ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172


    ตอนที่ ๑๑๗๒

    สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่

    วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเท่านั้น พระพุทธศาสนาไม่ใช่ให้คนไม่เข้าใจ ถ้าผิดก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องละเอียดมาก อย่างคำถามเรื่องภวังคจิตใช่ไหม โดยอะไร ไม่ใช่โดยชาติ ภวังคะ เป็นกิจ ที่จิตจะต้องเกิดขึ้น ทำกิจหนึ่งกิจใด ไม่มีจิตที่เกิดลอยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่ต้องรู้ว่าจิตนั้นทำกิจอะไร จะได้รู้ว่าจิตนี่หลากหลาย ไม่ใช่เรา กิจทั้งหมดมีกี่กิจ

    ผู้ฟัง ๑๔ กิจ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม พอพูดถึง ๑๔ กิจ นี้เราจำได้ แต่พอพูดถึงภวังค์เราไม่นึกถึงว่าเป็นกิจเท่านั้น พูดถึงจิตที่ทำกิจนั้น แล้วเราก็ไปพูดถึงอกุศล กุศล ซึ่งเป็นชาติไม่ใช่เป็นกิจ เราไม่ได้ถามว่าจิตชาติอะไร ทำกิจนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องตรง ให้เข้าใจละเอียดขึ้นว่า กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราก็ต้องเข้าใจจิตโดยประการต่างๆ โดยชาติ โดยอารมณ์ โดยกิจ ตอนนี้สงสัยเรื่องภวังค์ไหม

    ผู้ฟัง โดยสรุปแล้วก็คือตั้งแต่เกิดมา จิตกับเจตสิกก็ทำหน้าที่มาเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ แต่เฉพาะหนึ่งเฉพาะหนึ่ง จิตหนึ่งทำได้หนึ่งกิจ จิตหนึ่งทำ ๒ กิจไม่ได้

    ผู้ฟัง ก็คือไม่ได้เกิดมาจากเหตุอื่นๆ ที่ทำให้แต่ละคนเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่เป็นโลกนี้ก็คือจิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง รูปอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็ตั้งต้นคือจิตหรือเจตสิกหรือรูปเท่านั้น ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้

    ผู้ฟัง การอบรมทางโลก และก็ไม่มีผลกับแต่ละคน แต่ละคน

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าท่านตรัสรู้อะไร ท่านสอนอะไร ท่านรู้อะไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าตามเหตุ และปัจจัย คำว่าตามเหตุและปัจจัย ภาษาธรรมนี่มีความละเอียดแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องฟังตามลำดับ เดี๋ยวนี้มีอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็มี

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีต้องเกิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดไม่มี

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ อะไรก็ตามเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น มีสิ่งที่มี ใครจะห้ามไม่ให้มีไม่ได้ เย็นอย่างนี้ ร้อนนี่ แข็งนี่ เป็นสิ่งที่มีใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ห้ามไม่ให้มี ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มี

    ผู้ฟัง คำนี้ก็คือ ตามเหตุและปัจจัยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ให้เข้าใจไว้ตั้งแต่ต้นเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี หมายความว่าต้องเกิด เกิดต้องอาศัยเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสม ก็เกิดไม่ได้ อย่างได้ยินอย่างนี้ไม่มีหู ไม่มีเสียง จะมีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ทุกสิ่งเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้คำว่าสังขารธรรม ธรรมที่อาศัยกันปรุงแต่งเกิดขึ้น สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นมีธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่ธรรมที่เกิดเท่านั้นเป็นสังขารธรรม เกิดแล้วต้องดับ ขยายอีก เพราะฉะนั้นไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงควรหรือที่จะพอใจติดข้อง เพราะแค่เกิดมามี แล้วไม่มีทันทีเลย แต่ไม่รู้ กว่าคำนี้จะเข้าไปอยู่ในใจ จนกระทั่งประจักษ์ถึงภัยอันใหญ่หลวง ที่ว่าเกิดทำไม เกิดแล้วดับ ไม่มีอีกแล้ว จากไม่มีเลยก็มีขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วหายไปเลย แต่เพราะไม่รู้ก็คิดว่าสิ่งที่เกิดสืบต่อนี้สนิทมากจนเหมือนสิ่งเก่าไม่ได้ดับไปเลย

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ นี่คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยปัญญาของพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมี เพื่อจะรู้สิ่งที่มีซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ โดยแสดงคำจริงที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา

    ผู้ฟัง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาโดยที่เราทำขึ้นมาเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา จะเป็นเราได้อย่างไร ไม่มีเห็น แล้วเกิดเห็น แล้วเห็นดับไปไม่มีอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ จะเป็นเราได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรม แค่สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง เพียงแค่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสังขารธรรม อาศัยปัจจัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง แต่ว่ามันรวดเร็วมาก

    ท่านอาจารย์ ลวงเหมือนกับมายากล ใช่ไหม เพราะความเร็ว เพราะฉะนั้นเราประมาณไม่ได้เลยว่า จิตหนึ่งขณะไหนเกิดขึ้นรู้หนึ่งขณะจิต

    ผู้ฟัง เราต้องท่องไหม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ท่องเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง แต่อาจารย์บอกให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เข้าใจไม่ใช่ท่อง เข้าใจคือฟัง ได้ยิน ไตร่ตรอง รู้เรื่อง ไม่ใช่ท่อง เพราะฉะนั้นจิตท่องหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ จิตจำหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จำ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เห็นไหม เราจะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น คิดเองหมด ได้ยินคำก็คิดต่ออีกอย่าง เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะไม่มีวันที่จะถูกต้อง ต้องฟังทุกคำ รู้ว่าไม่พอ แค่ได้ยินคำว่าจิตยังไม่พอ ต้องฟังต่อไปอีก จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ คำว่าอารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เสียงในป่าไม่มีใครได้ยิน ได้ยินไม่ได้เกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น เพราะฉะนั้นเสียงนั้นไม่ใช่อารมณ์ เกิดแล้วดับแล้ว หมดแล้ว แต่เสียงปรากฏ เสียงเป็นอารมณ์ของจิตที่กำลังได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นเท่านั้นที่ปรากฏ หมดแล้ว เวลาได้ยินไม่มี เสียงจะมีไม่ได้ เร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงปิดบังความจริงไว้ในสังสารวัฎฏ์ และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก็จะหลงยึดที่ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากไม่มี แล้วเกิดมี แล้วไม่รู้ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทิฏฐิมาแล้วใช่ไหม ยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นเรา เป็นเขา เพราะฉะนั้นจากไม่รู้ใช่ไหม ก็มีความเป็นเกิดขึ้น แล้วยึดถือความเป็นว่าเป็นเรา เมื่อมีเราแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ก็พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ กิเลส อกุศลเจตสิกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยประเภทกว้างขวางมาก ประเภทที่มีแต่ไม่รู้ เพราะไม่เกิดขึ้นให้รู้ แต่มี กำลังหลับสนิท พระอรหันต์หลับสนิท โจรหลับสนิทเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ พระโสดาบันหลับสนิท กับพระอรหันต์หลับสนิทเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน เพราะอกุศลที่ละเอียดยังไม่ได้ดับ ยังติดตามนอนเนื่องอยู่ในจิตไม่เกิดปรากฏ เราไม่รู้เลยว่าเรามีกิเลสมากมายแค่ไหน ที่ทำมาแล้วในสังสารวัฏฏ์นี่ร้ายแรงแค่ไหน ไม่มีทางรู้ได้เลย ถ้าไม่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็ยังมีกิเลสที่เกิด แต่ไม่รู้ อย่างเห็นอย่างนี้ดับแล้ว แค่จิตเกิดต่ออีก ๓ ขณะ สิ่งที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์เนิ่นนานออกมาเลย เป็นอกุศลคือไม่รู้ เห็นนี่ก็ไม่มีใครรู้ ดับแล้วก็ไม่รู้ มีจิตเกิดสืบต่อก็ไม่รู้ เป็นเราไปหมดเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทีละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ มีแน่ๆ กำลังมีด้วย แต่ธรรมมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เสียงเกิดขึ้นเป็นเสียงเท่านั้นเอง กลิ่นเกิดขึ้นเป็นกลิ่นเท่านั้นเอง เสียงจะเป็นกลิ่นไม่ได้ กลิ่นจะเป็นเสียงไม่ได้ เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ แค่นั้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มากมาย หลายอย่างประมวลเรียกว่ารูปธรรม เมื่อใช้คำว่ารูปธรรมก็หมายความว่ามี ไม่ใช่ไม่มี จริง ไม่ใช่ไม่จริง แต่ไม่รู้อะไร ก็เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดรู้ เกิดรู้ ไม่มีใครไปทำอะไรเลย แต่มีเกิดขึ้นรู้ และก็หลากหลายมาก แต่ที่รู้ว่าขณะนี้อะไรกำลังปรากฏกำลังเห็น พอเสียงปรากฏ รู้เฉพาะเสียงที่ปรากฏ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้นเอง แค่รู้ นั่นคือจิต แต่จิตก็ต้องมีสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าขณะนี้แม้จิตเห็นก็ต้องมีสภาพธรรมที่กระทบกับสิ่งที่กำลังเห็น เวลาได้ยินสภาพธรรมนั้นกระทบกับเสียง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา จิตเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่เป็นอิสระ เพราะต้องเป็นไปตามปัจจัย กระทบตาจะให้จิตได้ยินเกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมเท่านั้นจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือสภาพรู้ ซึ่งประมวลไว้มากมาย ว่าสภาพรู้ทั้งหมดนี่ เป็นนามธรรม ทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นคำที่เปลี่ยนไม่ได้เลยคือธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียวเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพียงแค่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป รวมถึงนิพพานด้วย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ จิตเกิดเพราะมีเจตสิกปรุงแต่ง จิตได้ยิน ต้องมีเจตสิกที่กระทบกับเสียง จิตได้กลิ่นต้องมีเจตสิกที่กระทบกลิ่น ขณะนี้อาจมีบางคนคิดเรื่องอื่น จิตกำลังกระทบสิ่งนั้น จิตจึงรู้สิ่งนั้น จิตเป็นสภาพรู้อย่างเดียว แล้วแต่เจตสิกซึ่งจะต้องมีเจตสิกเกิดกับจิต ทุกขณะอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท

    เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น กว่าจะถึงปัญญาอีกมากมายมหาศาลกว่าที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ เพราะทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เป็นคำที่พระองค์ตรัสจากการที่ทรงตรัสรู้ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ไตร่ตรอง แต่สภาพนั้นกำลังเกิดดับจริงๆ สามารถที่ปัญญาจะรู้ได้ มิฉะนั้นคำพูดทุกคำจะมีประโยชน์อะไร แค่พูด รู้ไม่ได้ แต่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ขณะที่เพียงเริ่มฟัง ไม่อย่างนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟังเราจะไม่ทราบเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ผ่านมาแล้วในสังสารวัฎฏ์ นับไม่ถ้วนอยู่ในความมืดสนิท

    ผู้ฟัง ถึงฟังแล้วเราก็ลืม

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฟังแล้วเข้าใจตอนนั้น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วจริงๆ ลืมไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจจริงๆ แล้วไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแสดงว่าเข้าใจยังไม่พอ

    ผู้ฟัง ต้องฟังจนฝังใจ

    ท่านอาจารย์ จนเข้าใจจริงๆ ไม่ลืม

    ผู้ฟัง เพราะแค่จิตเจตสิกแล้วก็รูปใช่ไหม ทุกคนเกิดมาจะต้องมี ๓ อย่างนี้ ติดตัวมาตลอด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีตัว เห็นไหม กว่าจะถึงไม่มีตัวมีแต่จิตเกิดพร้อมเจตสิก และรูป ไม่เกิดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ได้ทำให้เกิดก็ต้องเกิด เกิดดีช้่วอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว

    ผู้ฟัง แสดงว่ารูปนี้ต้องเปลี่ยนตลอดเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็เกิดดับ ตั้งแต่เกิดมาไม่ใช่เดี๋ยวนี้เลย พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เมื่อสักครู่นี้ มีคนอยู่ในห้องนี้ ถึงเวลาก็ไปไหนหมด ไม่มีสักคนในห้อง ไม่มีใช่ไหม แล้วก็กลับมามีอีก แต่ความจริงจะอยู่ตรงไหน เพียงแค่มีแล้วดับ แต่มีปัจจัยให้รูปเกิดอีก ทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัยทั้งนั้น ต่อกันมานี่ไม่มีอะไรดับไปแสดงว่าปัจจัยมากมาย

    ผู้ฟัง ทุกอย่างผ่านไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่กลับไปอีกเลยสักอย่างเดียว จึงไม่มีคน

    ผู้ฟัง ก็น่าใจหาย

    ท่านอาจารย์ อกุศลใจหาย แต่ปัญญาเบิกบาน ได้รู้ความจริงซึ่งไม่สามารถจะคิดเองได้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นความจริงถึงที่สุด ที่จะนำไปสู่ความจริงยิ่งกว่านี้

    ผู้ฟัง ใจมันผ่องเหมือนกับว่าเราได้รู้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อย่างที่อาจารย์บอก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้ความจริงไม่เป็นทุกข์ ไม่ได้ใจหาย ไม่เสียดายไม่ติดข้อง เพราะไม่มี ถ้าอวิชาความไม่รู้ก็มี มีเรา แล้วมีเพื่อนมากมาย มีครอบครัว มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นั้นไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง มันก็ละยาก

    ท่านอาจารย์ ถูกปกปิดไว้ ไม่ได้ให้ใครละ ใครไม่มี ความเห็นถูกมี ความเห็นถูกเท่านั้นที่ละ ถ้ายังไม่เห็นถูกก็ไม่มีทางที่จะละความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อละ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นไปเพื่อละ เพื่อไม่มีทุกข์ ถ้าละแล้วจะมีทุกข์ได้อย่างไร ถามว่าตั้งแต่เกิด คุณวิธีเข้าใจธรรมซึ่งเป็นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะว่าต้องไม่เหมือนคำว่าธรรมที่คนที่ไม่เคยได้ฟังนะคิดกัน

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เคยเข้าใจคำว่าธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่าว่าหมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเหมือนมืด ยังไม่มีแสงสว่างใช่ไหม เพราะแม้คำเดียวว่าธรรมก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าหมายความถึงอะไร เดี๋ยวนี้เข้าใจหรือยัง

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมก็คือของที่มีจริง สิ่งที่ปรากฏ แล้วมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม เห็นไหมว่าจะรู้จักธรรมไม่ใช่คิดเอง ทุกคนที่คิดเองจะพลาด ไม่มีทางเข้าใจธรรมได้เลย ประมาทแม้คำว่าธรรมคำเดียว อันตรายอย่าลืม อ่านพบข้อความในพระไตรปิฏกแล้วไม่เคารพในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดเองหมด เพราะฉะนั้นเหมือนขยะที่แทรกเข้ามาที่จะต้องเอาออกไปจึงสามารถที่จะเห็นความจริง คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ธรรมเดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร ทีละหนึ่ง

    ผู้ฟัง เสียง

    ท่านอาจารย์ ทำไมว่าเสียงมีจริง

    ผู้ฟัง เพราะได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าเสียงไม่เกิด จะได้ยินเสียงไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ จะมีเสียงไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมมากมายหลายอย่างไหม

    ผู้ฟัง หลายอย่าง

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่เสียง ทางตาบ้างก็เห็นสี

    ท่านอาจารย์ เห็นกับสีเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง เห็นกับสี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอย่างเดียวกันหรือเปล่า ฟังคำถามแล้วคิดจนเข้าใจแล้วตอบ สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตากับเห็นเป็นธรรมอย่างเดียวกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วจะไปฟังอะไรต่อ ทีละคำจนเข้าใจบริบูรณ์ในคำนั้น แล้วจะรู้ได้ว่าบริบูรณ์ระดับไหน ระดับฟังรู้เรื่อง หรือว่าระดับถึงกับประจักษ์แจ้งในความเป็นธาตุนั้นๆ ธรรมกับธาตุเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง อย่างเดียวกันนะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ธาตุก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทำไมธาตุเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ธาตุมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ธรรมหนึ่งก็เป็นธาตุหนึ่ง แต่ทำไมธรรมเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเรา พระองค์ไม่ได้ประสงค์ที่จะแสดงความรู้ของพระองค์แล้วไม่ให้ใครเข้าใจ แต่ว่าทุกคำเพื่อประโยชน์ให้คนที่ได้ฟังนี่มีความเข้าใจถูกต้อง นี้เป็นพระมหากรุณา จนกว่าเขาจะเข้าใจ ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา ทำไมธรรมเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง ผมไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมนั้นๆ ที่เกิดเป็นหนึ่งให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะคำว่าธา-ตุ หรือธาตุ หมายความถึงสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่ง ลักษณะอย่างนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ร้อนเป็นเสียงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ หวานเป็นแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นหวานเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือถ้าจะเข้าใจธรรมก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเดี๋ยวนี้ที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นดอกไม้ เป็นอะไรก็ตาม ก็ต้องมาจากสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะที่หลากหลาย แล้วรวมกัน ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คืออัตตาหรืออัตตานุทิฏฐิ ความเห็นที่คล้อยตามในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีรูปร่างต่างๆ เพราะเกิดดับอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ใครจะรู้ นอกจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตัวคุณวิธีมีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ธรรมที่ตัวเป็นคุณวิธีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ นี่คือการเริ่มต้นที่จะรู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องตั้งต้นอย่างนี้เพราะว่าหนทางนี้จะเป็นหนทางนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิด โดยไ่ม่มีปัจจัยอาศัยกันและกันปรุงแต่งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครบันดาลได้เลยสักคนที่จะให้อะไรเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ เหมือนกับว่าดอกกุหลาบเป็นหนึ่ง แต่ความจริงมีอะไรบ้าง ที่ดอกกุหลาบ

    ผู้ฟัง สี

    ท่านอาจารย์ เป็นหนึ่งใช่ไหม กลิ่นเป็นหนึ่ง อะไรอีก

    ผู้ฟัง อ่อน

    ท่านอาจารย์ เป็นหนึ่ง

    ผู้ฟัง แข็ง

    ท่านอาจารย์ เป็นหนึ่ง หนึ่งทั้งนั้นเลย เกิดขึ้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิด และดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ และปัจจัยที่ทำให้เกิดดับ สิ่งนั้นก็ต้องดับใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเสียงดับ จะได้ยินต่อไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นคุณวิธีได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นจิต

    ท่านอาจารย์ จิตคืออะไร

    ผู้ฟัง จิตก็คือธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ธาตุรู้ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจิตเป็นธรรม นี่คือความเริ่มจะบริบูรณ์ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำต่อๆ ไปได้เลย เพราะฉะนั้นมีคุณวิธีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีอะไร อีกที ซ้ำไปซ้ำมาจนบริบูรณ์ ไม่มีคุณวิธีแต่มีอะไร

    ผู้ฟัง มีธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่ถ้าคิดเห็นไหม ไม่ใช่ว่าตามคำ แต่ต้องคิด มีธาตุไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ธาตุกับธรรมต่างกันตรงไหน

    ผู้ฟัง ก็ไม่ต่าง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหมต้องมั่นคงจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอถามมาอย่างแล้วเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามไม่ได้พูดถึงเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริงทีละหนึ่งให้เข้าใจ เขาพูดธรรมหรือเปล่า ถ้าพูดเรื่องอื่นไม่ใช่พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด ไม่มีอะไรจริงยิ่งกว่านี้ คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่งแล้วก็ดับไป เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง พูดเรื่องธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผู้ฟังสามารถที่จะรู้เลยกำลังฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดเอง คุณวิธีเคยได้ยินคำที่คนคิดเอง แล้วพูดไหม ว่าพูดธรรม

    ผู้ฟัง อาจจะเคย แต่ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จักธรรมแล้วเขาไม่ได้พูดธรรม คุณวิธีทราบไหมว่าไม่ได้ฟังธรรม

    ผู้ฟัง ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเคยฟังคนที่ไม่ได้พูดธรรม แต่บอกว่าธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ เคยก็ต้องเคย ไม่เห็นเป็นไร เป็นความจริงก็เป็นความจริง ถ้าไม่พูดความจริง คนก็จะเข้าใจความจริงไหม คนก็ยังคิดว่าความไม่จริงนั้นแหละเป็นความจริง ถ้าไม่พูดสิ่งที่ถูก คนจะรู้ไหมว่าอะไรผิด

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด เขาก็ยังคงคิดว่าผิดเป็นถูก แล้วดีไหมที่จะให้เขาเข้าใจผิดไปตลอด

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เป็นคนที่หวังดีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่หวังดี

    ท่านอาจารย์ ถ้าหวังดี อาจหาญที่จะพูดคำจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะเหตุว่าเป็นจริงทุกขณะ เพราะเป็นธรรมจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดคำจริงดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์ไหม

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ คนชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เป็นไรใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีความหวังดีที่สุด ที่ไม่หวั่นไหว ขอให้ใครก็ได้ที่ไม่ได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรมในชาตินั้น แล้วก็จะเป็นประโยชน์ในชาติต่อๆ ไปด้วย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    31 ส.ค. 2568