ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
ตอนที่ ๑๑๗๙
สนทนาธรรม ที่ สมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ในขณะที่หลับก็ไม่ได้คิดอะไรเลย หลับสนิท เพราะฉะนั้น โลกนี้ปรากฏไหม จากไม่มี แล้วก็ตื่นขึ้นมี คิดดูว่า ใครบังคับบัญชาได้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ เวลาหลับสนิทจริงๆ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก
วันนี้ทั้งวันคิดอะไรมากมาย เมื่อถึงเวลาหลับสนิทหายไปไหนหมด ไม่เหลือเลย เมื่อตื่นขึ้นก็ไม่ใช่วันก่อนหลับ แต่เป็นการที่มีสิ่งที่จำไว้ว่ามีอะไรบ้าง เหมือนสิ่งที่เกิดใหม่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แต่ว่าตามความเป็นจริง ขณะนั้นถ้าจากโลกนี้ไปก็ลืมหมดสนิท แต่เพราะยังไม่จากโลกนี้ไป ก็มีความจำก่อนหลับเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เมื่อตอนตื่นความจำก็จำเรื่องก่อนหลับ
เพราะฉะนั้น ชีวิตก็ดำรงอยู่ด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วก็คือเป็นแต่ละหนึ่งธรรม จำเป็นจำ เสียใจเป็นเสียใจ ดีใจเป็นดีใจ ทั้งหมดก็แต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลายมาก เท่ากับว่าสภาพธรรมที่เกิดอาศัยกันและกันเกิดขึ้น จิตและเจตสิกเกิดดับเร็ว หมุนไปสุดที่จะประมาณได้ ยากที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจว่า ที่จริงแล้วไม่มีใครเลย เป็นธรรม และธรรมเสมอกันหมด ไม่ว่าจะเขาหรือเรา ธรรมเป็นธรรม เห็นเป็นเห็น นกเห็นไหม งูเห็นไหม ปลาเห็นไหม เห็นเป็นนก หรือเป็นคน หรือเป็นปลา เห็นต้องเป็นเห็นเท่านั้น ไม่ใช่นก แต่ถ้ามีรูปร่างมาประกอบ เราก็บอกว่ามดเห็น ช้างเห็น แต่จริงๆ แล้วเห็นไม่ใช่มด ไม่ใช่ช้าง เห็นเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบตา ปรากฏให้เห็นสีสันวัณณะหลากหลาย และรูปร่างสัณฐานต่างกัน สภาพที่จำก็จำไว้เลยว่านั่นเป็นใคร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมทั้งหมดโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหมเมื่อไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่าได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม
ดังนั้น ความเข้าใจธรรมจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ทำให้พ้นจากความทุกข์เพราะความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะดับความไม่รู้ ซึ่งยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราในสังสารวัฏฏ์นานแสนนาน ไม่เกิดอีกเลย เป็นประโยชน์ไหมที่จะรู้ความจริง หรือจะหลงว่าเป็นเราเกิด แล้วเราก็ตาย และก่อนตายเราก็มีอะไรตั้งมากมาย เมื่อถึงเวลาตายเเล้วไหนของเรา เพราะไม่มีเราก็มีของเราไม่ได้
ร่างกายนี้เป็นของเราหรือเปล่า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นของเราหรือเปล่า แค่นี้ หลงเข้าใจว่าเป็นเราและของเรามานาน แต่ความจริงก็คือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบสัมผัสก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ แขนขาด ขาขาด ฟันหัก ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วไหนเรา แล้วไหนของเรา
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง แล้วก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้องซึ่งนำความทุกข์มาให้
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๑
อ.ธีรพันธ์ วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ร่วมกันมาเพื่อนมัสการสถานที่ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าใครมาที่นี่เป็นครั้งแรกบ้าง ต้องเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นที่ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มา และที่มากันก็มีจุดประสงค์หลายอย่าง บางคนยังไม่เข้าใจธรรมเลยแต่ก็มา บางคนฟังธรรมแล้วมีความเข้าใจ รอโอกาสที่จะมา จนกว่าจะได้มา แต่ความจริงแล้วก็คือคำว่า พุทธศาสนา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประการแรกที่สุดต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ประมาท ฟังเผินๆ รู้สึกว่าก็ไม่ยาก เหมือนจะเข้าใจได้ ความจริงเขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพุทธคือผู้ตื่น แปลว่าเราหลับ แต่ผู้ที่ตื่น คือตื่นเมื่อรู้ความจริง ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงจะชื่อว่าตื่นไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร กำลังหลับอยู่หรือเปล่า และหลับมานานเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่หลับเมื่อสักครู่ตอนนอนพัก แต่หลับในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าไม่เคยตื่นขึ้นรู้ เพราะไม่ได้เข้าใจว่าสิ่งที่มีขณะนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่รู้ แต่ตรัสรู้หมายความว่า รู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ถ้าเป็นคนที่ได้สะสมมา ได้เคยฟังธรรม ได้เคยมีความเข้าใจความลึกซึ้ง แค่ได้ยินคำว่าธรรม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ถ้าใครจะคิดว่าธรรมง่าย เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองคิดดู พระองค์ตรัสคำซึ่งเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ดังนั้นแต่ละคำเป็นปัญญาระดับไหน แต่ละคำที่ตรัสไม่ใช่เป็นคำของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เป็นคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง
แต่ละคำจึงลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครสามารถจะคิดได้ เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ทำไมถึงต้องนานอย่างนี้ แค่วันเดียว เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง บางคนคอยไม่ได้ เมื่อไหร่จะรู้ความจริงสักที อยู่มาก็ตั้งนานแล้ว ฟังมาตั้งนานแล้ว บางคนก็อาจจะคิดว่าเขาปฏิบัติมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะรู้ นั่นคือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ ได้ฟังคำจริงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ๒๔ พระองค์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร แล้วจะไม่ลึกซึ้งหรือในเมื่อฟังมาแล้วนานเท่าไหร่ ไม่น้อยเลย ๔ อสงไขยแสนกัปป์ กว่าจะได้รู้ความจริง
เพราะฉะนั้น เวลาที่ตรัสแม้แต่คำเดียว คำว่าธรรม พระปัญญาของพระองค์ พูดคำเดียวกัน เราพูดว่าธรรม พระองค์ก็ตรัสคำว่าธรรม แต่ผู้ตรัสคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของพระองค์ที่กล่าวคำว่าธรรมคำเดียวกัน เเต่ต่างกันแค่ไหน ดังนั้น จึงมีคำว่าเข้าใจโดยบริบูรณ์ หมายความว่าโดยสมบูรณ์จริงๆ แค่คำว่าธรรม เราเข้าใจบริบูรณ์หรือยัง สมบูรณ์หรือยัง หรือว่าน้อยแค่ไหน ก็เป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อจะไปเป็นพระโสดาบัน หรือว่าฟังเพื่อที่จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ฟังเพราะรู้ว่าจากนานแสนนาน ยิ่งกว่า ๔ อสงไขยแสนกัปป์ที่ผ่านมา เราอยู่ไหน แล้วสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม แค่ไหน กับพระโพธิสัตว์ซึ่งเมื่อได้ยินแล้วทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากพระธรรมจริงๆ คือผู้ไม่ประมาท ไม่ประมาทในแต่ละคำที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ธรรมคำเดียวครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้ที่ยังไม่รู้ ไม่ได้ฟัง จนกระทั่งฟังเข้าใจ จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ธรรมคำเดียวเท่านั้น โดยความสมบูรณ์ของความเข้าใจคำว่าธรรมก็จะต้องมีความลึกซึ้งต่างกัน
เพราะฉะนั้น เราฟัง เพื่อที่จะได้ยินได้ฟัง สิ่งซึ่งเราจะไม่สามารถคิดเองได้เลย เมื่อได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนสนใจทันที ฟังจะได้รู้ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร แต่ละคำไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเหตุว่าคนที่ไม่ตรัสรู้ก็พูดคำทั่วๆ ไป ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ เรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น และเรื่องวิชาการต่างๆ เรื่องความรู้ต่างๆ แต่ว่าเมื่อเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เเต่บางคนไม่เห็นประโยชน์ เมื่อเริ่มฟังเขาก็บอกว่าพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย พูดเรื่องตา ทุกคนก็มีตา พูดเรื่องหู จมูก ลิ้น กาย ใจ พูดเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างก็รู้กันอยู่แล้ว บางคนคิดว่าอย่างนั้น แต่ว่าความจริงแล้วถ้าไม่ประมาทจะรู้ได้เลยว่า คำของพระองค์ต่างกับคำของคนอื่น แม้แต่คำว่าตรัสรู้ ถ้าถามว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร คนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ก็ตอบไม่ได้ เเต่ถ้าลองพิจารณาแต่ละคำ ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ต้องหมายความว่าเดี๋ยวนี้ด้วยใช่ไหม ถ้าทุกอย่างจะเว้นได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วย ซึ่งกว่าเราจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ว่าในชาติไหนที่จะรู้แจ้งอย่างนั้นได้ แต่รู้ได้เลยว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อฟังแล้วยิ่งลึกซึ้ง จนกว่าจะบริบูรณ์สมบูรณ์ว่า ฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่ออย่างอื่นทั้งหมด ดังนั้น ความไม่รู้และกิเลสก็สะสมมา ที่จะแสดงออกโดยการที่อยากรู้ เช่น อยากรู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แล้วคำอื่นไม่อยากรู้หรือ ไม่สมควรจะรู้หรือ เพียงแต่ต้องการรู้คำนี้อย่างนั้นหรือ ซึ่งแต่ละคำของแต่ละคน สามารถที่จะหยั่งลงไปถึงการสะสมแต่ละหนื่ง ไม่เหมือนกันเลยทั้งสิ้น อย่างเช่นวันนี้ อีกไม่นานเราก็จะได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการไปสถานที่ที่เคยประทับ ทรงตรัสรู้หลังจากที่ได้บำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน แล้วหลังจากนั้นก็จะมีคนที่ได้ยินได้ฟังคำ จากที่พระองค์ตรัสรู้และได้ทรงเเสดงธรรมนานถึง ๔๕ ปี
เพราะฉะนั้น เเต่ละคำก็เป็นสิ่งซึ่งมีซ้ำๆ กันในพระสูตร เช่นเรื่องเห็น ไม่ได้มีอยู่ในสูตรเดียว ในสูตรนั้นก็มี ในพระวินัยก็มี โคจร อโคจร พระอภิธรรมก็มี ทุกอย่างก็พูดถึงเรื่องจริงทั้งนั้นเลย และลองคิดดูว่าเป็นเรื่องชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ เเม้เราซึ่งไม่เคยฟังมาก่อนก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่เมื่อฟังแล้วจึงรู้ว่าตั้งแต่ตื่นจนหลับเป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าจะรอบรู้สิ่งที่มีจริงในชีวิต ใครรู้ได้ว่าขณะไหนเป็นธรรม คิดก็เป็นแล้ว ชอบก็เป็นแล้ว โกรธก็เป็นแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะไม่ใช่ธรรม เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมไม่ใช่ไปทำเพื่อรู้อย่างอื่น แต่รู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะว่าความไม่รู้กับความติดข้องพาเราท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์
เมื่อสักครู่นี้เราเที่ยวไปที่ไหนบ้าง ทางตา อาหารมีตั้งหลายอย่าง รสก็มีตั้งหลายรส เที่ยวไปหมดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่พ้นเลยทุกชาติ แต่ไม่เคยมารู้ตรงที่กำลังมีในขณะนั้น เช่นเห็น ก็เห็นตั้งหลายอย่าง แต่รู้เห็นขณะไหนบ้างไหม สักอย่างเดียว และเห็นก็จริงไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เห็นไม่จริง แล้วเราจะไปหาความจริงอื่นจากที่ไหน ถ้าไม่ใช่ขณะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเห็นขณะไหน ยังไม่ได้รู้ความจริงของเห็น เเล้วเดี๋ยวเราก็เห็นอีกๆ ๆ แต่ก็ยังไม่ได้รู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ตื่นจากหลับในสังสารวัฏฏ์ ไม่รู้แม้แต่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อฟังแล้วเราจะค่อยๆ เห็นความจริงว่า พระองค์ตรัสว่าธรรมทั้งหลาย หมายความว่าไม่เว้นเลย ทั้งหมดเป็นอนัตตา
แค่คำนี้ ตั้งแต่ไม่เข้าใจเลย จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าอนัตตาหมายความตรงกันข้ามกับอัตตา แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น อนัตตาอย่างไร ไม่ใช่เรา แต่ก็เป็นเรามาตั้งนาน แต่ว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าเห็นเกิด ถ้าไม่เกิดไม่เห็นใช่ไหม เห็นเกิดแล้วเห็นดับ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้เลย เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดสืบต่อ จนกระทั่งปิดบังแต่ละหนึ่งซึ่งดับ เพราะว่ามีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที
เพราะฉะนั้น โลก ซึ่งถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ก็ยังไม่มีโลกใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรเกิด จะมีโลกโดยไม่มีอะไรเกิดได้อย่างไร ทุกอย่างต้องจริง แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดนั่นคือโลก ภาษาบาลีใช้คำว่าโลกะ เกิดแล้วก็ดับ
ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับ โลกอยู่ไหน เห็นไหมว่าแค่นี้ก็ต้องคิด ฟังแต่ละคำถ้าไม่คิดแล้วเราจะมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นได้อย่างไร สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดดับคือโลกะ ความหมายของโลกในภาษาบาลี ทุกอย่างที่เกิดและดับ
เพราะฉะนั้น โลกอยู่ไหน เห็นไหมว่าถ้าฟังไปโดยไม่คิดเลย เราก็ไม่เข้าใจ แต่ฟังแล้วไตร่ตรองว่าแค่นี้ยังตอบไม่ได้ แล้วจะไปตรัสรู้ความจริงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้อย่างไร นอกจากต้องฟังพระองค์แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้น รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ เราจึงได้ฟังอย่างนี้
ลองตอบกันว่าโลกอยู่ไหน ที่พูดมาทั้งหมดเป็นคำตอบ โลกอยู่ที่สิ่งที่เกิดและดับ จะไปอยู่ที่อื่นได้ไหม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เห็นเป็นโลกแน่นอน ถ้าไม่มีเห็น โลกเห็นไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากเห็นไม่มี เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากเห็นไม่มี แต่โลกทั้งหลายก็มาจากเห็น ใช่ไหม แล้วก็มีการคิด มีการประดิษฐ์ มีอะไรสารพัด เราก็สนใจเเต่เรื่องราวของโลก แต่ไม่รู้ว่าตัวจริงของโลกก็คือสิ่งซึ่งกำลังเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับเร็วมากสุดที่จะประมาณได้
จากการที่เราเรียนรู้เรื่องของจิต จิตเป็นธาตุรู้ สภาพรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร ก็มีพวกเสียง แข็ง ไม่รู้อะไรเลย แต่เห็น ได้ยิน พวกนี้ก็คือจิต เพราะเหตุว่ากำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ได้ยินก็ต้องรู้เสียงที่ปรากฏ เห็นก็ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้กลิ่นก็ต้องมีกลิ่น แล้วก็มีสภาพที่รู้กลิ่น กลิ่นจึงปรากฏได้ แต่ว่าโลกเกิดดับเร็วแค่ไหน ลองคิดดู จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ รู้ได้เพียงหนึ่งอย่าง เพราะว่ามีเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งที่ทำให้จิตรู้เฉพาะอารมณ์นั้น ไม่เป็นอารมณ์อื่น สองอารมณ์ สามอารมณ์ หรืออารมณ์อื่นไม่ได้เลย
ขณะนี้ไม่ว่าอะไรปรากฏ นั่นคือจิตกำลังรู้เฉพาะสิ่งนั้น ไม่ว่าอะไรปรากฏ เห็นไหมว่าต้องแต่ละคำ ไม่ว่าอะไรปรากฏ จิตรู้เฉพาะสิ่งนั้น จะรู้สิ่งอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วเท่าไหร่ มีคนอยู่ในห้องนี้กี่คน มีรูปภาพ มีอะไรตั้งหลายอย่าง แสดงความรวดเร็วของจิต ซึ่งยากต่อการที่จะรู้ความจริงว่าไม่มีอะไรเหลือ ถ้ามีเหลือก็ยังเป็นที่ตั้งของความพอใจได้ แต่เห็นเกิดและดับไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง
เพราะฉะนั้น ได้ยินเสียงหนึ่งดับ เสียงเมื่อครู่นี้ดับ ไม่กลับมาอีกเลย แสนที่จะธรรมดา แต่ปัญญาไม่รู้เพราะว่าหลับสนิทเลย เป็นเรื่องเป็นราวต่อกันมาตั้งแต่เกิด ไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้แล้วก็ติดข้อง แล้วตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นอย่างนี้ แม้แต่เสียงเมื่อครู่นี้เองก็แสดงความเป็นธรรม ไม่มีแล้วเกิดมีได้อย่างไร มีแล้วก็ดับไป ดับหมายความว่าไม่กลับมาอีก จะไปหาอีกที่ไหนไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์ จะไปหาที่สวรรค์ ที่นรก ที่โลกไหนๆ ก็ไม่มีเลย ดับจริงๆ ไม่เหลือจริงๆ
ดังนั้นหมายความว่า ทุกคนที่ไม่รู้ความจริงก็ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แต่หลงว่ามี เพราะสิ่งนั้นดับแต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย ซ้ำจนกระทั่งปรากฏเป็นคนแต่ละหนึ่งคน แต่ลองคิดดูว่ากว่าจะเป็นแต่ละหนึ่งคน หรือเป็นดอกไม้แต่ละดอกนั้น เห็นเกิดดับนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ความจริงตามที่ได้กล่าวไว้ตอนต้น ทุกสิ่งที่มีจริง มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราถูกต้องไหม ดับแล้ว ไม่เหลือเลย เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน เมื่อเช้านี้เราอยู่กรุงเทพ ใช่ไหม เเล้วตอนนี้เราตอนที่อยู่บนเครื่องบินอยู่ที่ไหน เราตอนที่อยู่ที่สนามบินอยู่ที่ไหน เราเมื่อครู่นี้อยู่ที่ไหน ไม่เหลือเลย แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ความจริงเลย จึงหลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ มีเหตุที่จะต้องให้เกิด เกิดแล้วต้องดับ แล้วไม่กลับมาอีก ไม่เห็นเสียดาย
เราเสียดายตัวเราเมื่อวานนี้ไหม เสียดายตอนเช้าที่เราอยู่ที่สนามบินไหม ตอนนี้เรามาอยู่ตรงนี้ หมดแล้ว ไม่รู้ แต่ก็หลงติดข้องว่ายังอยู่ เพราะฉะนั้น ธรรมก็เป็นเรื่องจริงที่ลึกซึ้งมาก แล้วก็ต้องเป็นปกติ เพราะเหตุว่าต้องรู้เห็นซึ่งไม่เคยรู้ว่าเห็นดับ จึงยึดถือว่าเป็นเราเห็น ไม่ว่าเมื่อไหร่เห็นเกิดเป็นเราเห็นหมด เมื่อไหร่ได้ยินเกิดเป็นเราได้ยินหมด แต่นั่นเกิดแล้วดับจะเป็นเราได้อย่างไร มีใครจะปฏิเสธคำนี้หรือเห็นว่าไม่ถูกต้องบ้างไหม ธรรมไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่าให้ไตร่ตรอง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นมิตรที่ดีจะไม่คิดถึงว่าที่เขาพูดนั้นคิดอะไร เขาเข้าใจอะไร เขาอยากให้คนอื่นเข้าใจอะไร แต่ว่าพูดเพื่อให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจ ดังนั้น จึงมีสนทนา เพื่อที่จะรู้ว่าความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน จากการที่พูดธรรมดาๆ อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วฟังเกือบไม่ทัน ใช่ไหม เพราะเหตุว่าฟังแล้วก็หมดไป ดับไป แต่เมื่อถาม ต้องคิด ถ้าไม่ถามจะไม่รู้เลย สังเกตดูจากหลายครั้งที่ไปพูดที่อื่นก็ตอบกันได้นิดๆ หน่อยๆ แต่พอไปไกลๆ หน่อยเเล้วกลับมาทวนตอนต้น ที่ตอบโดยคิดว่าเข้าใจก็หายไปแล้ว เพราะยังไม่มั่นคง
ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจเริ่มทีละเล็กทีละน้อย แต่ยังไม่สามารถที่จะละกิเลส หรือว่าละความเป็นตัวตนได้ แต่ต้องมั่นคง มั่นคงถึงระดับไหน นี่แสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้สภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ นานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ไม่เปลี่ยนเลย จนกว่าจะได้ยินคำซึ่งเริ่มจะตรึกเพราะรู้ว่าคำนั้นจริง จริงที่ตรงกันข้ามกับการไม่รู้แต่เดิมเลย แต่เดิมคือเป็นเราทั้งตัวเลย
แต่เมื่อได้ฟังแล้วเป็นเราตรงไหน มีแต่สิ่งที่มีเพราะเกิดแล้วก็ดับ เช่นที่ตัว ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นเราหมดเลย แต่หารู้ไม่ว่าอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบเลย พร้อมที่จะแตกได้ทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดเเตกได้หมด แล้วไหนเป็นเรา ใช่ไหม
ทุกอย่างที่ตัดออกไปอยู่ข้างนอกแล้วจะเป็นเราหรือ หรือว่าจะตามไปคิดว่าเป็นเรา นั่นผมของเรา ตัดเเล้วก็ทิ้งไปใช่ไหม ทำไมไม่รักผมของเราเหมือนตอนที่ยังอยู่ที่ตัว ตอนนั้นใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้ใช่ไหม ซึ่งเมื่อเเยกออกไปแล้วก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป แต่ความจริงทุกส่วนแยกออกได้ และความจริงก็คือกำลังเกิดดับ
เพราะฉะนั้น คุณค่าของพระธรรมไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
