ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
ตอนที่ ๑๑๗๖
สนทนาธรรม ที่ สมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมดาที่เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" วิชชาเริ่มเกิด เริ่มเข้าใจว่าธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่จะเป็นของใครได้ ได้ยินเมื่อครู่นี้เกิดแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว เป็นของใคร จะเป็นของใครไม่ได้เลย ได้ยินใหม่ ก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อครู่นี้ เกิดแล้ว ดับอีกแล้ว เป็นของใคร
ถ้ามีความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นอย่างมั่นคง ก็สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีทั้งหมดในชีวิตทุกประการ โดยที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา คือความไม่รู้ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ และวิชชา คือการเริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้คืออะไร เดี๋ยวนี้มีอวิชชาไหม ผู้ที่ได้ฟังแล้วตอบได้ว่ามีหรือไม่มี ต้องเป็นคนที่ตรง ธรรมเป็นเรื่องที่ตรงและจริง
เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับแล้ว ไม่รู้ เป็นอวิชชา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ความไม่รู้คือไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ความรู้คือวิชชา สามารถเริ่มรู้ความจริงว่า สิ่งที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ชั่วคราวแสนสั้น เกิดและดับไปโดยไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง สำหรับคำถามที่สอง การฟังธรรมตามกาล ซึ่งเป็นมงคลหนึ่งใน ๓๘ ประการ เป็นเหตุให้ละความไม่รู้ได้หรือไม่ และอย่างไร
อ.อรรณพ เป็นคำถามที่เป็นลำดับที่ดีเลย เพราะว่าคำถามแรกพูดถึงความไม่รู้ ซึ่งใช้คำว่าอวิชชา ส่วนความรู้คือวิชชา เพราะฉะนั้น เรียนรู้ เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จึงเป็นวิชชา แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็มีแต่อวิชชา
เพราะฉะนั้น ก็คือฟังสิ่งที่เป็นจริง สิ่งเป็นจริงนั้นใช้คำว่าธรรม คือฟังธรรม ฟังธรรมจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเราไม่เคยได้ยินเลย เรามีแต่วิชาการอย่างอื่น ใช่ไหม
ดังนั้น กาลใด เวลาใด เป็นเวลาดีที่จะได้มีการฟังธรรม เช่น มีโอกาสได้สนทนากันที่นี่ แล้วถ้ามีกาลอื่น ท่านที่มีความสนใจในการที่จะฟังคำจริง ความจริง ท่านก็สามารถจะรับฟังและติดตามได้ในสื่อต่างๆ ที่เผยแพร่พระธรรม ซึ่งมูลนิธิก็เป็นหน่วยงานหนึ่ง ที่ได้เผยแพร่ความจริงตามพระธรรมคำสอน
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ธรรมคืออะไร แค่คำเดียวก็ต้องเข้าใจชัดเจนว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริง เห็นมีจริงเป็นธรรม ได้ยินมีจริงเป็นธรรม คิดมีจริงเป็นธรรม จำมีจริงเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นเองเกิดขึ้น แล้วธรรมก็ดับไป สืบต่อตั้งแต่เกิดจนตายและไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่มีเหตุที่จะให้ธรรมเกิดก็เป็นธรรม แต่ความไม่รู้ทำให้หลงยึด เข้าใจผิดว่าธรรมนั้นเป็นเรา เช่น ขณะนี้เป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน จนกว่าจะได้พิจารณาไตร่ตรองว่า ธรรมก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วก็เกิดเห็น ไม่มีใครไปทำขึ้นมาได้ นอกจากเหตุปัจจัยที่จะทำให้ธรรมนั้นเกิดขึ้น แม้แต่ได้ยินเดี๋ยวนี้ เมื่อครู่นี้ไม่มีได้ยิน แล้วก็มีได้ยิน
เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือหนึ่งขณะจิต ซึ่งเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิดนึก ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย ธรรมทั้งหลายทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา นี่คือเบื้องต้นของการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้อะไร ปัญญา วิชชาที่รู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่เคยคิดถึงเลย คิดแต่ศาสตร์ต่างๆ ตามที่ชาวโลกได้เรียน ได้ศึกษาวิชาการกัน
แต่สำหรับพระธรรมต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงที่ถูกละเลย ไม่ได้สนใจมาเลยนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง เพื่อที่เกิดมาแล้วก่อนจากโลกนี้ไป จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าสิ่งที่มีตลอดชาติ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็หายไปหมด เหมือนชาติก่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จำได้แต่ชาตินี้ เมื่อถึงชาติหน้า ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จำไม่ได้ เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมดไปๆ ด้วยความไม่รู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ซึ่งแม้แต่คำเดียวของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำจากการตรัสรู้ ไม่ใช่คำของคนอื่น
ดังนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างจากคำของคนอื่นทั้งหมด เพราะเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า แต่ละคำที่พระองค์ตรัส สำหรับให้ทุกคนไตร่ตรอง ได้เข้าใจถูกต้องว่าจริงไหม เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อครู่นี้หมดแล้ว เราอยู่ไหน เห็นเมื่อครู่นี้ ได้ยินเมื่อครู่นี้ คิดนึกเมื่อครู่นี้ เป็นอย่างนี้ไปทุกวัน
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มที่จะรู้ความจริงว่าธรรมหลากหลาย มีทั้งอวิชชาและวิชชา มีทั้งกุศลและอกุศล มีทั้งดีและชั่ว มากมาย ซึ่งจะเริ่มเข้าใจต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ถ้ายังคงสงสัยในเรื่องธรรม ต้องให้กระจ่างแจ้งก่อนที่เราจะพูดธรรมต่อไป เพราะทุกอย่างต้องมีการตั้งต้นที่ถูกต้องว่า พูดเรื่องอะไร พูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ธรรมเป็นภาษาบาลี ที่ชาวมคธในสมัยนั้นพูดกันเป็นชีวิตประจำวัน ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง
ถ้าเราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงโดยไม่ใช้คำว่าธรรมก็ได้ เพราะว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ที่ไหนก็มีเห็น มีได้ยิน เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยประการทั้งปวง
ผู้ฟัง นี่คือการฟังธรรมตามกาล ซึ่งเป็นมงคลหนึ่งใน ๓๘ ประการ
ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ถ้าไม่เข้าใจเป็นมงคลไหม
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น มงคลไม่ใช่แค่ฟัง เข้าใจคำที่ได้ฟังเมื่อไหร่เป็นมงคลเมื่อนั้น
ผู้ฟัง คำถามต่อมา สุตมยปัญญา หรือปัญญาที่เกิดจากการฟังนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร
อ.คำปั่น สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่สำเร็จมาจากการฟัง ในอรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า เป็นปัญญาของผู้ที่เป็นสาวก เพราะเหตุว่า ผู้ที่เป็นสาวกต้องเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำจริงจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง แล้วทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ได้ยินได้ฟังจนมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ในขณะนี้ก็กำลังเริ่มสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง จากคำแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง สะสมเป็นสุตมยปัญญา เป็นปัญญาเบื้องต้น ขั้นต้น ที่จะนำไปสู่ปัญญาขั้นตอนต่อๆ ไป เพราะฉะนั้น ขาดการฟังและการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ ชื่อว่า สุตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ดังนั้น ฟังเข้าใจเมื่อไหร่ นั่นคือปัญญาที่เกิดจากการฟังสิ่งซึ่งไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นคำที่ไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อน แต่ละคำมาจากการที่ทรงตรัสรู้เเล้ว ทุกคำเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คนนั้นเกิด คนนี้เกิด คนนั้นตาย คนนี้ตาย เป็นคน หรือแม้แต่สัตว์เกิดสัตว์ตาย แต่หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว ถ้าไม่มีธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้นสืบต่อก็ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตใดๆ เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูกว่า ที่หลงยึดถือว่าเป็นเรา และมีความติดข้อง ผูกพันในความเป็นเรายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดทุจริตกรรมต่างๆ เพราะความรักตน และก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ไม่รู้ว่าเหตุที่ไม่ดีต้องนำผลที่ไม่ดีมาให้ ไม่เข้าใจธรรมเลย มีแต่ความเป็นเราที่มีความติดข้องและต้องการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาของโลกจึงไม่สิ้นสุด เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ปัญหามาจากความไม่รู้ แล้วจะใช้ความไม่รู้แก้ปัญหา ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะแก้ทุจริต หรือความไม่ดีทั้งหลายด้วยความไม่รู้ ด้วยความเห็นเเก่ตัว หรือด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ที่เป็นธรรมนั้นไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ โกรธเป็นโกรธ ชอบเป็นชอบ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว
ดังนั้น ธรรมแต่ละหนึ่ง ก็เป็นธรรมที่เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งผล ถ้าเป็นผลของความโกรธเกิดขึ้น กายก็เป็นไปด้วยกำลังของความโกรธ วาจาก็เป็นไปด้วยกำลังของความโกรธ จนกระทั่งถึงประทุษร้ายเบียดเบียนกันได้ เพราะไม่รู้ความจริงว่าไม่มีใครทำร้ายคนอื่น นอกจากตัวเองกำลังทำร้ายตัวเอง โดยความโกรธที่ได้กระทำกรรม ซึ่งจะให้ผลตามมา ที่เราพูดกันแค่เพียง กรรมกับผลของกรรม แต่ไม่ละเอียดพอ
เพราะเหตุว่าถ้าละเอียดก็คือ สามารถที่จะรู้ความจริงว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นธรรมหลากหลาย เป็นประเภทต่างๆ ซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียด เพื่อให้เห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวความจริงในขณะนี้ได้ละเอียด โดยประการทั้งปวง ถึงที่สุด เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ให้มั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น แม้แต่ธรรมคำเดียว ถ้าเข้าใจมั่นคงคือธรรมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่อยู่ในอำนาจของใคร แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัย ต้องเป็นไปตามปัจจัย ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ให้ชอบได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าสิ่งนั้นน่าพอใจมาก ไม่ให้ชอบมากๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเป็นธรรมที่ละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งจากการที่รู้ว่าเป็นธรรม จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง เพราะเห็นโทษของธรรมที่เป็นอกุศล และเห็นประโยชน์ของธรรมที่เป็นกุศล เพราะฉะนั้น ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ปัญญาเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของโลกได้ ไม่ว่าประเทศชาติใดๆ หรือแม้แต่เพียงหนึ่งคนก็มีปัญหามากมาย จากความไม่รู้
ดังนั้น จากหนึ่งคนที่ไม่รู้ที่มีปัญหา จนกระทั่งเป็นประเทศชาติ จนกระทั่งเป็นโลกทั้งหมด จะแก้ได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้วไม่รู้จักธรรม ก็ยังคงเข้าใจว่าตนเองได้ประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ไม่ใช่ความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา จึงต้องไม่ลืม "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
ผู้ฟัง จากพระสุตตันตปิฎก หรือพระสูตรที่มีเรื่องอยู่ในกาลามสูตร ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้อย่าเชื่อใน ๑๐ ประการ การฟังก็เป็นประการหนึ่งที่อย่าเชื่อ ดังนั้น การฟังที่ถูกต้องควรฟังอย่างไร
ท่านอาจารย์ ฟังอย่างไร ฟังธรรมไม่เหมือนฟังอย่างอื่น ใช่ไหม ฟังอย่างอื่นก็เป็นเรื่องราวสนุกสนาน แต่ฟังธรรมจะฟังอย่างไร ฟังเพื่อเข้าใจ แต่ต้องรู้ว่าได้ยินคำไหนอย่าเผิน ต้องไตร่ตรอง ต้องคิดว่าจริงหรือเปล่า เช่นคำว่าธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แน่นอนที่สุด ถ้าไม่มีธรรมจะตรัสรู้อะไร
เพราะฉะนั้น เพียงคำว่าธรรมคำเดียว ก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้น สิ่งที่มีจริง เห็นด้วยไหมว่าสิ่งที่มีจริง มีแน่นอน โดยจะเรียกอะไรก็ได้ ภาษาบาลีจะใช้คำว่าธรรม ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร ภาษาอื่นจะใช้คำว่าอะไร ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น ภาษาไหนก็ได้ เปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินได้ไหม ไม่ได้ เห็นต้องเป็นเห็น เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นมีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร
โดยมากเราคิดถึงอริยสัจจธรรม ๔ ทุกขอริยสัจจะ ชื่อมาแล้ว ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นทุกข์ แล้วอะไรเป็นทุกข์ เห็นไหมว่าแค่ฟังเผินๆ แล้วก็จำคำไว้ และนำมาพูดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ๔ แต่ต้องรู้ว่า อริยสัจจธรรม ๔ คือเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ทุกข์ก็คือสภาพธรรมนั้น ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้นาน เพียงจากไม่มีเลย ก็เกิดมีขึ้นและดับไปเลย ไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย
ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาว่า ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร ก็ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นคิดไม่ถึง เพราะถูกปิดบังไว้ด้วยการเกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ว่าธาตุรู้ ซึ่งเราใช้คำว่าจิต เป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะเห็นพระปัญญาคุณของพระองค์ว่า แม้สิ่งที่มีซึ่งคนอื่นไม่รู้ได้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง ถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น เริ่มตั้งแต่คำว่าธรรม ฟังธรรมหมายความว่า ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เพราะว่าสิ่งอื่นในขณะนี้ไม่มี นอกจากสิ่งเดียวทีละหนึ่งที่ปรากฏ อย่างเช่น ขณะที่เห็นไม่มีได้ยิน ไม่มีคิด ซึ่งความจริงของเห็นต้องเป็นอย่างหนึ่ง ความจริงของคิดต้องเป็นอย่างหนึ่ง คือคิดไม่ใช่เห็น เพราะแม้ไม่เห็นก็คิด
ดังนั้น แต่ละหนึ่งๆ ในชีวิตประจำวันทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็คือเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ที่ทรงตรัสรู้ความจริง เท่านี้ เริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปัญญาของพระองค์มากแค่ไหน ในสิ่งซึ่งคนอื่นไม่เคยคิดเลยว่าเห็นกำลังเกิดดับ แล้วก็ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินเกิดไม่ใช่เห็น ได้ยินก็ดับด้วย ในขณะที่เสียงเมื่อครู่นี้หายไปไหน ถ้าไม่มีเสียงก็ไม่มีได้ยิน เมื่อเสียงหมดจะให้ได้ยินต่อไปก็ไม่ได้ นี่คือชีวิตซึ่งหลากหลายมาก ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่งทุกประเภท ความโกรธมีจริง ความเสียใจมีจริง ความริษยามีจริง ความสำคัญตนมีจริง ทั้งหมดเป็นธรรม มีจริงๆ แต่เคยเป็นเราเพราะไม่รู้
เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า ฟังธรรมอย่างไร ก็คือฟังแล้วพิจารณาให้เข้าใจว่า ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ลองหามา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ถ้าไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งกำลังปรากฏ สำหรับวันนี้ เพียงคำว่าธรรม ถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ก็คือว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าสงสัยก็ต้องฟังต่อไป
อ่านข้อความในพระไตรปิฎก มีแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ทาง ใช่ไหม พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งโลก ๖ โลก โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ ใครคิดว่ามีโลกอื่นนอกจาก ๖ โลกนี้อีก
เพราะฉะนั้น ไตร่ตรองคำที่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ แล้วก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจขึ้น ยิ่งละเอียดขึ้น ยิ่งเข้าใจคำที่ตรัสไว้ตั้งแต่เบื้องต้น ตลอดไปจนถึงที่สุดว่า ธรรมทั้งหลายคือสิ่งที่มีจริง ทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ที่หลงยึดถือสภาพธรรม จนเป็นสุขและเป็นทุกข์อย่างมากมายในชีวิต เพราะไม่รู้ มีความสุขขณะไหนบ้างที่ยังคงเหลืออยู่ เมื่อตอนเที่ยงที่ได้รับประทานอาหารอร่อย เดี๋ยวนี้รสชาติต่างๆ อยู่ไหน เมื่อวานนี้ทั้งวันอยู่ไหน หายไปไหน และวันนี้ก็จะเป็นเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้ ไม่เหลือเลย แต่เดี๋ยวนี้เหมือนยังมีอยู่
ดังนั้น สิ่งที่ซ่อนเร้นก็คือ สภาพธรรมซึ่งเกิดดับอย่างเร็วที่สุดผ่านไป จนกว่าจะปรากฏว่าไม่เหลือ นี่คือฟัง ไตร่ตรอง เข้าใจ ถ้าสงสัยก็สอบถามพิจารณา จนกระทั่งรู้ว่าอะไรถูก อะไรจริง และอะไรที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เช่น ทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้น จริงไหม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย จริงไหม
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์พูดถึงอาหารกลางวัน เเล้วช่วงพักเมื่อสักครู่นี้เองก็มีขนมอร่อย รสที่อร่อยนั้นก็ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังเหมือนกับจำได้ว่าเค้กอร่อยดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมทีละคำ ความจำ มีไหม
อ.อรรณพ จำ มี
ท่านอาจารย์ เป็นเรา หรือเป็นธรรม นี่คือการที่ทดสอบความเข้าใจ ที่จะรู้ว่าเข้าใจคำว่าธรรมแค่ไหน
อ.อรรณพ ความจำ เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ กำลังลิ้มรสเค้ก
อ.อรรณพ กำลังลิ้มรส หมดแล้ว
ท่านอาจารย์ หมดแล้ว เดี๋ยวนี้ลองนึกถึงความสุขที่เกิดจากรสเค้กที่อร่อยนั้น จะเหมือนขณะที่กำลังลิ้มรสหรือเปล่า
อ.อรรณพ ไม่เหมือน แต่ว่าจำไว้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะเหมือน แสดงให้เห็นว่าความจำสิ่งที่กำลังมี รสนั้นเป็นอย่างไร ดับแล้วยังจำ แต่เมื่อคิดถึง ก็ไม่เหมือนขณะที่รสนั้นกำลังปรากฏ นี่คือความต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น หลงจำรสเค้ก แต่ว่าไม่เหลือแล้ว และใครบังคับบัญชาได้ ไม่คิดถึงรสขนมก็คิดถึงอย่างอื่น
บังคับให้คิดได้ไหม แค่นี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่เพราะความไม่รู้ก็คิดว่าเราทำได้ ซึ่งไม่ใช่พระพุทธพจน์ เพราะพระพุทธพจน์ต้อง "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
ทำสมาธิได้ไหม อย่าลืมว่า ฟังธรรมต้องเข้าใจตามลำดับอย่างมั่นคง เมื่อสักครู่นี้ทำเห็นก็ไม่ได้ ทำได้ยินก็ไม่ได้ ทำคิดก็ไม่ได้ ทำปัญญาก็ไม่ได้ แต่ว่ามีปัจจัยที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิด จึงเกิดขึ้น มิฉะนั้นคนที่ไม่ฟังธรรมเลยก็อยากจะให้มีปัญญา ก็ไปนั่งทำ คิดว่าจะทำปัญญาให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความเข้าใจ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และตรงตั้งแต่ต้น ธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แม้แต่ปัญญา ถ้าไม่มีการฟังพระพุทธพจน์ จะเข้าใจไหมว่าขณะนี้ แต่ละหนึ่งที่เกิดเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม
ทำสมาธิได้ไหม ทดสอบความเข้าใจธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มิฉะนั้นก็ค้านกับพระพุทธพจน์ มีคำตอบบ้างไหม ยังไม่รู้จักสมาธิเลยเเล้วก็คิดว่าทำสมาธิ แต่ใครที่จะให้รู้ว่าสมาธิคืออะไร นี่คือปัญญา
ดังนั้น ความไม่รู้ก็ทำให้เกิดความไม่รู้ต่อไป ทับถมมากขึ้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยว่า ทุกคำของพระองค์มาจากการที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คำเดียวกันแต่ปัญญาต่างกัน เช่นคำว่าธรรม ทุกคนได้ยินเหมือนกันหมดเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้ธรรม แต่ธรรมที่พระองค์ตรัส กับธรรมที่คนอื่นได้ยิน ความเข้าใจถูกต้องนั้นเป็นปัญญาต่างกันระดับไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรม พระปัญญาของพระองค์ ไม่มีบุคคลใดในสากลจักรวาลจะเปรียบได้เลย เทียบไม่ได้เลย ผู้ที่จะสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ครบถ้วน ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเท่านั้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
