ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
ตอนที่ ๑๑๖๕
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ก็ค่อยๆ มีแสงสว่าง แต่จะสว่างมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงสว่าง ไม่เข้าใจต้องมืด
ผู้ฟัง คำถามแรกก็คือ ความหมายของคำแต่ละคำ เช่น พระภิกษุ
ท่านอาจารย์ เชิญคุณวิชัย
อ.วิชัย ภิกษุ มีหลายความหมาย หมายถึง ผู้ประพฤติความดีในเพราะเหตุแห่งการขอ ก็มี หรือว่าเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ก็มี แล้วแต่ว่าพระองค์จะตรัสคำว่าภิกษุ ในสถานที่ใดและหมายถึงบุคคลใด
แต่ถ้ากล่าวถึงภิกษุที่เข้ามาสู่ในธรรมวินัย ที่จะประพฤติตามสิกขาบทของพระผู้มีพระภาค ก็ชื่อว่า ภิกษุ เพราะว่าได้มีการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ในการที่จะประพฤติขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง สู่เพศบรรพชิต ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะมีการสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายนี้ จึงชื่อว่าเป็น ภิกษุ
ดังนั้น ไม่ใช่เฉพาะเป็นผู้ที่อุปสมบทเท่านั้น แต่ต้องหมายถึงเป็นผู้ที่มีปัญญา ที่เห็นว่าชีวิตของคฤหัสถ์เต็มไปด้วยกิจภาระการงาน เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ยังมีความยินดีพอใจ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ จึงไม่สามารถสละได้ แต่เพศบรรชิต หรือ พระภิกษุ เป็นผู้ที่เห็นโทษของความติดข้องในสิ่งเหล่านั้น จึงสละเพศฆราวาสสู่ความเป็นภิกษุได้
ท่านอาจารย์ คนไทยใช้คำว่า ภิกษุ แต่ภาษาบาลีเป็น ภิกขุ ก็ต่างกันเป็นธรรมดานิดๆ หน่อยๆ แต่หมายความถึงอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นภิกขุ เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ อะไรเป็นภัยในสังสารวัฏฏ์ คำว่า สังสารวัฏฏ์ ก็ไม่รู้ ภัย ก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ได้ไหม ไม่มีทางเลย แล้วอย่างเรานี้ก็เกิดมาสนุกสนาน ไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ก็ติดข้องเพลิดเพลินอยู่ เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์หรือไม่ เพราะไม่รู้ความจริงว่า วัฏฏะ คืออะไร สังสาระ คืออะไร และภัยที่แท้จริงของสังสารวัฏฏ์คืออะไร ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ถ้าใครก็ตามที่ไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจ จะเห็นภัยไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ แล้วคนที่บวช ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ควรบวชไหมในเมื่อไม่เห็นภัย
ผู้ฟัง ไม่ควร
ท่านอาจารย์ ถ้าใครก็ตามไม่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ แล้วบวช บวชทำไม
ผู้ฟัง บวชด้วยความไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ บวชด้วยความไม่เข้าใจ เป็นประโยชน์ไหม
ผู้ฟัง ไม่เป็นประโยชน์
ท่านอาจารย์ เป็นภัยไหม
ผู้ฟัง เป็นภัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าบวชโดยไม่เข้าใจ คนอื่นเคารพกราบไหว้แล้วก็ฟังคำ แต่ไม่เข้าใจธรรม เป็นภัยไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ จึงควรที่จะเข้าใจว่าภิกขุ หรือภิกษุ คือใคร ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม ก่อนบวชเป็นคฤหัสถ์เหมือนเราทุกคน การฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจะไปเป็นภิกษุ แต่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ซึ่งแต่ละคนนั้นเหมือนกันไหม นั่งก็ไม่เหมือนกัน คิดก็ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม คนหนึ่งกำลังได้ยิน อีกคนหนึ่งคิดเรื่องอื่น อีกคนหนึ่งคิดคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง หนึ่งเดียวที่เกิดแล้วดับ นี่คือ สังสารวัฏฏ์ ไม่กลับมาอีก
ดังนั้น สังสารวัฏฏ์ คือทุกขณะ ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วก็มีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ ไม่สิ้นสุดเลยตั้งแต่เกิด ขณะเกิดไม่ใช่ขณะนี้ แต่ว่า จากเกิดดับก็มีขณะอื่นเกิดสืบต่อ ธาตุรู้ ซึ่งเราใช้คำว่า จิต ซึ่งคนไทยพอจะเข้าใจว่าหมายความถึงอะไร แต่ว่ายังไม่รู้จักจิต รู้แต่ว่ามีจิต แต่ก็ไม่รู้จักจิต เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จิตเกิดและดับสืบต่อ ตั้งแต่เกิด แต่ละหนึ่งขณะเป็นสังสารวัฏฏ์ ขาดหนึ่งได้ไหม ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ขาดไปสักหนึ่งจิตได้ไหม ไม่มีทาง ใครก็ทำไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะต้องเกิด มีคนที่เขาอยากตายกัน เขาไม่อยากเกิด แต่เขาไม่รู้หรอกว่าที่เกิดมานี้ อาจจะอยากตายชาติก่อนก็ได้ แต่ก็ต้องเกิด เพราะมีปัจจัยที่จะเกิด เพราะ "ไม่รู้" คำเดียว
เพราะฉะนั้น ความต่างกันของความไม่รู้ กับความรู้ ไม่รู้ มีจริงๆ ไหม เป็นธรรมหรือไม่ เป็นธาตุหรือไม่ เป็นสภาพรู้หรือไม่? เป็นสภาพรู้ แต่สภาพรู้มี ๒ อย่าง จิต เป็นใหญ่เป็นประธาน กำลังเห็น จะบอกว่าไม่เห็นไม่ได้ กำลังได้ยิน จะบอกว่าไม่ได้ยินไม่ได้ เพราะขณะนั้นรู้แจ้งเสียง เฉพาะเสียงที่ปรากฏ ในขณะที่ได้ยิน แล้วดับ เป็นเราหรือไม่ แล้วก็มีเห็น
นี่คือ สังสารวัฏฏ์ การเกิดดับสืบต่อกันของสังขารธรรม ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง ท่องเที่ยววนเวียนไปแค่ ๖ ทาง ทางตาเห็นหนึ่ง ทางหูได้ยินหนึ่ง ทางตาดับแล้ว ทางหูจึงได้ยิน ทางจมูกหนึ่ง ได้กลิ่น ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน กลิ่นจึงปรากฏได้ ถ้าเห็นปรากฏ กลิ่นปรากฏไม่ได้ ถ้าเสียงปรากฏ กลิ่นปรากฏไม่ได้ ต้องไม่มีอื่น แล้วกลิ่นปรากฏในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ทางตาหนึ่ง เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ว่าเป็นอย่างนี้ และก็มีสิ่งที่ปรากฏ จึงรู้ว่าเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ก็เป็นรูปธรรม สภาพที่ปรากฏให้เห็น ไม่รู้อะไรเลย แต่ธาตุรู้กำลังเห็นว่าเป็นอย่างนี้ เป็นนามธรรม ธาตุรู้มี ๒ อย่าง เป็นใหญ่เป็นประธาน ใช้คำว่า จิต แต่ก็มีธาตุรู้ ซึ่งปรุงแต่ง สนับสนุน อาศัยกันและกันทำให้เกิดขึ้น คือ เจตสิก ภาษาบาลีต้องออกเสียงทุกคำว่า เจ-ตะ-สิ-กะ แต่คนไทยก็พูดง่ายๆ ในภาษาไทยของเราว่า เจตสิก
ในขณะหนึ่งต้องมีธาตุรู้เกิด ๒ ธาตุ คือ จิต ๑ และเจตสิก ๑ แต่จิต ๑ ขณะ จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท ใครจะบอกว่า ๘ บ้าง ๖ บ้าง ๕ บ้าง เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นการตรัสรู้ถึงที่สุด ที่ใช้คำว่า ตรัสรู้ ไม่มีอะไรจะรู้ยิ่งกว่านี้ และเป็นการตรัสรู้ของบุคคลเดียว เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพียงเพื่อพระองค์ได้รู้ความจริงคนเดียว แต่เพื่อสัตว์โลกซึ่งไม่รู้เลย นับประมาณไม่ได้ว่าเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ ให้มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งยากแสนยากกว่าจะรู้ได้
เพราะฉะนั้น จะประมาทว่าแค่ ๑๐ วัน ๕ วัน แล้วความไม่รู้ทั้งหมดที่สะสมมาจะหมดไป เป็นพระอริยบุคคล นั่นคือทำลายคำสอนของพระพุทธศาสนาแน่นอน เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานอย่างนั้นกว่าจะได้รู้ความจริง
อ.วิชัย แล้วการที่สังสาร คือ ธรรม คือจิต เจตสิก และรูป เป็นภัย ที่กล่าวว่าเป็นภัย เป็นอย่างไร ที่จะเป็นเหตุให้เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ได้
ท่านอาจารย์ รู้จักจิตหรือยัง ได้ยินว่าจิตเกิดดับ เป็นภัยแล้วหรือ ง่ายเหลือเกิน ใช่ไหม พูดไปเท่าไหร่ก็ยังไม่เห็นภัย จนกว่าจะเห็นจริงๆ ที่จิต และเจตสิกเกิดขึ้น และดับไป เป็นภัยไหม จากไม่มีอะไรแล้วก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ เหมือนเดิมคือ ไม่มี แล้วจะมีทำไม มีเพื่อไม่รู้ มีเพื่อติดข้อง มีเพื่อเป็นทุกข์ ไม่รู้จบด้วย ไม่ใช่จบเลย ไม่มีวันจบ แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย เป็นแต่เพียงธรรม ซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเข้าใจเลย แต่ต้องรู้ว่าเข้าใจระดับไหน เข้าใจระดับที่เดี๋ยวนี้มี แต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เรา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงภัย ดูเหมือนกับเป็นสิ่งที่น่ากลัว เช่น การอดอยาก การได้รับความทุกข์ใจ การได้รับความทุกข์กาย แต่ถ้าสุขกาย เช่น อาหารอร่อย อากาศสบาย อย่างนี้ก็ไม่เห็นว่าเป็นภัย
ท่านอาจารย์ ภัย เหนือภัยใดทั้งสิ้น คือ ความไม่รู้ ไม่เห็นเลย ซึ่งคนที่ไม่ฟังธรรม ไม่เห็นภัยของความไม่รู้ ไม่มีทางรู้ด้วยว่าเป็นภัย เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังแล้วไตร่ตรอง เวลานี้ไม่มีภัยปรากฏ เพราะไม่เห็นการเกิดดับจะปรากฏได้อย่างไร เห็นแต่ไฟไหม้ เห็นแต่น้ำท่วม เห็นแต่ความอดอยาก เห็นแต่โรคภัยต่างๆ แต่ไม่เห็นการเกิดขึ้นจากไม่มี ต้องเห็นจากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ดับทันที ไม่มีอะไรเหลือ อะไรจะไปดับสิ่งที่เกิดแล้วให้หมดไปไม่เหลือได้ แล้วไม่เหลือจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย
อ.วิชัย จากความไม่รู้ก็นำมาซึ่งความเกิด และเป็นไปโดยความทุกข์ยาก โดยประการต่างๆ เพราะความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะไม่มีเรา แต่มีความไม่รู้ของสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดดับสืบต่อกัน
อ.วิชัย คุณวิธี รู้จักภิกษุหรือยัง
ผู้ฟัง เข้าใจแล้ว ยังมีอีกคำ พระสงฆ์ หมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ดี เพราะว่าแต่ละคำๆ คนไทยไม่ได้คิดว่าสำคัญ หรือสนใจที่จะเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็คือ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.วิชัย สงฆ์ หรือว่า สังฆะ หมายถึง หมู่ ซึ่งจะกล่าวถึงหมู่อะไรก็ได้ทั้งหมดเลย แต่ว่าถ้ากล่าวถึงภิกษุสงฆ์ หมายถึง หมู่ของพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุที่บวชเข้ามาในธรรมวินัยนี้ก็มีมาก ใช่ไหม ดังนั้นการแสดงถึงสงฆ์ คือ หมู่ของภิกษุนั้นเอง ถ้ากล่าวถึงภิกษุสงฆ์คือไม่ใช่รูปหนึ่งรูปใด แต่หมายถึงหมู่ของภิกษุทั้งหมด และถ้ากล่าวถึงสังฆกรรม หมายถึง ต้องมีหมู่ของภิกษุในการที่จะกระทำกรรมนั้น จึงชื่อว่า สังฆกรรม โดยความเข้าใจก็คือ ไม่ใช่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แต่หมายถึง หมู่ของภิกษุ จึงชื่อว่าภิกษุสงฆ์
ท่านอาจารย์ คนไทยต้องเข้าใจให้ชัดเจน หนึ่ง คือ หนึ่ง ภิกษุบุคคลแต่ละรูป คือแต่ละหนึ่ง เวลาเราบอกว่า แต่ละรูป เราไม่คิดถึงคนธรรมดา ใช่ไหม เราใช้คำนี้สำหรับพระ พระรูปหนึ่ง คือ หนึ่งคน เป็นภิกษุบุคคลทำดีทำชั่ว ไม่ใช่สงฆ์ แต่ต้องเป็นภิกษุนั้น คนเดียวเท่านั้น แต่ว่าถ้าเป็นกิจซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องกระทำโดยหมู่ คนเดียวไม่สำเร็จ ทำไม่ได้ ต้องอาศัยหลายคนช่วยกันพิจารณาไตร่ตรอง หรือกระทำกรรมนั้น ต้องมีการกำหนดหมู่ตามลำดับว่ากี่รูปจึงจะทำกิจนั้นได้ ไม่ใช่เสมอกันทุกกิจ
ดังนั้น เมื่อได้ยินคำว่า พระสงฆ์ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า หมายความถึง หมู่ ส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว เพราะฉะนั้น ภิกษุแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็จะใช้คำว่า ภิกษุสงฆ์ ก็ได้ เพราะสงฆ์เป็นหมู่ เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปที่ไหน พระภิกษุไม่ได้ติดตามไปเพียงรูปเดียว ตามไปเป็นหมู่ ก็บอกพระภิกษุสงฆ์ตาม แต่ว่าถ้าเป็นหนึ่งรูป ท่านพระอานนท์ไม่ใช่สงฆ์ ท่านพระอานนท์ก็ติดตามพระผู้มีพระภาค แต่ไม่ใช่สงฆ์ เป็นภิกษุ พอที่จะไม่เข้าใจผิด
ถ้ากล่าวถึงส่วนรวมเป็น สงฆ์
ถ้ากล่าวถึงแต่ละหนึ่งเป็น ภิกษุ
ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้าไปในใจทุกคน เพราะว่าความมืดมีมาก ประมาณไม่ได้ว่าใครมืดแค่ไหน ใครพร้อมที่จะเข้าใจพระธรรม เห็นถูกต้อง เห็นคุณค่า หรือใครคิดว่าไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่ละหนึ่ง
อ. ธีรพันธ์ คำว่า สังฆรัตนะ เคยได้ยินไหม
ผู้ฟัง เคย
อ. ธีรพันธ์ ถ้าเป็นสังฆรัตนะ หมายถึง หมู่ของพระอริยบุคคล พระอริยสงฆ์มีถึง ๔ ระดับ ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นสังฆรัตนะ รัตนะ คือ ประเสริฐ เพราะฉะนั้น สังฆรัตนะ ก็ได้ยินมาพร้อมกับคำว่า พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ คือ รัตนะทั้ง ๓ เป็นรัตนะที่ประเสริฐ มีพระพุทธเจ้าอุบัติมาเกิดขึ้นเพื่อจะทรงแสดงธรรม พระธรรมก็เป็น ธรรมรัตนะ เพราะว่า เป็นธรรม ที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบุคคลที่ฟังตามแล้วปฏิบัติตาม สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ก็เป็น สังฆรัตนะ และสังฆรัตนะนี้ไม่ได้เจาะจงเฉพาะภิกษุเท่านั้น เป็นฆราวาสก็มี เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามิคารมารดาเป็นอริยบุคคล ซึ่งเป็นสังฆรัตนะด้วย
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำเพิ่มเติมอีกคำหนึ่งหรือไม่ อริยสงฆ์ เมื่อครู่นี้พูดหรือไม่
ผู้ฟัง พูด
ท่านอาจารย์ จากสงฆ์เป็นพระอริยสงฆ์ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าทุกรูปบวชแล้วเป็นสงฆ์ก็คือ พระอริยสงฆ์ ไม่ใช่ เพราะว่าคนกล่าวด้วยความเคารพ เพราะไม่เข้าใจ เมื่อเห็นสงฆ์ก็กล่าวว่าพระอริยสงฆ์มาแล้ว ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น สงฆ์ คือผู้ที่ได้บวช ได้เข้าใจธรรม ได้ฟังธรรม แล้วก็ไม่ใช่คนเดียว ถ้าคนเดียวก็เป็นบุคคล ภิกษุ แต่ถ้ารวมกันแล้วก็เป็นคณะหรือหมู่ เป็นสงฆ์ แต่ก็มีอริยสงฆ์ แม้คำเดียวต้องเข้าใจความต่าง ไม่อย่างนั้นก็เข้าใจผิด ไม่ได้ศึกษาธรรม งูๆ ปลาๆ และเป็นงู หรือเป็นปลา แต่ธรรมไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเข้าใจ ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องฟังไตร่ตรอง คบคำที่เป็นคำจริงของสัตบุรุษ
เพราะฉะนั้น อริยสงฆ์ คือใคร เดี๋ยวก็จะไปตู่ว่าคนโน้นเป็นพระอริยะ คนนี้เป็นพระอริยะ เป็นพระอริยสงฆ์ เป็นพระอรหันต์ นั่นคือ ตู่ เพราะไม่รู้ว่า อริยะ คืออะไร ถ้ารู้ ไม่ตู่
อ.วิชัย ถ้าโดยความหมายของ อริยะ แปลว่า ประเสริฐ ดังนั้น หมู่ที่ประเสริฐจะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ จากหมู่ธรรมดา แล้วจะเป็นหมู่ประเสริฐ ไม่ใช่ใครตั้ง ไม่ใช่ใครเรียก แต่ประเสริฐเพราะความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น คนโง่ คนไม่รู้ ประเสริฐไหม คำว่า โง่ มีมาในพระธรรมวินัย แล้วจะกล่าวว่าเราว่าได้ไหม เป็นความจริงก็เป็นความจริง โง่ก็ไม่ใช่ฉลาด ใช่ไหม แล้วจะให้เราบอกว่าไม่โง่ได้ไหมถ้าโง่ โง่ก็โง่ ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจแล้วโง่ก็เป็นธรรม ไม่เดือดร้อน คนฟังธรรมไม่เดือดร้อน เพราะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมขึ้น แต่เพราะเป็นตัวตนไม่เข้าใจธรรมก็เดือดร้อน แม้แต่คำว่าโง่ กลายเป็นเขาว่าเราโง่ ใครว่าใคร โง่ก็โง่ ไม่มีใครโง่ คือโง่ที่โง่ ใช่ไหม ก็เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้เลย เเล้วได้ฟังธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ แต่ละคำ สละเพศคฤหัสถ์ คือเหมือนตายจากคฤหัสถ์ เกิดใหม่โดยศีล ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ให้ประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามไม่ได้ ก็เป็นคฤหัสถ์เหมือนเดิม เเล้วฟังธรรมก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบัน รักษาคน ทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ในเพศคฤหัสถ์ ท่านไม่อาจที่จะกระทำอย่างบรรพชิต เพราะไม่ได้สะสมมา ไม่ใช่เพราะอยากเป็นพระ แต่ว่าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นี่เป็นความต่างกันมาก จากคำเดียว จากไม่รู้ สู่ความเป็นอริยะ ผู้ประเสริฐเพราะความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และยังต้องรู้อีกว่า รู้อะไร ไม่ใช่ปริญญาตรี ปริญญาเอก ปริญญาโท นั่นไม่ใช่ความรู้ในพระพุทธศาสนา
ในพระพุทธศาสนามีคำว่าปริญญา ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา ความรู้ทั้งหมดตามพระธรรมที่ทรงแสดง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ตรงทุกคำ แม้แต่ธรรมมีจริง เกิดขึ้นและดับไป ถ้ามิฉะนั้นจะเป็นปริญญาได้อย่างไร จะเป็นความรอบรู้ทั่วชัดเจนได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การแต่งตั้ง คนที่ไม่รู้แล้วบอกว่าผู้นี้เป็นพระอริยบุคคล ใครเรียก คนไม่รู้เรียก ถ้าคนรู้จะเรียกคนไม่รู้ว่าเป็นพระอริยบุคคลไหม ไปเรียกคนไม่รู้ธรรมว่าเป็นพระอริยบุคคลได้อย่างไร
อริยะ คือ ผู้ประเสริฐ พ้นจากความไม่รู้ สู่ความรู้ในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเคยไม่รู้มานานเท่าไหร่ เกินแสนโกฏิกัปป์ จากปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส กว่าจะค่อยๆ เข้าใจธรรม เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกครั้งที่เข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถอบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งได้ ความเคารพของบุคคลนั้นจะมากสักแค่ไหน จึงเป็นสังฆะรัตนะ ไม่ใช่ภิกษุที่ไม่เข้าใจธรรม เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้
ผู้ฟัง การศึกษาความหมายของ จิต หรือ อรรถของจิตนี้ เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ หมายความว่า เราไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มี ดังนั้น ความต่างกันก็คือว่า พระองค์ได้บำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง แต่ของเรานี้เพิ่งจะเริ่มได้ยินได้ฟัง โดยแต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ด้วยความเคารพในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงฟังด้วยการไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นการพิสูจน์ว่า เราเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน อย่างที่คุณวินัยกล่าวว่า ทุกคนมีจิต กำลังมีด้วย แต่หาจิตไม่เจอ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้มีเห็นไหม
ผู้ฟัง มีเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น ก็คือหมายความว่า เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ใช่ไหม คำว่า เห็น ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นเสียงได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เห็นกลิ่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ ทุกคนกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ไม่ใช่เรา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่มี เมื่อเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป เราเคยเห็นมากี่ชาติ ไม่เคยรู้ความจริงมากี่ชาติ จนถึงเดี๋ยวนี้ และต่อไปก็ยังต้องมีเห็น
แต่ว่าใครที่เริ่มที่จะได้ยินได้ฟังธรรม รู้ว่าทั้งๆ ที่เห็น กำลังเห็นก็คิดเรื่องอื่นแล้ว มีใครรู้ตรงเห็น เพื่อที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้กำลังรู้ คือ รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้เอง โต๊ะเก้าอี้ไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีใครอยู่ที่นี่ แต่ว่าเห็นเกิดขึ้น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ เห็นเกิดขึ้นเห็นเมื่อไหร่ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น กำลังคิด ไม่ใช่กำลังเห็น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
