่คือปัญญาที่รู้จริงๆ ว่าไม่มีอะไรที่มีค่า เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วเป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วยความไม่รู้ และความติดข้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเกิดต่อไปในสังสารวัฏฏ์ก็ยิ่งเพิ่มพูนกิเลสต่อไป และถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีใครรู้หนทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ จบสิ้นการเกิดไม่ได้ แต่ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ดับปัจจัยที่จะให้เกิดทั้งหมด
เพราะฉะนั้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับจึงไม่มีการที่จะเกิดอีกต่อไป เพราะผู้นั้นประจักษ์ชัดแจ้งว่าไม่มี เพียงมีเมื่อเกิด เดี๋ยวนี้ที่เรากำลังอยู่ที่นี่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้ หลับตา ลืมตาใหม่ไม่ใช่สิ่งเก่าแล้ว แค่หลับตาไปนิดเดียว สิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเก่า นี่เป็นความจริงขั้นฟัง ซึ่งค่อยๆ สะสมที่จะให้ถึงความไม่มีเราไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคิดดูว่าวันนี้ทั้งวันเราห้ามไม่ให้อะไรเกิดได้ไหม ไม่มีเลย แต่ไม่รู้สักอย่างว่าห้ามไม่ได้ คิดว่าเป็นเราทำได้หมดทุกอย่าง ทำเสร็จแล้วด้วย ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ปกปิดไว้มากมายมหาศาล ต้องอาศัยการฟังด้วยความแยบคายว่า ธรรมเป็นอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งใครที่มีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้รู้ได้เลยว่าสิ่งนั้นไม่มี แล้วยังติดข้องเหมือนยังมีอยู่ ฉลาดไหม ถ้าจะใช้คำตรงๆ ก็คือว่าโง่ เพราะว่าไม่ใช่เรา อวิชชาความไม่รู้โง่ ตรงกันข้ามกับปัญญา จะเปลี่ยนอวิชชาให้ฉลาด ให้รู้ก็ไม่ได้ แต่ปัญญาค่อยๆ รู้ขึ้น อวิชชาก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
ดังนั้นไม่ว่าจะชาติไหนก็ตามไม่เหลือ ชาตินี้เกิดเป็นเราได้ชาตินี้ชาติเดียว และกำลังไม่เหลือทุกขณะ เห็นเมื่อครู่นี้หมดแล้ว คิดเมื่อครู่หมดแล้ว รู้สึกพอใจไม่พอใจเมื่อครู่หมดแล้ว หมดแล้วไม่กลับมาอีกด้วย แต่มีสังขารขันธ์ปรุงแต่งใหม่ให้เป็นสิ่งที่เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เปลี่ยนไป ในความรู้สึกของเราเหมือนมีอยู่ตลอดเวลาแต่เปลี่ยนไป แต่ลึกกว่านั้นก็คือไม่ใช่เปลี่ยนไป เเต่หมดไปแล้วก็เกิดใหม่ ไม่ใช่สิ่งเก่าเลย แล้วก็มากมายมหาศาลจนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดับไปเลย
ผู้ฟัง คือธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์พูดนี้ไม่สามารถหาฟังได้จากที่อื่น แต่ก็มีคนที่มาฟังที่นี่ก็ยังไปแสวงหาฟังที่อื่นอีกมากมาย
ท่านอาจารย์ ยิ่งเห็นชัดในความเป็นธรรมดา ธรรมดามาจากคำว่าธรรมตา ตาคือความเป็นไปของธรรม ใครเปลี่ยนได้ ฝนตก ไม่ให้ตกได้ไหม ฟ้าร้อง ไม่ให้ร้องได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่มีประโยชน์ที่จะบอกเขาเลย
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่พระวิหารเชตวัน อาจารย์อื่นอยู่ไม่ไกล เขาก็ไปหาอาจารย์อื่น แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่เคยสะสมปัจจัยที่จะให้ได้ยินก็ไม่มีโอกาสเลย แม้ได้ยินแล้ว ที่แต่ละคนจะเข้าใจกันก็ตามที่เคยสะสมมามากน้อยต่างกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แค่คำว่าปัจจัย ไม่ต้องแจกเเจงว่าเป็นปัจจัยอะไรบ้าง แค่ปัจจัยคำเดียวรู้ซึ้งหรือยังว่า ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสมที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้นไม่ได้
ผู้ฟัง คือหลายๆ คำที่ท่านอาจารย์พูดบางคนก็ไปคิดเอง อย่างคำว่าน้อม เขาก็ไปพยายามที่จะน้อม คิดจนกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย
ท่านอาจารย์ ตัวตนพยายามน้อม แต่หน้าที่ของปัญญาที่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยกำลังน้อมอยู่ ไม่มีใครไปน้อมได้เลย แต่ปัญญาที่เข้าใจนั่นเองที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเท่าไหร่ ก็กำลังน้อมไปสู่การเข้าใจสิ่งที่พูดถึงแต่ละหนึ่ง พูดถึงเห็นหนึ่ง พูดถึงได้ยินหนึ่ง ความเข้าใจวันหนึ่งก็จะค่อยๆ ไปสู่เข้าใจเห็นขณะที่กำลังเห็น ต้องในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมีจึงสามารถที่จะเข้าใจความเป็นสิ่งนั้นได้
อ.ชุมพร ฟังเข้าใจ ทันทีทันใดความไม่รู้ ความเป็นตัวเราแทรกเข้ามา ตัวเองก็ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เห็นความเป็นอนัตตาไหม ได้ยินจนชินหู แต่ไม่ชินกับความเป็นอนัตตา และลักษณะของอนัตตาเลยสักอย่าง ที่คิดขึ้นมาอย่างนี้ก็แสดงความเป็นอนัตตาของความคิดชัดเจนว่า ใครห้ามคิดได้ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมของแต่ละคนต่างกันมาก ส่วนใหญ่ถ้าไม่เข้าใจจะแต่ง ต่อ เติม แค่คำเดียว พูดว่าทุกอย่างเป็นธรรมยาวมาเลย ทั้งแต่ง ทั้งต่อ ทั้งเติม แต่ว่าถ้าไม่แต่ง ไม่ต่อ ไม่เติม ฟังคำต่อไปโดยไม่มีความคิดของตัวเองเข้ามาแทรกเหมือนขยะ และกว่าจะเอาขยะที่เป็นความคิดของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไป ให้ได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ขยะที่แทรกเข้ามาทำให้ไม่เข้าใจคำนั้น
เพราะฉะนั้น เวลาฟังจะเห็นได้เลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับทอดพระเนตรลงต่ำ เพราะว่าคนอื่นนั่งต่ำกว่าพระองค์ ตรัสคำด้วยพระมหากรุณา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะใครกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้ก่อนฟัง หรือแม้ฟังแล้วคิดอะไรอยู่ก็ได้ใช่ไหม แต่เตือนว่าพระองค์กำลังจะตรัสคำนี้ เพราะฉะนั้น ควรที่จะฟังคำของพระองค์ แต่ก็ยากเพราะไม่ว่าสภาพธรรมที่สะสมมา สะสมมาแล้วจะให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นก็เป็นไปไม่ได้
ปัญญาทุกระดับ ความคิดสามารถแทรกเข้ามาได้โดยความเป็นอนัตตา เพื่ออะไร ให้เห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น ไม่ให้เดือดร้อนว่าทำไมเราไม่ฟัง เผลอไปอีกแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็คือความเป็นตัวตน โดยที่ตัวตนต้องหมดเกลี้ยงจริงๆ ไม่เหลือเลย ไม่ว่าที่รูป ที่ความรู้สึก ที่ความจำ เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังจำ ไม่ปรากฏลักษณะจำให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงแม้ขณะกำลังจำเดี๋ยวนี้ เมื่อจำไม่ได้ปรากฏ แล้วจะไปรู้ว่าจำไม่ใช่เราได้อย่างไร เป็นแค่สภาพที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
คำว่าธรรมอย่างหนึ่ง ก็จะต้องแยกประเภทเป็นนามธรรม และรูปธรรม เพราะว่าลักษณะของนามธรรมทั้งหมดไม่มีรูปธรรมใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เช่น คิด มีรูปไหนเจือปน ได้ยิน มีรูปไหนเจือปน เสียงไม่ใช่ได้ยิน และขณะนั้นก็เป็นธาตุที่ได้ยินเสียง แต่ต้องมีเจตสิกที่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะรู้เลย ฟังธรรมเป็นเรื่องเป็นราว เป็นความสนใจด้วยความเป็นเรา แต่ลืมว่าฟังเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา จะเข้าใจแค่ไหนก็ตามคือไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตา
ดังนั้นจึงต้องไม่ลืม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำนี้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะแม้คิดเรื่องอื่นก็เป็นอนัตตา กำลังเข้าใจก็เป็นอนัตตา คือไม่ใช่เรา มีแค่ขณะที่เกิด และก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐
อ.คำปั่น เบื้องต้นที่จะได้เข้าใจถึงความเป็นจริงของความไม่รู้ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ทุกคนก็รู้กันมามาก ที่จะกล่าวว่าไม่รู้ก็คงยาก แต่ถ้าบอกว่าไม่รู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอที่จะรับได้ใช่ไหมว่า ใครรู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ทุกคำที่ได้ฟัง คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำของคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เป็นความคิดของบุคคลนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ต้องเข้าใจว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ก่อนอื่นที่เราจะพูดถึงใคร เราก็ต้องรู้ว่าผู้นั้นเป็นใคร ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างคนที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ทุกคำต้องไตร่ตรอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ ละเอียดลึกซึ้งถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ใช่ไหม ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ซึ่งการที่เราจะรู้จักคนหนึ่งคนใดได้นั้น ถ้าแค่เห็นหน้าเราไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไรก็ไม่รู้ แม้แต่ผู้คนที่ในพระนครสาวัตถีเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต ก็ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบใดที่ไม่ได้ฟังคำของพระองค์จะรู้จักได้อย่างไรว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่มีใครแต่งตั้งให้ แต่เพราะพระปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว ทำให้เป็นผู้ที่ได้รู้ความจริงซึ่งยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ทั้งในโลกมนุษย์ สากลจักรวาล ทั้งเทวดาและพรหม พอจะรู้ไหมว่านี่คือคนที่เรากำลังจะฟังคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น
ก่อนฟังก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเราเป็นใคร เป็นผู้ที่รู้วิชาการมากมาย จบปริญญาสารพัดอย่าง แต่ว่าบุคคลที่รู้ความจริงซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งโลกก็รู้ไม่ได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วถึง ๔๕ พรรษา โดยแต่ละคำเป็นคำที่ลึกซึ้งและมีค่าอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเพียงฟังเผินๆ เเล้วจะเข้าใจ แต่ด้วยความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ต้องลึกซึ้งกว่าที่คิดมาก
ดังนั้นฟังแต่ละคำจึงประมาทไม่ได้เลย ต้องไตร่ตรอง เพราะว่าถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะพระปัญญาของพระองค์ ซึ่งคนที่ได้ฟังคำนั้นแล้วเข้าใจจึงจะเป็นปัญญาของตนเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะให้ปัญญาของพระองค์แก่ใครได้ หยิบยื่นให้ไม่ได้เลย แต่สามารถที่จะมีคำที่ทำให้คนอื่นได้ฟังแล้วไตร่ตรอง และก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องละเอียดต้องลึกซึ้งแล้วก็ไม่ประมาทเลย เช่นคำว่า ธรรม ทุกคนได้ยินบ่อย ถ้าได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ยินคำว่าธรรมด้วย เพราะเหตุว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง เพื่ออนุเคราะห์ให้คนอื่นได้ฟัง เพราะฉะนั้น ต้องมีคำคือธรรมที่คนอื่นได้ฟังจากพระโอษฐ์
ด้วยเหตุนี้ ธรรม คือคำที่พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดว่า พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่นี่ ที่นั่น ที่โน่น ที่ไหน ลึกซึ้งอย่างไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ก่อนอื่นให้ทราบว่าธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่ที่คนนั้นหรือคนนี้ที่ว่าเขารู้ธรรม เขากล่าวธรรม เขาพูดธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมอยู่ที่ไหน แค่ได้ยินคำว่าธรรม เเล้วธรรมอยู่ไหน จะฟังธรรม จะหาธรรม จะเข้าใจธรรม จะรู้จักธรรม แล้วธรรมอยู่ไหน บางอย่างชินหูแต่ว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ถ้าตอบว่าธรรมอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม หาเจอไหม ธรรมอยู่ไหน ธรรมอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะหลับจะตื่นเป็นธรรม ไม่ว่าจะคิด จะจำ สนุกสนานรื่นเริง ทุกข์ร้อน ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
