ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
ตอนที่ ๑๑๖๒
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าอะไรขณะนี้ที่ปรากฏทางตา ปรากฏชั่วขณะที่จิตเห็นเกิด แค่ไม่เห็นก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ คือ เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก คือการที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งสิ่งซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจได้ และก็หลงทางกันมากด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความประมาท ด้วยความไม่เห็นคุณของพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่ากิเลสสะสมมามากมายเหลือเกิน คำสองคำไม่สามารถที่จะทำให้จิตที่หมักหมมด้วยความไม่รู้สามารถจะเข้าใจได้ จนกระทั่งต้องทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ไม่ใช่คำเดียว แต่ ๔๕ พรรษา ทุกคำก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งเมื่อครู่นี้เรากล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรม เเค่พูดเเค่นี้ จบ พอไหม
อ.อรรณพ ความเป็นปกติจริงๆ ของธรรม ทำไมจึงเป็นความอัศจรรย์
ท่านอาจารย์ ปกติก็ไม่รู้
อ.อรรณพ เมื่อไม่รู้ก็ไม่อัศจรรย์
ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้วอัศจรรย์ที่รู้ได้ ที่สามารถทำให้เริ่มเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มี คำนั้นน่าอัศจรรย์ไหม
อ.อรรณพ น่าอัศจรรย์ เพราะก็เห็นว่าเป็นธรรมดาอยู่ก็นึกว่าเป็นปกติ แต่ถ้าปัญญารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มา รู้ในความเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น อัศจรรย์ที่ปัญญาที่ได้รู้ จากการที่ไม่เคยได้รู้อะไร ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เคยเข้าใจว่าเป็นคุณอรรณพ เห็นคุณอรรณพ แต่เริ่มเข้าใจถูกว่า ไม่มีคุณอรรณพที่สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ก่อนเข้าใจว่ามีคุณอรรณพตลอดเวลา แล้วปรากฏว่าไม่มีคุณอรรณพ ไม่มีคุณคำปั่น ไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วดับไป ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกแล้วจะมีได้อย่างไร อัศจรรย์ว่าความไม่รู้ที่มีมานาน แล้วไม่เคยสามารถที่จะรู้ได้เลยด้วยตัวเอง ก็กลับสามารถที่จะปรากฏได้เมื่อได้มีความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจก็เป็นคุณอรรณพอยู่อย่างนี้ อัศจรรย์เมื่อเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่ใช้คำว่า วิปัสสนา รู้แจ้งในสิ่งที่ได้ฟัง คิดดู จะอัศจรรย์ไหมว่าไม่เคยคิดว่าจะรู้ได้ถึงอย่างนี้
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่า เห็นไม่ใช่อาจารย์อรรณนพ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังอย่างนี้เเล้วก็อยากจะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เราพยายามเอง เมื่อได้ยินแล้วก็จะพยายาม เรานั่นเอง เพราะฉะนั้น ฟังธรรมไม่ได้ไปพยายาม แต่เข้าใจ เริ่มเข้าใจในความเป็นจริง เห็นอย่างนี้ทำไมไม่มีคุณอรรณพ ใช่ไหม หลับตามีไหม
ผู้ฟัง หลับตาไม่มีแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็มีคุณอรรณพไม่ใช่หรือ
ผู้ฟัง ถ้าหลับตาก็ยังนึกขึ้นได้
ท่านอาจารย์ ใช่ แต่เห็นแล้วว่าเป็นคุณอรรณพแสดงว่ามีใช่ไหม มีคุณอรรณพใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ความจริงมีหรือไม่
ผู้ฟัง ความจริงไม่มี
ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้จริงๆ ที่จะละความเป็นตัวตน ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งลึกมาก และอยู่ที่ไหน อยู่ในที่สุดคือ อยู่ในจิต ไม่มีอะไรที่จะเป็นภายในยิ่งกว่าจิต และจะให้สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตค่อยๆ ออกไป ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นการไปทำอะไรเลย แต่เป็นความเข้าใจที่เข้าใจจริงๆ และรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีคุณอรรณพถ้าไม่มีธรรมที่ปรากฏให้เห็น และก็มีธรรมอื่นๆ ที่ทำให้มีสิ่งที่กระทบตาได้ จะมีสิ่งที่เราเรียกว่าคุณอรรณพไหม เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เป็นตัวคุณอรรนพ คือ ธรรมทั้งนั้น
ผู้ฟัง เมื่อเห็นเป็นอาจารย์อรรณพก็เป็นธรรม แต่ความเข้าใจไม่มี
ท่านอาจารย์ ยังไม่เป็นธรรม เป็นชื่อ เป็นชื่อจนกว่าสามารถที่จะมั่นคงว่า แค่ปรากฏให้เห็นได้ ธรรมชนิดนี้แค่ปรากฏให้เห็น ไม่มีสาระอะไรเลย ทำอะไรก็ไม่ได้ คิดอะไรก็ไม่ได้ แต่ว่าแค่ปรากฏให้เห็น ลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏ เป็นโต๊ะ เก้าอี้อะไรต่างๆ ความจริงแท้ก็คือว่า มีธาตุ หรือ ธรรม ที่วัตถุสิ่งนั้น แข็งตรงนั้น ทำให้ปรากฏรูปร่างสัณฐาน เมื่อสิ่งนั้นที่อยู่กับแข็ง คือ สิ่งที่เป็นวัณณะที่กำลังกระทบกับตาก็ปรากฏสีสัน ทำให้รู้ว่าเป็นคุณอรรณพ เป็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะ แต่ความจริงก็คือว่า มีแต่ธรรม
ในบรรดาธรรมทั้งหมด มีธรรมเดียวที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ คือที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ธรรมทั้งหมดหลากหลายมากมายมหาศาล แต่หนึ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง สภาพธรรมเกิดดับเร็ว ได้ฟังแบบนี้ก็เหมือนกับว่ามีความรู้ แต่สภาพธรรมจริงๆ ก็ยังเป็นอาจารย์อรรณนพ เวลาเห็นเป็นอาจารย์อรรณพ ไม่มีความเข้าใจก็เลยไปแบบนั้น ทุกวันๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรจริง
ผู้ฟัง ก็เห็นเป็นอาจารย์อรรณพจริงๆ
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นคุณอรรณพจริงหรือ หรือเห็นเป็นเห็น
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่ปรากฏ เห็นสิ่งที่ปรากฏนั่นต่างหากที่จริง ก่อนอื่นต้องรู้ว่าอะไรจริง จึงจะสามารถรู้ได้ว่า เราไม่ได้เข้าใจความจริงเลย รู้สิ่งที่ไม่จริงตลอด เพราะฉะนั้น สะสมมานานเท่าไร ก็เป็นผู้ที่ตรงว่า ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรให้เกิดเข้าใจได้ว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จนกว่าความเข้าใจที่เกิดจากการฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก นับประมาณไม่ได้
ก่อนที่จะเป็นท่านพระสารีบุตร เป็นใครมาแต่ไหนทุกชาติที่มีโอกาสได้ฟัง จนกระทั่งถึงวาระซึ่งขณะนั้นก็ไม่รู้ว่า จะสามารถรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา รู้ด้วยว่าสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา รู้ว่าดับด้วย ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ค่อยๆ เข้าใจจะนำมาซึ่งการประจักษ์แจ้ง เหมือนขณะที่ท่านพระสารีบุตรฟังท่านพระอัสสชิ
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่า การอบรมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนมั่นคง จะสมบูรณ์พร้อมเมื่อไหร่ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะไหน สามารถแทงตลอด จนกระทั่งถึงการละคลายความยึดถือว่า เป็นตัวตนทั้งหมด ทั้งรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่เหลือเลยๆ คือนิดหนึ่งก็เหลือไม่ได้ ยังคงอยู่ที่ขันธ์หนึ่งขันธ์ใดก็ไม่ได้ นั่นคือยังเหลือ เพราะฉะนั้น ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ใครคิดว่าจะทำง่ายๆ นั่นคือ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง เราศึกษาปริยัติ เราเข้าใจ เป็นความเข้าใจในการฟัง ในการอ่าน แต่เราไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ จะแนะนำอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาเพราะเหตุว่า เราขาดการที่จะไตร่ตรองให้เห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความเข้าใจมั่นคงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และคำของพระองค์แต่ละคำเป็นสัจจวาจา เป็นคำจริงทุกคำ เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะหวัง หรือเราจะทำ ฟังตั้งนานไม่รู้ จะไปคิดอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะรู้ ก็มีความเข้าใจว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย
ธรรมเตชะ เตชะ คือเดช คือกำลัง พลังที่สามารถที่จะเผาหรือทำลาย ซึ่งแต่ละคำเมื่อมีความเข้าใจแล้ว คำนั้นเองค่อยๆ เผา และทำลายความไม่รู้ ซึ่งมีมากมายมหาศาลในทุกสิ่งทุกอย่าง ขณะที่กำลังเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นรูปธรรม ความเป็นเราที่เข้าใจอยู่ที่ความรู้สึก เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ ความจำ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งกว่าจะเข้าใจทั้งหมดก็รู้ว่ามีทางเดียว คือฟัง แต่ต้องรู้ด้วยว่าฟังคือเข้าใจ ไม่ใช่คิดเองเลยสักนิดเดียว
ถ้าคิดเองว่าแล้วเมื่อไหร่เราจะรู้ มาแล้ว นั่นคือคิดเอง รู้แน่ ถ้าเข้าใจขึ้นจะไม่พาไปผิดทางถ้าเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีเราที่จะไปละอะไรได้เลย ไม่มีเราที่จะไปคิดว่าแล้วเมื่อไหร่จะรู้ได้ ฟังแล้วก็ยังเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นคือเรา แต่ปัญญาทำหน้าที่เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยว่า ขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจธรรม เป็นเรา
ผู้ฟัง ตรงนี้สำคัญ ความเป็นเรามาแบบไม่รู้ตัว ต่อเมื่อใดที่ได้มีโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ชี้แนะถึงจะได้รู้ว่า ตัวนี้คือเป็นเรา ธรรมที่ตัวเองได้อ่านในหนังสือมาตลอด แต่ไม่รู้จักสภาพธรรมจริงๆ แล้วก็ทำให้คิดว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งเกินกำลังของปัญญาที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหมด ธรรมทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตื่นก็ไม่ได้คิดถึงธรรม แต่เป็นธรรม ไม่ว่าจะรับประทานอาหาร ทำอะไรหมดทั้งวันทุกวันก็เป็นธรรม ก็ไม่รู้เลยแม้ว่าฟังธรรม ค่อยๆ สะสม เพราะว่าต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครที่จะคิดเปลี่ยนแปลงทำโน่นทำนี่ คือ หลงทางแล้วก็ผิดทันที เพราะไม่รู้ว่า เป็นปัญญา ความรู้ความเข้าใจถูกที่สะสมทีละเล็กทีละน้อย สามารถที่จะเริ่มเข้าใจแม้เงาของความเป็นเรา เพราะความเป็นเรา คือ ทิฏฐิเจตสิกดับแล้ว เกิดแล้วดับอีก เกิดแล้วดับอีก แม้แต่ขณะที่พูดเดี๋ยวนี้ก็ดับ กระทบแข็ง แข็งที่ถูกกระทบก็ดับ ทุกอย่างไม่เหลือเลย
ดังนั้น การฟังธรรมก็คือได้เข้าใจขึ้น และทุกอย่างเป็นปกติ แต่ไม่เข้าใจ จนกว่าการฟังนี้จะเริ่มเห็นอะไรในชีวิต ซึ่งยังไม่เคยเห็นเลย เช่น เมื่อเป็นความผิดปกติ เห็นตัวที่ผิดปกติ เห็นความเห็นผิด น้อยมากใช่ไหม วันหนึ่งมีธรรมตั้งมากมาย แต่เริ่มเห็นนิดเดียว ซึ่งความจริงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทุกขณะ เป็นอนัตตาทั้งหมด แล้วก็เป็นธรรมหมดเลย เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเทียบได้เลยว่า ถ้ายังไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ปัญญาจะทำกิจที่เป็นกิจอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความเข้าใจขึ้นๆ มั่นคงแล้วไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องแล้วแต่ว่า ปัญญาขณะนั้นเป็นปัญญาที่มีกำลัง หรือไม่มีกำลังระดับไหน มีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน โดยการที่ฟังธรรมเข้าใจก็เป็นปกติเลย ถ้าฟังธรรมเเล้วเข้าใจจะไม่ไปทำอะไรให้ผิดปกติ แต่ถ้าไม่เข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม แล้วไปทำก็คือผิดปกติ
ผู้ฟัง หนทางนี้ลึกซึ้ง
อ.อรรณพ มีข้อความในอุปริปัณณาสก์ว่า อนึ่ง พระธรรมเทศนาเป็นของอัศจรรย์ เพราะไม่มีการขัดแย้งกัน
ท่านอาจารย์ เพราะเป็นความจริง
อ.อรรณพ ข้อความนี้สำคัญมาก เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจ บางทีก็เอาข้อความส่วนหนึ่งในพระไตรปิฎกมาหักล้างในอีกส่วนหนึ่ง โดยที่ตัวเองไม่เข้าใจ เช่น ก็มีผู้เห็นไปว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตานี้ใช่ แต่ทำไมจะบอกว่าการทำสมาธินี้เป็นอัตตาเล่า การทำสมาธิเขาก็ต้องทำกัน มิฉะนั้นกลายเป็นว่า อย่างโน้นก็ทำไม่ได้ อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ อย่างนั้นก็ทำไม่ได้ แล้วศีล เเล้วสมาธิ พระพุทธเจ้าก็แสดงไว้
ท่านอาจารย์ ทำไมใช้คำว่าอนัตตา อะไรก็ทำไม่ได้ อนัตตาคืออะไร รู้หรือเปล่า
อ.อรรณนพ อนัตตา ก็คือ ไม่ใช่ตัวตน
ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวตน แต่มีอะไร
อ.อรรณพ ก็ต้องมีธรรม
ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร
อ.อรรณพ จิต เจตสิก รูป
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิด มีไหม
อ.อรรณพ ไม่เกิด ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีอะไรใช่ไหม
อ.อรรณพ ไม่มีอะไร
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อเกิดแล้วมี ไม่รู้ว่าเป็นจิตที่เกิด ก็เป็นเราทำ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา แล้วจะมีเราไปปฏิบัติธรรม นั่นถูกหรือ ในเมื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเรา เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ใครก็ไม่สามารถไปทำให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นได้ ธรรมนั้นต้องเป็นไปตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นมีใคร ไม่มี แล้วปฏิบัติอย่างนั้นเพราะคิดว่ามีเราทำ ใช่ไหม แล้วเข้าใจอนัตตาว่าอย่างไร ก็ไม่สอดคล้องกัน แต่ถ้าเป็นคำจริงต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า อวิชชาไม่รู้
เพราะฉะนั้น ไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้เลย นั่นคือ อวิชชา แต่เมื่อมีปัญญา ปัญญาไม่ใช่เรา ปัญญาเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะอาศัยการฟังแล้วมีความเข้าใจเกิดขึ้น เข้าใจแล้วก็ดับไปก็ไม่ใช่เรา เเต่คือปัญญาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมากขึ้น จึงรู้หนทางว่า หนทางเดียวที่จะรู้คำที่ได้ฟังตั้งแต่คำแรกว่า ธรรมไม่ใช่เรา ก็คือเดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรทั้งหมด สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามที่ได้ฟัง ทันทีที่สิ่งนั้นปรากฏให้รู้ว่ามี ซึ่งก็เป็นความอดทนไม่ใช่เรา เป็นวิริยเจตสิก ทั้งหมดที่ทรงแสดงกล่าวถึงธรรมทั้งปวงไม่เหลือเลย ที่จะให้คิดว่า นั่นไงเรา นั่นไงเราทำได้อย่างไร ให้เข้าใจถูกต้องว่าสอดคล้องไหม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นแต่จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น จิตอะไรเกิดขึ้นทำกิจอะไร
ถ้าทำกิจเห็นผิด เข้าใจผิดจึงไปปฏิบัติ เพราะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติที่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่า แม้ความรู้นั้นก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรที่จะเกิดได้โดยไม่มีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ความรู้ขณะนั้นที่จะรู้ว่าเป็นธรรมเกิดจากอะไร ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรก็ไม่รู้
อ.อรรณพ ผู้ที่มีการศึกษาเรื่องราวของธรรม เขารู้หมด จิต เจตสิก รูป วิถีจิต อะไรต่ออะไร แต่เขาเห็นผิดไปในเรื่องของการที่ต้องไปทำสมาธิ แล้วค่อยจะเอาเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้เรียนธรรมมานี้นำมารับรอง นำมาอ้าง หรือนำมาขัดแย้งคำสอนที่ว่า ไม่มีใครจะไปทำอะไร
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รอบคอบ ไม่ละเอียด ไม่ลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสัมมามรรค และมิจฉามรรค แสดงถึงความต่าง ถ้าไม่ใช่สัมมามรรคต้องเป็นมิจฉามรรค ถ้าไม่รู้ ไม่รู้แล้วจะเป็นสัมมามรรคได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ก็สามารถรู้ได้ว่า อะไรเป็นสัมมามรรค อะไรเป็นมิจฉามรรค นั่นรู้ แต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถจะบอกได้เลยถึงความต่างของมิจฉามรรค กับ สัมมามรรค สัมมามรรค ๘ มิจฉามรรค ๘ ด้วย สัมมัตตะ ๑๐ มิจฉัตตะ ๑๐ เหมือนกัน เชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น สัมมามรรค คือหนทางที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ ก็กล่าวถึง สัมมามรรค ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘
ซึ่งถ้าเป็นหนทางที่ผิดก็ตรงข้ามกัน เป็นมิจฉามรรค ตั้งแต่ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ ๘ องค์ ตรงกันข้ามกันเลย ก็เป็นเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดเลย
แต่ถ้ากล่าวถึง สัมมัตตะคือ ความเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็กล่าวถึงมรรคทั้ง ๘ องค์ด้วย แล้วก็สัมมาญาณคือ รู้อย่างถูกต้อง แล้วก็สัมมาวิมุตคือ พ้นอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ถ้าเป็น มิจฉัตตะ ๑๐ ก็คือ ความเป็นสิ่งที่ผิด ก็กล่าวถึง ๘ ประการ ในทางที่ผิด แล้วก็เพิ่มมิจฉาญาณ คือ รู้ผิด คือไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง แต่สำคัญว่ามีความเข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วก็มิจฉาวิมุตติ คือ ไม่ได้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่ได้หลุดพ้นตามความเป็นจริง แต่ก็สำคัญว่าได้หลุดพ้น
ท่านอาจารย์ มิจฉาสติ สัมมาสติ สภาพธรรมที่เป็นมิจฉาสติไม่มี เพราะสติเป็นโสภณ แต่หลงผิดด้วยความต้องการ ดังนั้น มิจฉามรรคทั้งหมด คือ โลภะ ถ้าไม่มีความต้องการและความไม่รู้ ก็จะกระทำอย่างนั้นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่รู้จึงสามารถที่จะละความไม่รู้ และละความติดข้อง เพราะรู้จึงละ แต่ถ้ามิจฉามรรคเพราะไม่รู้จึงติด ใครทำ ที่พูดว่าทำได้นี้อนัตตาหรือเปล่า แล้วใครทำได้ ในเมื่อถ้าไม่มีปัญญาเจตสิกก็มิจฉาทิฏฐินั้นเองทำ ทำได้แต่ไม่ใช่เรา แต่ความเห็นผิดเกิดขึ้น ทำหน้าที่เห็นผิดว่าต้องทำ และทำอย่างไรจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับ ทำอย่างไร
อ.อรรณพ ทิฏฐิเขาทำ เขาทำให้ผิด
ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าที่กำลังเห็นนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
อ.อรรณพ เพราะตัวทิฏฐิคิดว่า จดจ้อง ก็คือ การรู้ เพราะฉะนั้น ทิฏฐิเขาทำกระทำการผิดอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เห็นโลภะไหม เห็นทิฏฐิไหม คิดว่าจดจ้องแล้วจะเป็นอย่างไร
อ.อรรณพ จดจ้องแล้วก็จะได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ คิดว่าจดจ้องแล้วจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ลืมเลย ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ลืมสนิทว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ สะสมอกุศลมากนานเท่าไรในแสนโกฏิกัปป์ และเห็นผิดว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนานเท่าไร และก็สามารถที่จะทำได้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา มาจากไหน เห็นไหมว่าไม่มีปัจจัย ไม่มีสิ่งที่สามารถจะทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องได้ว่า ขณะนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปริยัติ มีความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคงว่า ให้เข้าใจจริงๆ เพราะลืมเสมอว่าเห็นคน เห็นโต๊ะ แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สติเกิดระลึกได้ เริ่มมีความเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยจากการฟังว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เพราะไม่เห็นก็ไม่มี ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่เห็น ไม่มี ความลึกซึ้งก็คือ สิ่งที่มีในขณะที่ปรากฏให้เห็นนั้นดับแล้ว ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ไม่เห็น ไม่มี แล้วจะไปทำอย่างไรให้เป็นอย่างนี้ได้ แม้เพียงแต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังนั่งอยู่ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง เห็น เเล้วก็มีคิดใช่ไหม ถ้าไม่คิดจะรู้ไหมว่า สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏหลากหลายนี้ แต่ละหนึ่งเป็นอะไร รวมๆ กันแล้วเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคนแต่ละคนด้วย เพราะไม่รู้
ทำอย่างไรถึงจะนำกิเลส และความไม่รู้แสนโกฏิกัปป์ออกไป จนถึงขณะที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เว้นได้ไหม เเล้วมัวแต่ไปจดจ้อง จดจ้องอะไรก็ไม่รู้ และอะไรกำลังจดจ้อง ความไม่รู้ที่ค่อยๆ ขัดเกลาอกุศล ชำระจิต มีบ้างไหม เพราะเต็มที่ในแสนโกฏิกัปป์
เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจก็มุ่งหน้าแต่ปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีปริยัติ ความเข้าใจที่มั่นคงถึงความเป็นสัจจญาณ ทรงแสดงกำกับไว้ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าแต่ยังทรงแสดงธรรมกำกับว่า สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
