ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189


    ตอนที่ ๑๑๘๙

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ในยามแรก ระลึกชาติของพระองค์ซึ่งนับไม่ถ้วน ไม่ถึงความสิ้นสุดเลย จึงรู้ว่าเพียงการระลึกชาติได้อย่างไรนั้น ก็ไม่ใช่วิชชาที่สามารถที่จะหมดกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ยามที่สอง เป็นการรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์โลก ปัญญาระดับนั้นคือปัญญาจริงๆ ไม่ใช่แค่คิดเเค่เดา แต่ต้องมีเหตุที่สมควรแก่ผล เเต่ก็ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้โดยการรู้ว่าใครเคยเป็นอะไร ตายแล้วเกิดเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ระลึกถึงขณะนั้นซึ่งไม่ใช่อดีตและอนาคต ไม่ใช่จุติและปฏิสนธิ แต่ว่าระลึกถึงสิ่งที่กำลังมี พระปัญญาที่ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งหมด ก็มีการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นลำดับ ตั้งแต่วิปัสสนาญาณ ขั้นที่ ๑ จนกระทั่งถึงเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เเละถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ยามที่ ๓ ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่มีวิชชาใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล ในแสนโกฏิกัปป์ ที่จะเสมอด้วยวิชชาที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่าวิชาใดในโลกก็เป็นไปด้วยกิเลส ด้วยความต้องการทั้งหมด แต่วิชชาที่จะดับกิเลส ใครจะดับได้ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ที่รู้ความจริงของสภาพธรรมยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ทรงอุปมาคำที่พระองค์แสดงให้คนอื่นได้ฟังได้เข้าใจ อุปมาเหมือนใบไม้ ๒-๓ใบ กับปัญญาของพระองค์ที่เหมือนใบไม้ในป่า ดังนั้น จึงต้องฟังคำของพระองค์ ด้วยความเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไม่เปลี่ยน ไม่คิดเอง ไม่แต่ง ไม่ต่อ ไม่เติม ไม่ใช่เชื่อใครเขาว่า หรือเขาบอกเราก็เชื่อ เราถึงสามารถที่จะรู้ว่าคำไหนเป็นคำจริง

    ถ้ามีคนบอกว่าชาติก่อนเราเป็นอย่างนั้น รู้ได้เลยว่าคนนั้นพูดไม่จริง เขารู้ได้อย่างไรก็ให้บอกมา เขาก็เป็นคนธรรมดาๆ อย่างนี้ ใช่ไหม แล้วมาบอกว่าคนนี้เป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เเล้วคนอื่นเชื่อตาม เขาก็ยิ่งบอกเพราะว่ามีคนเชื่อ แต่ถ้าไม่มีใครเชื่อ เขาจะพูดอีกไหม พูดไปทำไม แล้วก็ไม่จริงด้วย ถ้าเขาไม่คิด จะมีความคิดหรือไม่ว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น แต่เขาหารู้ไม่ว่าคิดไม่ใช่เขา ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าคิดเป็นธรรม ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

    ดังนั้น ทุกคนต้องเป็นสาวก คือผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความมั่นคงที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อรักษาคำสอนของพระองค์ สำหรับให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยต่อไปอย่างที่พระองค์ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่าวิชชาอื่นใดทั้งหมดไม่เสมอด้วยกับวิชชาที่ ๓ คือสามารถที่จะเข้าใจธรรมสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งดับกิเลสได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ขณะนี้เห็นกำลังเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ คิดนึกเกิดดับ อยู่ในโลกที่แตกสลายอยู่ตลอดเวลาคือเกิดดับ โดยไม่รู้เลย

    ดังนั้น ความลึกซึ้งที่จะให้คนได้ประจักษ์ความจริงอย่างนี้จะลึกซึ้งแค่ไหน ที่ไม่น้อมพระทัยคือขณะที่กำลังเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งต่างขณะกัน แต่ว่าพระบารมีที่สะสมมาที่จะให้คนอื่นได้รู้ตาม จึงรู้ว่าคำของพระองค์สามารถที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจตามลำดับ เพราะคนที่ฟังมาหลายชาติหลายกัปป์ก็มี พร้อมที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็มี ส่วนคนที่ยังไม่เคยฟังก็มีโอกาสที่จะได้ฟัง คนที่ฟังแล้วก็ค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจต่อไป เราจึงมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ และเป็นผู้ที่ตรงว่า อย่าคิดที่จะไปทำอะไรให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเลยทั้งสิ้น เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    กล่าวได้เลยว่า สำนักปฏิบัติไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไม่จริงทั้งหมดทำลายคำจริง เพราะว่าเมื่อมีคนเชื่อคำไม่จริง ใครจะรู้ว่าคำไหนจริงและควรที่จะเชื่อคำจริง ซึ่งแต่ละคนก็แล้วแต่ว่าสะสมมาอย่างไร ไม่มีใครสามารถจะทำให้เขาเปลี่ยนใจกลับใจได้ นอกจากเขาเคยได้เป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ได้เคยสะสมมา

    ในครั้งพุทธกาลมีพวกเดียรถีย์ หมายความถึงพวกที่มีความเห็น ความเชื่ออย่างอื่นต่างจากพระองค์ซึ่งมีอยู่มากมาย พระองค์ประทับที่พระวิหารเชตวัน พวกนั้นไม่มาเฝ้า เเต่ไปหาครูสัญชัย ไปหาครูปูรณกัสสปะ แล้วแต่ว่าขณะนั้นเขาจะเป็นลูกศิษย์ใคร เขาก็ไปหาคนนั้น แต่ไม่ได้สะสมมาที่จะมาเฝ้าฟังธรรม มีบางท่านเป็นถึงเสนาบดีเป็นลูกศิษย์ของพวกเดียรถีย์ ฟังคำของพวกเดียรถีย์ เเต่เมื่อได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมก็บอกอาจารย์ อาจารย์ห้ามบอกว่าอย่าไป ไม่ให้ไปถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ท่านไปเลย ก็ลองคิดดู ถ้าเป็นคำจริงต้องห้ามด้วยหรือว่าไม่ให้ไปฟัง

    ถ้าเป็นคำจริง คำถูกต้องก็ควรได้ฟัง ใช่ไหม แต่เพราะอะไรถึงไม่ให้ฟังคำจริง แล้วถ้าเป็นคำจริงคนที่ฟังก็รู้ได้ว่า คำไหนจริงคำไหนไม่จริง เเล้วไปห้ามเขาทำไมใช่ไหม ที่ห้ามเพราะกลัวว่าเขาจะไม่เลื่อมใสตน ไปเลื่อมใสคำของคนอื่น แต่หารู้ไม่ว่าคำของคนอื่นเป็นคำจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลก็คือว่าท่านเสนาบดีผู้นั้นได้ไปเฝ้า ได้ฟังธรรม ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ไม่ได้เลื่อมใสในพวกเดียรถีย์อีกต่อไป และยังคิดจะไม่ให้ทานซึ่งเคยให้บำรุงพวกเดียรถีย์ แต่ทานคือทาน

    เพราะฉะนั้น การให้ทานกับพวกที่นับถือศาสนาอื่นของท่านสีหเสนาบดีก็ต่างกัน เมื่อก่อนเคยให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง แต่ต่อจากนั้นไปให้ข้างนอกประตู มารับก็รับไป ไม่ได้มีความเลื่อมใสหรือนับถือเหมือนอย่างเดิม เพราะรู้ว่าเป็นผู้ที่มีความเห็นผิด

    แต่ละคนก็คือธรรม แล้วแต่ว่าจะสะสมความเห็นผิดหรือความเห็นถูก มามากเท่าไหร่ คิดถูกต้องเพราะสะสมมา เมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าคำใดผิดคำใดถูก ในเมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย จะนำสิ่งที่ผิดไปทำไม แค่นี้ไม่คิดหรือว่าทุกขณะทุกนาทีมีค่าอย่างยิ่ง แล้วจะไปเกิดชาติหน้าก็เห็นผิดต่อไป ซึ่งไม่ได้เห็นถูกตามความเป็นจริง แม้กุศลก็ไม่เข้าใจ กลับไปคิดว่าอกุศลเป็นกุศล กลับไปคิดว่าความเห็นผิดเป็นความเห็นถูก แค่นี้ก็กั้นแล้ว

    เพราะฉะนั้น วิชชาใดก็ไม่เท่ากับวิชชาที่สามารถที่จะดับกิเลสที่สะสมมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ วิชชานี้ยากไหม ใครว่าง่าย แต่ใครก็ตามที่ฟังแล้วรู้เลยว่ายากที่สุด นั่นคือการสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกครั้งที่รู้ความลึกซึ้ง วันนี้ยากแค่นี้ เข้าใจอีกยิ่งยาก เข้าใจอีกยิ่งยาก เข้าใจอีกยิ่งยาก เหมือนมหาสมุทร ลึกแค่ไหนไม่รู้จนกว่าจะค่อยๆ หยั่งลงไป จึงจะรู้ได้ว่ามหาสมุทรนั้นลึกแค่ไหน

    ดังนั้นจะเห็นได้เลยว่า ไม่ใช่ฟังเพื่อหวังจะไม่มีกิเลสชาตินี้ แต่รู้ว่าชาตินี้ไม่รู้อะไรบ้าง แล้วก็เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ขณะที่เข้าใจไม่ใช่เรา ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญาเจตสิก หรือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกขณะใดละความเห็นผิดขณะนั้น เห็นถูกน้อยก็ละความเห็นผิดไปได้น้อยมาก เห็นถูกยิ่งขึ้นก็ละความเห็นผิดซึ่งสะสมมามาก จนกว่าความเห็นผิดจะหมดไปด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยเราอยากจะหมดแล้วไปนั่งทำนั่นทำนี่โดยไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

    นี่คือวิชชา ที่ไม่มีวิชชาใดเสมอเหมือนได้เลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้

    อ.ธีรพันธ์ ไม่ได้ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาอย่างเดียว ยังมีคำที่เป็นบทเดียวกันคือวิชชา จรณะ สัมปันโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ จรณะคือไปในสถานที่ที่ไม่เคยไปคือพระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่สถานที่ แต่ว่าเป็นที่ที่ไม่มีใครสามารถไปได้เลย นอกจากจรณะนี้เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ วิชชา จรณะ เมื่อสักครู่นี้คุณธีรพันธ์ก็กล่าวแล้ว จรณะคือไป กำลังไป มาแล้วไม่ไปได้ไหม เร็วยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น แค่ปรากฏก็คือมาถึงแล้ว และดับไปทันที นี่คือความประพฤติเป็นไปหลากหลายมาก เพราะฉะนั้น ข้อแรกคือศีลสังวร ศีละ สังวระ หรือสังวรศีลก็ได้ อินทริยสังวรก็ได้ แล้วแต่จะใช้คำอะไรที่จะทำให้เข้าใจ

    ก่อนอื่น ศีลคืออะไร ต้องเข้าใจทุกคำ ศีลเป็นธรรมหรือเปล่า แน่ใจใช่ไหมว่าเป็นธรรม เป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ศีลเป็นธรรม เป็นธรรมอะไร เป็นความประพฤติเป็นไปของจิต ยังมีใครสงสัยเรื่องจิตบ้างไหม จิตเป็นสภาพรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตรู้ทางตาคือเห็น จิตรู้ทางหูคือได้ยิน จิตรู้ทางจมูกคือได้กลิ่น จิตรู้ทางลิ้นคือลิ้มรส จิตรู้ทางกายคือเย็นบ้างร้อนบ้าง อ่อนบ้างแข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง จิตรู้รูปที่กระทบจักขุปสาท เราพูดถึงรูปตาซึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นโดยกรรมเป็นปัจจัย ทำให้บางคนตาบอด บางคนตาไม่บอด แม้เเต่ตาก็มีทั้งสีดำ สีน้ำตาล หลากหลาย เป็นรูปร่างใหญ่เล็กแล้วแต่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ซึ่งตาทั้งหมดเป็นจักขุ แต่มีคำว่าจักขุปสาทรูป ไม่ได้หมายความถึงตาขาวตาดำ เเต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ทำให้จิตเกิดขึ้นเห็น ทั้งหมดเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

    เมื่อมีตาแล้ว เห็นแล้วเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ เพราะไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่อะไรเลย เป็นแค่สีสันวัณณะที่อยู่ที่ธาตุเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง มหาภูตรูป๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม คงคุ้นหูกัน ซึ่งธาตุเหล่านั้นเมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีรูปอื่นเกิดพร้อมกัน อาศัยเกิดที่นั่นคือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้น ที่ใดที่มีมหาภูตรูป ที่นั่นต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เป็นอีกรูปหนึ่งใช้คำว่าวรรณรูป นิภาก็ได้ ถ้าไม่พูดภาษาบาลี ภาษาไทยก็บอกว่าสีสันวัณณะ หรือจะใช้คำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ชัดเจนคือไม่ได้กล่าวถึงดำ ขาว เหลือง ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นวัณณรูป

    เมื่อไม่รู้จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าศีลสังวร ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าปกติที่เห็นแล้วไม่รู้เลย ชอบบ้างไม่ชอบบ้างมาในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าเข้าใจความจริงว่าเพียงแค่เกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป ค่อยๆ น้อมไปสู่การที่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ลองพิจารณาคำนี้ "สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วใช่ไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแล้ว สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่รู้จึงติดข้อง แต่ถ้ารู้อย่างนี้ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าโง่ ไม่รู้ หลง ไม่ฉลาดแค่ไหน รู้ได้จากติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพียงแค่ปรากฏว่ามีนิดเดียวที่เกิดขึ้นและดับไป แต่เพราะสิ่งที่เกิดสืบต่อปิดบังการดับไป เหมือนไม่ดับไปเลยเดี๋ยวนี้ ทำให้เกิดความติดข้องพอใจ แต่ถ้าสามารถมีปัญญาที่เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ทุกวันนี้ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ฉลาดไหม ไม่มีก็ยังติดข้อง แล้วติดข้องไปทุกชาติ เมื่อสิ้นสุดจากชาตินี้ ไม่มีสิ่งที่ให้ติดข้องในชาตินี้ จบสิ้นแล้ว ชาติหน้าก็ติดข้องใหม่

    ดังนั้น ใครก็ตามที่เคยติดข้องในอะไรมากเท่าไหร่ก็ตาม เริ่มรู้สึกว่าความติดข้องนั้นมีประโยชน์ไหม เพราะเหตุว่าไม่ดำรงอยู่เลย แค่นำความสุขมาให้เพียงเล็กน้อยชั่วคราวแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่หลงจำ หลงคิด คิดว่ายังอยู่ คิดว่ามี แต่ความจริงหามีไม่ และจะเกิดดับสืบต่อไปอีกนานแสนนานในทุกชาติที่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น เริ่มหันกลับจากที่เคยเป็นไหม ที่เคยไม่รู้และเคยติดข้อง ไม่ใช่ด้วยตัวเราแต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นรู้เลย ใครอย่าพูดว่าจะดับกิเลสง่ายๆ ลองบอกมาก็เป็นหนทางที่ผิดทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นการเข้าใจจากการฟังของตนเอง และเริ่มเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย

    วันนี้สิ่งที่ติดข้องหมดไหม เมื่อครู่นี้อยู่ที่ไหนติดข้องตรงนั้น เมื่อถึงตรงนี้ติดข้องตรงไหน อยู่ตรงนี้ ความจริงก็ดับอยู่ตรงนี้ ออกไปข้างนอกแล้วก็ลืมเลย แค่กำลังติดข้องในสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เหลียวไปทางอื่นก็หมดความติดข้องในสิ่งที่เคยติดข้อง แล้วก็ติดข้องในสิ่งใหม่ที่ปรากฏทันที เร็วอย่างนี้ทั้งวัน ปกปิดไว้ทั้งวัน

    เพราะฉะนั้น ศีลสังวร ไม่ใช่เรามานั่งสังวรระวัง แต่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกคำว่าศีล คือความประพฤติเป็นไปของจิต ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นห้ามได้ไหม ห้ามไม่ได้เลยใช่ไหม เป็นไปในอกุศล เป็นอกุศลศีล

    ต่อไปนี้ได้ยินคำว่าศีล ไม่ใช่มีเฉพาะกุศลอย่างที่เคยเข้าใจเท่านั้น ศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิต ทรงแสดงไว้ละเอียดทุกขณะว่า ขณะที่เป็นอกุศลไม่ใช่เรา แต่ขณะนั้นเป็นความประพฤติของจิตในอกุศล จึงเป็นอกุศลศีล ถ้ากุศลจิตเกิดเข้าใจธรรม ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่จิตกำลังประพฤติเป็นไปในกุศล เป็นกุศลศีล

    เพราะฉะนั้น มีกุศลศีล อกุศลศีล ซึ่งเป็นเหตุ เมื่อเหตุมี ผลต้องมี ไม่ให้ผลเกิดได้ไหม ไม่ได้เพราะเหตุมีแล้ว แต่เหตุในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้เลย เราเป็นคนนี้เพราะกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ กรรมอื่นยังไม่ได้ทำให้เป็นคนอื่น เเต่ทำให้เป็นคนนี้โดยกรรมหนึ่ง เเละกรรมนี้ก็ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นที่จะให้ผลในชาตินี้ด้วย

    ทำไมเราสบายดีเเล้วอยู่ๆ ก็หกล้ม บางคนก็นิสัยช่างเตะ มีอะไรอยู่ในห้องเตะได้หมดเลย คนอื่นเขาไม่เตะเเต่คนนี้เตะ ทุเรียนที่วางอยู่ที่พื้นก็เตะได้ เข้าไปในครัว เตะครก เตะได้หมด เพราะถึงเวลาที่จะต้องเป็นอย่างนั้น จะระวังสักเท่าไหร่ก็ยังหกล้มจนได้ ถึงเวลาแค่เสี้ยววินาทีเป็นแล้ว ยับยั้งก็ไม่ได้แสดงความจริงว่า ทุกอย่างเป็นความประพฤติเป็นไปของจิต เมื่อเหตุมี ผลต้องมี แต่ขอให้รู้อย่างละเอียดว่าผลคืออะไร จะได้ไม่สร้างเหตุที่จะทำให้ได้ผลที่ไม่พอใจ

    เพราะฉะนั้น ผลแรก คือเกิดซึ่งเลือกเกิดไม่ได้ ผลที่สอง คือเกิดแล้วยังตายไม่ได้ ยังต้องดำรงอยู่ต่อไป พรุ่งนี้จะตายได้ไหม ได้หรือไม่ได้ต้องตามเหตุตามปัจจัย ใช่ไหม ใครรู้ ไม่มีทางรู้ได้เลย ต่อเมื่อเกิดจึงรู้ ซึ่งทุกอย่างรู้ได้เพราะเกิดแล้ว

    ถ้าไม่เกิดจะรู้ได้อย่างไรว่า สะสมอะไรมามากมายมหาศาลในแต่ละชาติๆ แต่พฤติกรรมความเป็นไปของจิตที่เป็นผลของกรรม คือขณะเกิดซึ่งเลือกเกิดไม่ได้ เกิดแล้วยังตายไม่ได้ กินยาตายก็ไม่ตาย ผูกคอตายก็ไม่ตาย

    เรื่องนางรัชชุมาลาที่กล่าวถึงเมื่อวานนี้ ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถ้ากรรมยังไม่ทำให้จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ้นชีวิตได้ เพราะจิตขณะเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นผลของกรรมที่ทำให้สิ้นสุด เมื่อจิตนั้นเกิดแล้วก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ทันทีที่จิตนั้นดับ ที่เราใช้คำว่าตาย เป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย แต่กรรมหนึ่งก็ทำให้จิตเกิดดับ จิตเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติ คือตาย พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นทันที ไม่มีระหว่างคั่น

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าใครจะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของจิตได้ไหม เกิดแล้วดับ แล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย ที่เกิดมานี้อายุนานเท่าไหร่เเล้ว แสนโกฏิกัปป์ แต่เฉพาะชาตินี้บอกได้ว่าเกิดมาแล้วนานเท่าไร แต่จะตายเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ ถึงตอนตายเราถึงจะรู้ได้ว่าเขาอายุแค่นี้ ๘๐ ๗๐ ๕๐ ๙๐ปี ก็แล้วแต่

    ถ้าตราบใดที่กรรมยังไม่ทำให้พ้นความเป็นบุคคลนี้ กรรมนั้นเองทำให้จิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิเกิด แต่ไม่ได้ทำกิจหน้าที่สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จึงไม่ใช้คำว่าปฏิสนธิจิต แต่เป็นจิตประเภทเดียวกัน เปลี่ยนให้เป็นบุคคลอื่นไม่ได้จนกว่าจะสิ้นกรรมนี้

    เพราะฉะนั้น กรรมที่ดำรงภพชาติเกิดดับสืบต่อทำภวังคกิจ ภวังคกิจมาจากคำว่าภวะ ความเป็น องค์หรืออังคะ ที่รักษาสภาพนั้นให้เป็นอย่างนั้นไปจนกว่าจุติจิตจะเกิด ถ้าจุติจิตยังไม่เกิดภวังคจิตก็เกิด ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าจุติจิตดับหนึ่งขณะ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผลนั้นดำรงความเป็นบุคคลนั้นไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต โดยจิตที่ทำปฏิสนธิจิตดับแล้ว จิตที่เกิดต่อเป็นผลของกรรมเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกัน คือทำกิจดำรงภพชาติเรื่อยไป

    จนกว่าจะเห็นเมื่อไหร่ จะได้ยินเมื่อไหร่ จะได้กลิ่นเมื่อไหร่ ลิ้มรสเมื่อไหร่ รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเมื่อไหร่ คิดนึกเมื่อไหร่ ขณะต่างๆ เหล่านั้นเป็นวิถีจิต ที่ใช้คำว่าวิถีจิต หมายความว่า จิตเริ่มที่จะรู้สิ่งซึ่งเป็นอารมณ์ของโลกนี้ ซึ่งไม่ใช่อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ ภวังค์ เเละจุติ

    เพราะฉะนั้น ภวังคจิตจะรู้ได้ในเวลาที่ยาวนาน เช่น ขณะที่นอนหลับ จิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิ ขณะสุดท้ายก็จิตประเภทนั้นเอง แต่ก่อนนั้นยังไม่ตายก็ดำรงรักษาความเป็นบุคคลนั้นไว้ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ชื่ออะไร

    ใครรู้ว่าตอนหลับสนิทชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน มีพี่น้องกี่คน มีทรัพย์สมบัติ รู้อะไรบ้าง ไม่มีทางเลย เพราะว่าภวังคจิตเกิดดับดำรงภพชาติ โดยยังไม่ต้องเห็น ยังไม่ต้องได้ยินทั้งสิ้น แต่ต้องเป็นคนนี้ไปเรื่อยๆ เพราะกรรมให้ผล โดยที่กรรมไม่ได้ให้ผลเพียงแค่เกิดดับเป็นภวังค์ ยังให้ผลอีกว่าต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ ทางนี้เป็นผลของกรรม

    ตอนนี้รู้แล้ว เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นผลของกรรมหรือเปล่า เป็น นั่งอยู่ที่นี่ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นผลของกรรมหรือเปล่า เป็น ออกจากห้องนี้ไปที่ไหนๆ เห็นอะไรเป็นผลของกรรมหรือเปล่า เป็นผลของกรรม แสดงว่ากรรมทำให้เกิดเป็นคนนั้น แล้วยังต้องรับผลของกรรมโดยเห็นสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    20 ต.ค. 2568