ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
ตอนที่ ๑๑๖๙
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตของชาตินี้ มีอารมณ์เดียวกับจิตก่อนจุติของชาติก่อน เป็นวิถีมุตตจิต ไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดเลย ที่ใช้คำว่า หลับสนิท คือโลกไม่ปรากฏ ซึ่งเหมือนกับขณะเกิด จิตขณะเกิดทำปฏิสนธิกิจ ถ้าศึกษาต่อไปจะรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นต้องทำกิจ ไม่ใช่เกิดมาลอยๆ เลย เมื่อศึกษาเรื่องจิตต้องรู้ว่าจิตนั้นทำกิจอะไร กิจ คือ หน้าที่เฉพาะของจิตนั้น จิตนั้นจะไปทำหน้าที่ของจิตอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตมีหน้าที่ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ หน้าที่อะไร
ผู้ฟัง หน้าที่ปฏิสนธิกิจ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จิตอื่นทำกิจนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เฉพาะจิตขณะแรกเท่านั้นที่ทำปฏิสนธิ สืบต่อจากจุติจิตทันที ไม่มีระหว่างคั่น จิตอื่นจะเกิดต่อจากจุติจิตของชาติก่อนไม่ได้ แสดงว่าทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาตินี้เกิด ไม่ว่าภพไหน ภูมิไหน จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาติต่อไปเกิดขึ้นทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้น จิตขณะแรกของชาตินี้ทำกิจอะไร
ผู้ฟัง ทำปฏิสนธิกิจ
ท่านอาจารย์ ดับแล้ว จิตที่เกิดต่อทำปฏิสนธิกิจอีกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง มีจิตดวงต่อไป
ท่านอาจารย์ คำตอบก็อยู่ที่คำเมื่อครู่นี้ เพราะจิตนี้ทำกิจสืบต่อจากจิตขณะสุดท้าย คือจุติจิตของชาติก่อน ดังนั้นจะเป็นจิตอื่นไม่ได้ จุติจิตของชาติก่อนเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตของชาตินี้เกิด โดยอนันตรปัจจัย ทุกอย่างก็คือสิ่งที่เป็นธรรมดาๆ เพียงแต่เราใช้คำภาษาบาลี แทนที่เราจะบอกว่าจิตขณะแรก ต้องมีแน่ๆ ของชาตินี้ จิตเกิดแล้วต้องทำกิจหนึ่งกิจใด ทั้งหมดมี ๑๔ กิจ ไม่ว่าจิตประเภทไหน ต้องทำกิจ ๑ ใน ๑๔ กิจ ซึ่ง ๑ ใน ๑๔ กิจ กิจแรกคือปฏิสนธิ กิจสุดท้ายคือจุติ ปฏิสนธิเกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง หนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ สองขณะได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรมชาติของจิตอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เป็นจิตที่สืบต่อปฏิสันธิจากจุติ ชัดเจน จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลยนอกจากจิตขณะแรก ซึ่งใช้คำว่าปฏิสนธิ สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เพราะฉะนั้น จิตอื่นนอกจากวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่งทำปฏิสนธิกิจ เป็นปฏิสนธิจิต เพราะว่าสืบต่อทันทีจากจุติจิตของชาติก่อน
เห็นเกิดหลังจากที่จุติจิตดับ ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จิตอะไรเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนได้
ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิต
ท่านอาจารย์ เป็นชาติอะไร
ผู้ฟัง เป็นชาติวิบาก
ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้ฟัง เกิดขึ้นเพราะกรรม
ท่านอาจารย์ กรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์เป็นปัจจัย เลือกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ชาติหน้า ขอให้เป็นจิตที่เป็นผลของการฟังธรรมเดี๋ยวนี้ ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เหตุทำให้เกิดผล แต่เหตุมีมาก กรรมมีมาก แล้วแต่กรรมหนึ่งพร้อมถึงเวลา ใช้คำว่า สุกงอม ที่จะต้องเกิด ร่วงหล่นมาเกิดเป็นปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ เวลาที่จิตนั้นเกิดขึ้น อารมณ์ปรากฏไหม รู้ไหมว่าอารมณ์อะไร
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ มี เเต่ไม่ปรากฏ เพราะไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้น อารมณ์จะปรากฏต่อเมื่ออาศัยตา เพราะสิ่งนั้นกระทบตา สิ่งที่กระทบตาปรากฏกับจิตที่เกิดขึ้นเห็น จึงต้องอาศัยตา เป็นจักขุวิญญาณ ธาตุรู้ที่อาศัยตา ก็บอกถึงทวารอยู่แล้วว่าต้องเป็นทางตาเท่านั้น ต้องเป็นจักขุปสาทรูปเท่านั้นที่ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ จิตอะไรเกิดสืบต่อ
ผู้ฟัง ภวังคจิต
ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิอีกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นภวังค์ทันที ภวังคจิตคืออะไร
ผู้ฟัง คือจิตที่ดำรงภพชาติ
ท่านอาจารย์ เพราะว่า ภพ หรือ ภว ความหมายเดียวกัน ความมี ความเป็น อย่างนั้นที่เกิดแล้ว เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ถ้ารูปร่างสัณฐานเกิดขึ้นเป็นนก ต่อไปก็ต้องเป็นนกไปจนกว่าจะตาย เป็นไก่ไปจนกว่าจะตาย เป็นคนไปจนกว่าจะตาย ต้องเป็นไปตามปฏิสนธิ
กรรมทำให้จิตขณะแรกเกิดขึ้นขณะเดียวไม่พอ เพราะฉะนั้น กรรมทำให้เป็นบุคคลนั้นต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรม ที่เราใช้คำว่าถึงแก่กรรม เขาถึงแก่กรรม หมายความว่า ถึงการสิ้นสุดของกรรมที่จะทำให้เป็นคนนั้น เป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้ก็คือ ตาย แต่ระหว่างที่ยังไม่ตายกรรมยังมีโอกาสให้ผล เกิดเป็นนก มีชีวิตอย่างนก เห็นอย่างนก ได้ยินอย่างนก ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าเป็นคนไม่ได้ เพราะปฏิสนธิจิต เกิดจากอกุศลกรรม ทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพียงแต่ว่า เมื่อได้ยินคำไหนก็จะต้องเข้าใจสิ่งนั้น สาวไปถึงอย่างอื่นตั้งแต่ต้นคือธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างไม่พ้นจากธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เวลาที่ภวังคจิตเกิด มีอะไรปรากฏไหม จิตเป็นสภาพรู้ ขณะที่ภวังคจิตเกิด อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง มีอารมณ์จากชาติที่แล้ว
ท่านอาจารย์ ปรากฏไหม
ผู้ฟัง ดำรงภพชาติ ไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต กับ ภวังคจิต เป็นประเภทเดียวกัน ต่างกันที่กิจที่จิตนั้นไม่ได้สืบต่อจากจุติ แต่ต้องเกิดจากกรรมเดียวกัน ดำรงภพชาตินั้น เป็นภวังคจิตที่ทำภวังคกิจ เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต เป็นจิตประเภทเดียวกัน ปฏิสนธิจิตเป็นอย่างหนึ่งดับไป จะให้ภวังคจิตเป็นจิตอื่นไม่ได้เลย ต้องเป็นประเภทเดียวกัน เพราะเกิดจากกรรมเดียวกัน
ตอนตาย จิตขณะสุดท้ายเป็นจิตอะไร
ผู้ฟัง จุติจิต
ท่านอาจารย์ ชื่อว่าจุติ เพราะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ จุติ คือ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับเป็นคนนี้อีกสักหนึ่งขณะก็ไม่ได้ จุติจริงๆ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้จริงๆ กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกสักหนึ่งขณะจิตก็ไม่ได้ จุติจิตมีอารมณ์ไหม
ผู้ฟัง มีอารมณ์
ท่านอาจารยื มีอารมณ์อะไร
ผู้ฟัง จุติจิตมีอารมณ์ของชาติที่แล้ว
ท่านอาจารย์ จุติ เหมือนปฏิสนธิ เหมือนภวังค์ เพราะเหตุว่าเกิดเป็นคนก็เป็นคนไปตลอด จนกว่าจุติจิต จิตขณะสุดท้ายสิ้นสุดความเป็นคนนี้ แล้วแต่กรรมจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นอะไร กรรมหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต มีอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ คือพ้นทวาร เพราะถ้าปรากฏต้องอาศัยทวารทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร เพราะฉะนั้น ก็เป็นทวารวิมุติ และจิตนั้นก็ไม่ใช่วิถีจิตด้วย เพราะไม่ได้อาศัยทวารเกิดขึ้นรู้อารมณ์ของโลกนี้สืบต่อกัน เพราะฉะนั้น มีจิต ๓ ขณะ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต คุณวินัยหลับนานไหม
ผู้ฟัง หลับนาน
ท่านอาจารย์ ขณะหลับเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นภวังคจิต
ท่านอาจารย์ เกิดดับหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นานไหม
ผู้ฟัง นาน
ท่านอาจารย์ หนึ่งขณะ
ผู้ฟัง หลายขณะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงถามว่าปฏิสนธิจิตเกิดกี่ขณะ ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกเกิดสืบต่อจากชาติก่อน มีกี่ขณะ
ผู้ฟัง หนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ สืบต่อต้องหนึ่งขณะใช่ไหม แล้วจุติจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ กลับเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย เกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง หนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ ภวังคจิต เกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง หลายขณะ
ท่านอาจารย์ ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะเหตุว่าตอนเกิดอารมณ์ไม่ปรากฏ ขณะที่เป็นภวังค์ดำรงภพชาติไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หลับนานเท่าไหร่ ภวังคจิตเกิดดับตลอดเวลา ไม่เกิดดับไม่ได้ นานเท่าไหร่ก็เกิดดับเกิดดับไปอย่างนั้น จุติจิตก็แค่ขณะเดียว อารมณ์ของจุติจิตคืออะไร
ผู้ฟัง เป็นอารมณ์ของชาติที่แล้ว
ท่านอาจารย์ เหมือนกับปฏิสนธิ เหมือนกับภวังค์ เพราะปฏิสนธิทำให้เป็นคนนี้ จะหลับจะตื่นก็เป็นคนนี้ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร เพราะเห็นได้ยินก็ชั่วขณะ แล้วก็กลับมาเป็นคนนี้อีก เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือเมื่อเกิดแล้วเป็นภวังค์ นานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ จนกว่าจะเป็นวิถีจิตหนึ่งทวาร แล้วแต่ว่าจะเป็นทวารไหน จึงใช้คำว่าวิถีจิตทางตา วิถีจิตทางหู หลายขณะใช่ไหม
วิถีจิตทางตา ภาษาบาลีว่าอะไร
ผู้ฟัง จักขุทวารวิถีจิต
ท่านอาจารย์ ชัดเจน ใช่ไหม จิตที่อาศัยจักขุเป็นทวารรู้อารมณ์ ไม่ใช่ขณะเดียว แสดงเลยว่าขณะไหนบ้าง ต้องเป็นขณะที่ไม่ใช่ภวังค์ เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือเกิดแล้วเป็นภวังค์ จนกว่าวิถีจิตจะเกิด ดับไปหมดแล้วก็เป็นภวังค์ จนกว่าวิถีจิตจะเกิด แล้วก็เป็นภวังค์ ภวังค์ดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้น ลองคิดดู ชีวิตนี้มีสาระอะไร เกิดแล้วเป็นภวังค์ ไม่เป็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เมื่อหมดจากภวังค์ก็เป็นการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด เพราะมีสิ่งนั้นกระทบตาบ้าง กระทบหูบ้าง เมื่อรู้อารมณ์นั้นๆ หมดไปแล้วก็เป็นภวังค์ ที่รู้แล้วหายไปหมดไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับ คือ ดับจริงๆ ภวังคจิตก็ดับ ขณะที่เป็นวิถีจิตเป็นภวังคจิตไม่ได้ หนึ่งขณะเกิดขึ้น หนึ่งขณะนั้นดับไป จึงเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดขึ้น ไม่สิ้นสุด จึงใช้คำว่า อนันตรปัจจัย ยุติไม่ได้ จบไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่บอกว่า อนันตรปัจจัย คือ จิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ แต่ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เมื่อไหร่ จิตแต่ละหนึ่งขณะดับ เป็นอนันตรปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด แล้วแต่จะเป็นภวังค์ หรือเป็นวิถีจิตอะไรก็ได้ โดยจิตทุกขณะ ซึ่งไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์เป็นอนันตรปัจจัย
ทีนี้เราเข้าใจความหมายของพระอรหันต์แล้วใช่ไหม ดับปัจจัยหมด ไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดต่อเหมือนก่อนๆ เพราะว่าเป็นจุติ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แล้วก็เป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีปัจจัย ไม่มีกิเลสเป็นปัจจัย จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไปเพราะดับปัจจัย แต่คนอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันต์ตายแล้วเกิดทันที เพราะปัจจัย คือ จุติจิต เป็นอนันตรปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ จิตอื่นไม่ใช่อนันตรปัจจยุปบัน เข้าใจวิถีจิต แล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจภวังคจิตแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น ชีวิตหนึ่งๆ คืออะไร ภวังคจิตกับวิถีจิตสลับกันอยู่ตลอดเวลา เท่านั้นเอง ขณะใดที่เป็นภวังค์ก็ไม่ใช่วิถีจิต ขณะที่เป็นวิถีจิตหมดแล้ว ดับไปแล้ว ก็ต้องเป็นภวังค์อีก เป็นเราหรือเปล่า ก็เป็นแค่การเกิดดับของจิตที่เป็นภวังค์ และวิถีจิตเท่านั้นเอง
ทั้งหมดก็ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยสักหนึ่งขณะ กว่าละคลายความเป็นเรา คิดดูว่า ต้องมีความเข้าใจระดับไหน ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ละความเป็นเราจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะขณะที่ปัญญาไม่เกิด ก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน จะไม่ให้เป็นเราได้อย่างไร เพราะเป็นเราเพราะไม่รู้มานานมาก
เพราะฉะนั้น จะถึงความเป็นพระโสดาบันก็ด้วยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาเล็กๆ น้อยๆ จากปริยัติ ต้องถึงปฏิปัตติ และจากปฏิปัตติกว่าจะรู้เฉพาะแต่ละหนึ่งๆ จนสภาพนั้นปรากฏการเกิดดับเป็นปฏิเวธ ไม่ใช่เราเลยสักขณะเดียว มาจากความเข้าใจตั้งแต่เริ่มฟัง จนกว่าความเข้าใจนั้นจะมั่นคงขึ้น เข้าใจวิถีจิต เข้าใจจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ได้เป็นเรา
ท่านอาจารย์ ภวังคจิตเกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง เกิดหลายขณะ
ท่านอาจารย์ จุติจิตเกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง เกิดหนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตเกิดกี่ขณะ
ผู้ฟัง เกิดหนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็น เป็นวิถีจิตกี่ขณะ
ผู้ฟัง เห็น วิถีจิตหนึ่งขณะ
ท่านอาจารย์ และดับไป แล้วเป็นวิถีจิตต่อไปอีกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ดับไปแล้วเป็นวิถีจิตต่อ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับไปแล้วเป็นวิถีจิตอีกหรือเปล่า จนกว่ารูปที่กระทบตาจะดับ วิถีจิตเกิดไม่ได้ ต้องเป็นภวังค์ ถ้าทางหูขณะที่เสียงปรากฏ จิตที่รู้เสียงเป็นวิถีจิตทั้งหมด ถ้าเสียงนั้นดับวิถีจิตก็เกิดไม่ได้ก็เป็นภวังค์ต่อไป เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือ ภวังคจิต วิถีจิต ภวังคจิต วิถีจิต เท่านั้นเอง ฟังไปจะนานกี่ปี ก็ตาม ฟังจนกว่าความเข้าใจจะมั่นคงขึ้น ค่อยๆ ละลาย ละคลายความเป็นเรา กว่าจะหมดในสังสารวัฏฏ์ ต้องทั่วหมด เดี๋ยวนี้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน สิ่งที่ดับแล้วเกิดอีกไม่ได้ ความสงสัยก็ดับหมด ไม่เกิดอีกเลย เพราะประจักษ์แจ้งความจริง จึงเป็นพระโสดาบันบุคคล
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจโฮเทล เขาใหญ่
วันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
ผู้ฟัง เป็นการยากมากที่จะไปโน้มน้าวให้เขามาฟังธรรมบ้าง
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นทุกข์ไหมเวลาเขาไม่มาฟัง หรือเขาไม่สนใจ เป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง ไม่ทุกข์ อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่ายากสำหรับการที่จะไปโน้มน้าว
ท่านอาจารย์ แล้วบ่นไหม
ผู้ฟัง ไม่เลย
ท่านอาจารย์ แล้วบอกไหมว่า เสียดายที่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง แล้วประโยชน์อยู่ตรงไหน เห็นไหมว่า ทุกคนต้องเป็นคนที่ละเอียดขึ้นๆ ใครก็ตามที่เขาไม่สนใจธรรม เราจะไปฝืนด้วยประการทั้งปวงให้เขาเข้าใจ เขาก็ไม่สนใจ กลับทำความเดือดร้อนใจให้เขา และก็อาจจะเดือดร้อนใจไปบ่อยๆ ถ้าเราพูดถึงบ่อยๆ ใช่ไหม แค่ถามว่าสนใจจะฟังไหม ถ้าสนใจก็มีอะไรที่จะให้ฟังให้อ่าน แต่ถ้าไม่สนใจแล้วเอาไปให้เขา เขาก็ไม่ฟัง เขาก็ไม่อ่าน แล้วเราก็มานั่งเสียดายว่าเราเอาไปให้ แล้วเขาก็ไม่สนใจ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ต้องสำหรับคนที่เห็นคุณค่า มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะว่าทุกคนที่ได้ฟังวันนี้ไม่ใช่บังเอิญ ไม่มีการที่จะบังเอิญได้ฟัง แม้แต่คนกลางถนน ในรถ หรือที่ไหนก็ตามแต่ ที่มีโอกาสได้ฟังธรรมไม่ใช่บังเอิญ แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น
ดังนั้น การศึกษาธรรมต้องมั่นคงจริงๆ ว่าธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร และเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเกิดไม่ได้ ใครลองทำให้ไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเราไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย แต่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิดได้ แค่นี้เอง ทุกคำที่ได้ฟังต้องมั่นคงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังมี ให้รู้ว่าสิ่งที่มีนี้เกิดเพราะอะไร เพื่อที่จะได้ละคลายความเป็นเรา
เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา โน่นก็เป็นโน่น นี่ก็เป็นนั่น ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นเดือดร้อนไปหมดไม่ว่าใครจะทำอะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมไม่เดือดร้อนเลย ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่าอย่างไร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด
สำหรับเราซึ่งมีโอกาสได้สะสมการได้เข้าใจธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟัง และรู้ด้วยว่าฟังแค่นี้ไม่พอ ใครคิดว่าพอแล้ว ไม่พอ แล้วจะฟังต่อไปอีกไหม บังคับได้ไหม เพราะว่าบางคนได้ฟังตอนเด็ก แต่พอโตขึ้นหายไปสักพักหนึ่งก็กลับมา เเล้วหายไปอีกก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ มีการเกิดขึ้นเป็นไปสืบต่อมานานแสนนาน กว่าจะถึงวันนี้และเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ และเดี๋ยวนี้ก็หมดไปอีก หมดไปอีกๆ จนข้างหน้าก็แสนโกฏิกัปป์ก็ยังคงเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะมีการได้ยินได้ฟังคำที่สามารถจะทำให้เข้าใจว่า ธรรมในภาษาบาลี คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
ใครจะไปสำนักไหน จะไปปฏิบัติอะไรก็ตามแต่ เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วจะเข้าใจอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก สั้นมาก สุดที่จะประมาณได้ แค่เห็นขณะเดียว จะเป็นคนหลายคนนั่งอยู่เต็มห้องนี้ได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็น แต่ละหนึ่งคน แต่ละหนึ่งอย่าง ต่างกันไปเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเสา เป็นอะไร จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะว่าธาตุรู้มี
ถ้าไม่มีธาตุรู้ เดี๋ยวนี้จะไม่มีใครในห้องนี้เลย มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้ มีกระดาน มีไฟฟ้า มีอะไรก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ไม่มีคน เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นนามธรรม ซึ่งใครก็ไปบันดาลให้เกิดไม่ได้เลย และขณะเดียวกันก็ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้
นี่คือความหมายของธรรม กว่าจิตของคนที่ฟังธรรมจะค่อยๆ น้อมไปเข้าใจว่า ธรรมไม่ใช่อื่นไกลเลย เดี๋ยวนี้ แต่ว่าถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้แสนนาน ประมาณไม่ได้เลย จนแม้แต่พูดคำว่าเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ว่าอะไร จนกว่าจะได้ฟังธรรมจึงจะเข้าใจว่าที่เราฟังทั้งหมด คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย มีแล้วเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เคยเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ก็ฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ ซึ่งยาก เพราะเหตุว่าดับแล้ว ที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ แสนสั้น หมดแล้ว มีใหม่อีกแล้ว ได้ยินดับไปแล้ว เมื่อครู่นี้ได้ยิน ไม่รู้ ดับแล้ว เดี๋ยวนี้ได้ยิน ไม่รู้ ดับแล้ว เห็นเมื่อครู่นี้ เห็นแล้วดับแล้ว ไม่รู้ คิดเมื่อครู่นี้ คิดแล้วดับแล้ว ไม่รู้ ซึ่งเป็นอย่างนี้มานาน จนกระทั่งเข้าใจความเป็นธรรมว่า ไม่ใช่เรา ถูกต้องไหม คือ ทุกคำไม่ให้เชื่อเลย
ใครจะไปสำนักปฏิบัติ ใครจะไม่ฟังธรรมก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุปัจจัยที่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น การสะสมของแต่ละคนก็หลากหลายมาก แม้แต่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจแค่ไหน คิดอะไร กว่าจะมาได้ยินได้ฟังอีกคำหนึ่ง เมื่อครู่นี้ก็คิดเรื่องอื่นไปแล้ว ใช่ไหม นี่คือความจริงทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรม คำเดียว ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดคือเป็นพระอรหันต์ เพราะรู้ว่าเป็นธรรม ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น การฟัง ไม่ต้องไปห่วงกังวล ตราบใดที่คิดว่าตั้ง ๒๐ ปีแล้วไม่เห็นรู้อะไร ๕๐ ปีก็ไม่รู้อะไร ใครที่ไม่รู้ มัวแต่จิตคิดถึงความเป็นเราด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าจะสนทนาก็คือ บูชาคุณว่า แต่ละคำถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลย ในสังสารวัฏฏ์จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งถือยึดมั่นมานานแสนนานด้วยความไม่รู้
ดังนั้น การฟังธรรมด้วยความเคารพ คือ แต่ละคำฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ต้องกังวลว่าใครจะได้ฟัง ไม่ได้ฟังอย่างไรก็ตามแต่ ถ้าเขาสนใจเราพร้อม แม้แต่เวลานี้แห่งประเทศไทยเอง ก็มีทั้งฝ่ายที่ฟังธรรมและไม่ฟังธรรม ฟังคนอื่น ไม่ใช่ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความคิดต่างก็มีมาก ก็เป็นเรื่องที่เป็นธรรมทั้งหมด ก็ไม่ต้องสนใจที่เราจะไปแก้ไขอะไร เพราะเหตุว่าขอให้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เรามีความหวังดีกับใคร เราก็จะพูดเพื่อให้เขาเข้าใจธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
