ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
ตอนที่ ๑๑๕๗
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ภิกษุใดไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจธรรมแล้วบวช ถามว่าบวชทำไม จะมีคำตอบไหม ผู้ที่บวชต้องเข้าใจก่อนว่าพระธรรมมีค่า ทั้งชีวิตนี้สมควรที่จะสละชีวิตคฤหัสถ์ เพื่ออุทิศต่อการที่จะศึกษาธรรม และขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จึงบวช เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ฟังธรรม เข้าใจธรรม ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่จึงบวชเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น อีกนัยหนึ่งบ่งถึงความหมายหรือเปล่าว่า เพศภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะผู้ที่เป็นฆราวาสสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอนาคามีไม่ต้องบวช ต่อเมื่อไหร่ถึงความเป็นพระอรหันต์จึงอยู่ในเพศคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ ดังนั้น เพศภิกษุจึงเป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ว่า สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ในเพศคฤหัสถ์ บุคคลนั้นก็รู้ตัวเองที่จะบวชหรือไม่บวช แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลยแล้วบวช คนนั้นไม่ใช่ภิกษุ เพราะเหตุว่าถามว่าบวชทำไม ตอบได้ไหม ถ้าไม่เข้าใจธรรมตอบได้ไหมว่าบวชทำไม แล้วบวชเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือเปล่า ก็เปล่า เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ต้องเป็นผู้ที่ตรง ซึ่งในครั้งพุทธกาลพุทธบริษัทมี ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เมื่อเพศบรรพชิตคือภิกษุ หรือภิกษุณีเป็นเพศของพระอรหันต์
ในยุคนั้น มีผู้ที่เป็นสตรีที่สะสมความเข้าใจธรรม สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ จึงทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีบวช เพราะเหตุว่าสามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ในยุคนี้ไม่ใช่กาลสมบัติ ไม่ใช่ใครที่เป็นผู้หญิงจะสะสมมาจนถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงไม่มีภิกษุณี เพราะเหตุว่าไม่ทรงประสงค์ที่จะให้มีภิกษุณีตั้งแต่พระมหาปชาบดีทูลขออนุญาต แต่ด้วยเหตุที่ว่า ผู้หญิงในครั้งนั้นสามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ จึงได้ทรงอนุญาต
ดังนั้น ถ้าใครคิดจะให้มีภิกษุณีอีกก็ตรงกันข้าม ไม่กระทำสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ คือไม่ให้มีภิกษุณี เพราะเหตุว่าจะทำให้พระศาสนาตั้งมั่นได้ไม่นาน ด้วยเหตุหลายประการ ซึ่งใครจะรู้ดีกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือใครจะสามารถรู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำถามแรก มีใครอยากจะเป็นภิกษุณีไหม
อีกคำถามหนึ่ง มีใครอยากจะฟังธรรมให้เข้าใจ ศึกษาธรรมให้เข้าใจ ขัดเกลากิเลสบ้าง อยากเป็นภิกษุณีไหม
อ.ชุมพร ไม่อยากเป็น เพราะได้ศึกษาว่าขณะนี้ไม่มีพระภิกษุณีแล้ว คำถามที่สองคือว่าอยากจะศึกษาไหม เมื่อก่อนยังไม่ได้ศึกษา ก็คิดว่าเงินทองหรืออะไรๆ ที่ว่ามีความสำคัญที่สุดในชีวิตก็คิดว่าสำคัญ ก็จะแบ่งเวลาให้สิ่งเหล่านั้น แต่เมื่อมาศึกษาธรรมแล้วก็คิดว่าสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด ก็คือการที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้เลยว่า นี่คืออุบาสิกา คฤหัสถ์ที่เป็นอุบาสิกาก็มี ที่ไม่เป็นอุบาสิกาก็มี คำว่า อุบาสิกา หมายความว่าอะไร
อ.คำปั่น หมายถึงผู้หญิง หรือว่าสตรีผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หรือว่าผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ท่านอาจารย์ ตอนเป็นเด็กได้ยินคำว่าอุบาสิกาก็รู้สึกเคอะเขิน อยู่ดีๆ ก็อุบาสิกา ทำไมเป็นอุบาสิกา แต่ถ้าเข้าใจความหมายของอุบาสิกาและพุทธบริษัท เป็นภิกษุหนึ่ง ภิกษุณีหนึ่ง ในครั้งพุทธกาล อุบาสกผู้ชายที่นั่งใกล้ เข้าใกล้พระธรรม ได้มีโอกาสเข้าใจธรรม และผู้หญิงก็เป็นอุบาสิกา
เพราะฉะนั้น ที่ว่าประเทศชาติจะรุ่งเรืองเพราะคนดี เมื่อเข้าใจธรรมแล้วจะดีขึ้นแน่นอนทีเดียว เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร โทษของความที่ไม่ดีเป็นอกุศลทั้งหลายมากน้อยแค่ไหน และประโยชน์ของคุณความดีมีมากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ห่างเหินจากการฟัง และการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ผู้นั้นก็เป็นอุบาสิกา
อ.อรรณพ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงภัยที่จะเกิดในอนาคต
ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น เมื่อบวชให้กุลบุตรอื่นแล้วก็ไม่สามารถที่จะแนะนำกุลบุตรเหล่านั้นให้อบรมเจริญสมณธรรมได้
พุทธบริษัทอย่างพวกเรา อุบาสกอุบาสิกานี้จะละ หรือจะบรรเทาภัยเหล่านี้ ซึ่งกำลังเกิดแล้วในยุคของเรา เพราะว่าเป็นอนาคตในสมัยพุทธกาล
ท่านอาจารย์ ทุกคำต้องละเอียด ภัย มาจากภาษาบาลีใช่ไหม
อ.คำปั่น ก็มาจากคำว่า ภะ-ยะ หมายถึง สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครต้องการภัย ใช่ไหม แต่ไม่เบื่อภัย คิดดู ถ้าไม่คิดก็สงสัยว่าทำไมพูดอย่างนี้ แต่ถ้าพูดอย่างนี้เพราะเข้าใจว่า ภัยคือสิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่เป็นโทษ แม้แต่คำว่า เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ทุกคำต้องชัดเจน วัฏฏะคือวนเวียน สังสาระคือท่องเที่ยว วนเวียน อยู่ไหนจึงจะเห็นได้ อยู่ข้างซ้ายหรือข้างขวา พรุ่งนี้หรือเดือนหน้า หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น จึงยากที่จะเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เพราะยังไม่รู้จักว่าสังสารวัฏฏ์คืออะไร ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีคนที่จะทำให้สิ่งหนึ่งใดเกิดมีขึ้นได้เลย แต่ก็มีแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว คิดแล้ว ใครทำ คนที่คิดว่าจะคิด ขณะนั้นยังไม่ได้คิด ใช่ไหม แต่จะคิด แค่คิดว่าจะคิดก็เกิดขึ้นแล้ว โดยไม่มีตัวตน ไม่มีใครไปทำ จะคิด ขึ้นมาได้ แต่สำคัญผิดเข้าใจว่าเป็นเรา
ด้วยเหตุนี้ ต้องไม่ลืมคำแรกซึ่งจะต่อไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่มีจริงๆ มีขึ้นเพราะปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะไปทำได้เลย แล้วเป็นเราหรือ?เห็นขณะนี้เกิดขึ้นและดับไป เป็นภัยหรือเปล่า แค่เกิดและดับ มองไม่เห็นภัยเลยใช่ไหม ก็เป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้ก็เหมือนธรรมดา แต่ว่าพ้นได้ไหมจากการที่เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวได้กลิ่น เดี๋ยวลิ้มรส เดี๋ยวรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น เดี๋ยวชอบเดี๋ยวชัง เดี๋ยวมีลาภเดี๋ยวเสื่อมลาภ เป็นอย่างนี้นานมาแล้ว เกิดขึ้นเองตามเหตุตามปัจจัย ใครก็บังคับเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่มีวันจบ นี่คือภัย อะไรก็ตามซึ่งเกิดขึ้นบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ไม่หยุดเลยด้วย ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดยั้งธรรมไม่ให้เกิด ไม่ให้จิตเกิดเป็นไปไม่ได้ ไม่ให้รูปเกิดเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น
ดังนั้น ภัยในสังสารวัฏฏ์ก็คือเกิดและตาย แล้วก่อนตายแต่ละหนึ่งขณะก็เป็นวัฏฏะ หมายความว่าเกิดแล้วดับไปสืบต่อไม่ขาดสาย คิดดู เราไม่ได้มีอายุเพียงเท่าที่เรานั่งอยู่นี้ ตั้งแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว เป็นใครที่ไหนอย่างไรก็อย่างนี้ คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ยังไม่เบื่อ ยังไม่เข็ดหลาบว่าเกิดแล้วต้องตาย ไม่ตายไม่ได้ แต่เกิดแล้วตาย ทำไม ตายแล้วก็ไม่ต้องเกิดสิ ถ้าใครๆ ตายแล้วก็ไม่มี ใช่ไหม ก็อย่าเกิดให้มี จะได้ไม่ต้องตาย ก็ไม่เคยคิดถึงภัยของสังสารวัฏฏ์เลยว่า ไม่มีเรา แล้วไม่มีของเรา แต่มีธรรมซึ่งต้องเกิดขึ้นสืบต่อวนเวียน ไม่ขาดสายตั้งแสนโกฏิกัปป์ และต่อไปอีกข้างหน้าไม่หยุดเลย ไม่ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ ถ้ายังไม่เห็นว่าเป็นสิ่งซึ่งมีประโยชน์อะไรกับการที่เกิดแล้วตาย จากไม่มี แค่มี แล้วก็หามีไม่ ไม่กลับมาอีกเลย
ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าคำนี้เป็นคำจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเรา สำคัญว่าเป็นเราคนหนึ่งคนใด เดี๋ยวนี้ก็แค่ในชาตินี้ ต่อไปเป็นอะไรก็สำคัญว่าเป็นสิ่งนั้น คนนั้น ในชาติต่อไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไม่มีเหลืออีกเลย เป็นคนอื่นต่อไปอีก เป็นใครต่อใครตั้งนานมาแล้วไม่รู้จบ แล้วก็จะต่อไปอีก นานไม่รู้จบ
เห็นภัยหรือยัง ไม่เห็นง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้าเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วดับ นั่นคือเห็นภัย เพราะฉะนั้น แม้เป็นภัย ก็เป็นภัยที่ไม่มีใครสามารถที่จะเห็นได้ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งในภัย คือเกิดจริงๆ ดับจริงๆ จึงต้องไตร่ตรอง เห็น เกิดเห็นจริงๆ หรือเปล่า แล้วเมื่อได้ยิน เห็นอยู่ไหน ไม่มีอีกเลย เห็นก่อนที่จะได้ยินไม่มีอีกเลย
ดังนั้น ภัยก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีขณะนี้ ปกปิดการที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ไม่เที่ยง เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่เกิดสืบต่อให้จำ ให้หลง ให้เข้าใจว่ายังอยู่ นี่คือภัย เพราะฉะนั้น ไปหาภัยที่ไหน ในป่ามีภัย มีงู มีสัตว์ร้าย ในน้ำมีจระเข้ มีปลาฉลาม มีอะไร หารู้ไม่ว่าภัยคือเดี๋ยวนี้
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริง แต่ต้องอาศัยการไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าเมื่อเห็นภัยแล้วรีบไปละภัย ผิดอีก รีบได้อย่างไรก็ตัวตนนั้นรีบไป ก็ยังต้องเป็นภัยอยู่ต่อไปเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะเห็นภัย และปัญญาสามารถที่จะรู้หนทางที่จะพ้นภัย
ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็หลงทางไปทำอย่างอื่น คิดว่าไปพากเพียรนั่ง นั่งแล้วรู้อะไร ใครกำลังพากเพียร สภาพธรรมที่สะสมมาแสนโกฏิกัปป์ ความไม่รู้ ความติดข้อง และกิเลสทั้งหลายเต็ม เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน จะดับให้หมดสิ้นเพียงแค่วันสองวัน เจ็ดวัน เดือนหนึ่ง โดยไม่รู้อะไรเลยได้หรือ ไม่รู้จักแม้แต่ภัย ไม่รู้จักแม้แต่ว่า ขณะนี้เป็นสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ก็ดับสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เป็นสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไตร่ตรอง ต้องฟังกี่ชาติ ไม่ใช่วันนี้วันเดียว ปีนี้ปีเดียว หรือชาตินี้ชาติเดียว ดูชีวิตของพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อที่จะพ้นภัยจากสังสารวัฏฏ์ เพื่อที่จะรู้ความจริงของเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ที่กำลังได้ยิน เดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลยทีละหนึ่งขณะ ซึ่งถ้าศึกษาแล้ว จิตมากมายเท่าไหร่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ต้องเห็นมากเท่าไหร่กว่าจะเป็นคนหนึ่งคน แล้วเวลานี้กี่คน หลับตาไม่เหลือสักคน ไปไหน หายไปได้อย่างไร เมื่อลืมตาก็มาตั้งมากมายได้อย่างไร
เพราะความไม่รู้ทั้งหมดว่า แท้ที่จริงเห็นไม่ใช่คิด จะชาติไหน เมื่อไหร่ กลางวันกลางคืนอย่างไรก็ตาม ถ้าเห็นเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้ แล้วแต่ว่ารูปร่างสัณฐานจะต่างๆ กันไป ทำให้สภาพธรรมที่จำซึ่งเป็นเจตสิก ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเรียกว่า สัญญาเจตสิก เป็นสภาพที่เกิดกับจิตทุกขณะ เพราะฉะนั้น เราจำได้ทุกอย่าง เห็นอะไรก็จำ ได้ยินเสียงก็จำ ถ้าไม่จำเสียงจะรู้เรื่องไหม เพราะว่าตอนเป็นเด็กก็ได้ยินเสียงทั้งนั้นเลย เเต่ไม่รู้ว่าภาษาอะไรจนกว่าจะชินหู จนกว่าจะค่อยๆ รู้ว่าเสียงนี้หมายความว่าอย่างนี้ จึงได้มีภาษาต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็คือความเป็นไปของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งสัตว์โลกอยู่ในความมืด ไม่รู้ว่าไม่มีเรา แต่มี จิต เจตสิก รูปกำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น จากการตรัสรู้ก็ทำให้รู้ว่า ที่เราเข้าใจว่าเป็นเราก็ไม่พ้นจากธรรม ซึ่งเป็นจิต เจตสิก รูป เปลี่ยนจิตเห็นให้เป็นจำไม่ได้ จำเป็นจำ แต่เห็นรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏ จำก็จำสิ่งที่ปรากฏ โดยเจตสิกแต่ละหนึ่งก็มีลักษณะ มีกิจการงาน มีอาการปรากฏ มีเหตุใกล้ให้เกิด หลากหลายกันไปนับประมาณไม่ได้เลย จึงทรงจำแนกเป็นประเภทๆ ให้รู้ว่า แม้ความติดข้องก็มีตั้งแต่เล็กน้อยที่สุด ไม่รู้เลยว่าแค่เห็นก็ติดข้องในเห็นแล้ว มีใครไม่อยากเห็นบ้าง เห็นอะไรก็ได้ ขอให้เห็น อย่าตาบอดเลย ใช่ไหม ก็คิดกันอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน
ดังนั้น คำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังไว้ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลย สะสมไว้เพื่อที่จะเข้าใจขึ้น เมื่อฟังอีกก็เข้าใจได้ เมื่อได้ยินคำว่าธรรม รู้เลยว่าหมายความถึงอะไร เมื่อพูดว่าสังสารวัฏฏ์ก็รู้อีกว่าหมายความถึงอะไร แต่ยังอีกมากนักใน ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา ทุกคำจริง แล้วก็พิสูจน์ได้ทันทีที่ฟัง สามารถค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
จึงมีอีกคำหนึ่ง ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปะระมะ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า บรม เพราะคนไทยจะไม่ใช้คำว่า ป แต่เปลี่ยนเป็น บ แทนที่จะพูดว่า ปะรม ปะระมะ ก็เป็นบรม เป็นธรรมซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้น สภาพอรรถลักษณะของธรรมที่เรากำลังพูดถึง พูดถึงตามลักษณะแต่ละหนึ่งๆ ของธรรม เป็นอรรถของธรรมนั้น ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม ความจริงแท้ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถูกไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ ไม่ใช่ให้จำ แต่ให้รู้ว่าความจริง ไม่ใช้คำว่าปรมัตถธรรมก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็เรียกว่าปรมัตถธรรม ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ลึกซึ้งไหม
เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมดกำลังเกิดดับ เป็นอภิธรรมเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยิ่งเข้าใจยิ่งลึกซึ้ง จนกระทั่งรู้ว่า หนทางเดียวที่จะเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ต้องไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการฟังจริงๆ รู้ว่าเป็นธรรมเท่านั้น ซึ่งกำลังเกิดดับ ไม่มีทางพ้นไปได้เลย ไม่ว่าตายแล้วก็ยังต้องเกิดอีก เกิดดับต่อไปอีกจนถึงตายอีก มีแต่เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย แล้วไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างเดียว
ถ้าตราบใดยังไม่เห็นสังสารวัฏฏ์ ก็ไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังไม่ต้องคิดจะออก ไม่ต้องฝืนกิเลส กิเลสชนะอยู่ตลอดเวลาเพราะมีมาก แต่เข้าใจเมื่อไหร่ค่อยๆ ละกิเลส สภาพธรรมคือความเข้าใจที่ละความไม่รู้ ละกิเลสได้ เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด แต่ถ้าไม่มีปัญญา ไปพยายามสักเท่าไหร่ก็ละกิเลสไม่ได้ แต่ความเข้าใจธรรมเกิดเมื่อไหร่ กิเลสไม่เกิดขณะนั้น และเมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ก็ค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งสภาพธรรมสามารถปรากฏกับปัญญาที่ใช้คำว่า ประจักษ์แจ้ง จากการฟังคือปริยัติ สู่ปฏิปัตติ สู่ปฏิเวธ
ปริยัติ หมายความว่ารอบรู้ในคำที่ได้ฟัง ไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่ฟังแล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นอะไรก็เข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง มีจริง เกิดปรากฏให้รู้ว่ามี แล้วต้องฟังอีกมาก จนกระทั่งมั่นคงว่าไม่มีใครสามารถไปทำอะไรที่ไหนให้เกิดปัญญาได้ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ธรรมอยู่ตรงนี้ เข้าใจตรงนี้ ปัญญาเกิดตรงนี้ จากปริยัติรอบรู้อย่างมั่นคง
มีอีก ๓ คำ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงเพื่อไม่ให้หลงทาง ปริยัติ รอบรู้ระดับไหน จึงจะถึงปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ รอบรู้ระดับที่มั่นคงเป็นสัจจญาณ ญาณะแปลว่าปัญญา สัจจะแปลว่ามั่นคง มั่นคงในความเป็นจริงของธรรมว่าเป็นธรรม ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้ทั้งสิ้น จึงสามารถที่จะมีปัจจัยที่จะทำให้ปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ถึงเฉพาะหนึ่งธรรม จึงสามารถที่จะรู้แจ้งในธรรมนั้นได้ เพราะเหตุว่าถ้ารวมๆ กันมากมายใครจะไปรู้แจ้งอย่างไหนได้ ใช่ไหม แต่ที่จะรู้แจ้งได้ก็ต่อเมื่อสภาพธรรมปรากฏทีละหนึ่ง ยังไม่ถึงเวลานั้นใช่ไหม แต่จะถึงเมื่อมีปัญญาที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ และความติดข้อง และสภาพธรรมก็จะปรากฏโดยความเป็นอนัตตา
แต่การที่จะไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่งปฏิบัติ ไม่ใช่อนัตตา เป็นเราที่จะทำแล้วก็ไป แล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง จนสามารถที่จะดับกิเลสซึ่งธรรมอื่นดับไม่ได้เลย สามารถที่จะดับกิเลสหมดไม่เหลือเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่างเปล่า ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ แต่ทุกคำจะค่อยๆ สะสมทำให้เข้าใจขึ้น ละคลายกิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมตามลำดับขั้น เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคล เป็นพระอรหันต์
ถ้าฟังต่อก็จะรู้ว่า แต่ละขั้นของอริยสัจจธรรมดับกิเลสอะไร ไม่เหลือเลย ดับจริงๆ จึงใช้คำว่า ประหาร หรือดับกิเลส เป็นสมุทเฉทไม่เกิดอีกเลย เกิดแล้วตาย ดับเป็นสมุทเฉทหรือเปล่า ไม่เลย ทันทีที่ตาย จิตสุดท้ายขณะนี้ของชาตินี้ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะเเรกของชาติต่อไปเกิดทันที ไม่มีระหว่างคั่น ใครก็ห้ามไม่ได้ ใครก็ยับยั้งไม่ได้ และจะเกิดเป็นอะไรก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ด้วย เหมือนชาติก่อนที่เราเป็นคนนี้ชาตินี้ ชาติก่อนเป็นใคร เป็นอะไร ไม่มีทางรู้ได้เลย
เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปเพียงแค่จิตขณะสุดท้ายดับ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิต จิตขณะต่อไปสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เหมือนเดี๋ยวนี้ จิตที่ดับไปก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้
ดังนั้น จะมีจิต ๒ ขณะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย ต้องจิตขณะหนึ่งดับ การดับไปนั่นเองเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ ตามปัจจัยที่สะสมมาแล้วในจิตขณะก่อน ซึ่งไม่ว่าจะเกิดเป็นใครที่ไหน การสะสมแต่ละขณะก็ติดตามไป สะสมความโกรธก็เป็นคนเจ้าโทสะ สะสมความโลภ เห็นอะไรชอบหมดเลย ไปตลาดนัดอยากซื้อหมดเลยทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ลืมตาขึ้นก็ติดแล้ว
เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมในแต่ละชาติมีประโยชน์ที่ว่า ไม่ว่าชาติไหนจะเกิดเป็นใคร สิ่งที่สะสมไว้แล้วไม่สูญหาย จึงต้องฟังไว้ เข้าใจไว้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเป็นปริยัติหรือยัง เป็นสัจจญาณหรือยัง ยังไม่สามารถที่จะถึงปฏิปัตติได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมอย่างมั่นคง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
