ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167


    ตอนที่ ๑๑๖๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องมี สัจจบารมี เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ถ้าไม่มี ไม่มีทางที่จะรู้สภาพธรรม ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การกราบไหว้นมัสการเคารพพระองค์เป็นโมฆะ เพราะเหตุว่าไม่ฟังคำของพระองค์ ไม่ไตร่ตรองคำของพระองค์ แล้วจะกล่าวว่านับถือได้อย่างไร ก็พอที่จะเข้าใจแล้วว่า เราจะต้องมานั่งนับจิตแต่ละข้อไหม เพราะที่พูดไปแล้ว จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ แล้วจิตเกิดดับสะสมสิ่งที่เป็นกุศล หรืออกุศล

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนอัธยาศัยต่างกัน พ่อแม่มีลูกกี่คน ลูกแต่ละหนึ่งคนไม่เหมือนกัน แม้แต่อาหารที่ชอบ ตั้งแต่เด็กเลยยังชอบคนละอย่าง ไม่เหมือนกันเลย มาจากไหน ถ้าไม่เคยสะสมมาแต่ละชาติๆ เป็นอุปนิสัยในภาษาไทย แต่มาจากภาษาบาลี อุป (อุบ-ปะ) มีกำลัง นิสสย (นิด-สะ-ยะ) ที่อาศัย เป็นที่อาศัยที่มีกำลังก็คือ เสพ เกิดขึ้นบ่อยๆ จนคุ้น ถ้าเราเป็นคนที่โกรธง่าย แค่นั่งดูทีวีก็มาแล้ว คนนี้เล่นไม่เก่ง ทำไมพระเอกอ้วนไป อะไรอย่างนี้ มาอย่างไรถ้าไม่ได้สะสมความขุ่นเคือง ความไม่พอใจอะไรไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่า แม้นิดหนึ่งที่เกิดขณะนั้นก็สะสมแล้ว จะแก้ไขไหม แก้ไขเองได้ไหม

    ถ้าไม่เข้าใจธรรมว่า แต่ละหนึ่งที่หลากหลายกันอย่างนี้มาจากไหนกัน บางคนก็ชอบนอน การนอนมีความสุขมาก บางคนก็ขยันทำการงาน ดึกดื่นก็ยังทำ แต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย แต่สะสมสืบต่อเป็นสังขารขันธ์ ซึ่งจะทำให้มีการปรุงแต่งให้ขณะต่อไปเป็นอย่างนั้นอีก เพราะฉะนั้นไม่มีเราเลย

    เมื่อเช้านี้รับประทานอาหารที่อร่อยมาก คุณวินัยทำเป็นไหม แต่คนอื่นทำ เห็นไหมว่าแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย คุณวินัยเล่นดนตรีได้ไหม คุณอรรณพเล่นได้ เก่งด้วย แต่งกลอนก็ได้ แต่ละหนึ่งๆ จะไม่ซ้ำกันเลยสักคนเดียว

    เพราะฉะนั้น ธรรมมีคุณค่าแค่ไหนที่จะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ถูก ไม่ดี ให้รู้ความจริงว่า สิ่งนั้นนำทุกข์โทษมาให้ แม้ว่าเพียงทีละเล็กทีละน้อย เพียงแค่แต่ละคำทางวาจา การกระทำแม้นิดหน่อยทางกาย ถ้าไม่เห็นว่าอะไรถูก อะไรควร ก็สะสมสิ่งที่ไม่ดีต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมทั้งพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ตามกำลังความสามารถของแต่ละคนว่า สามารถที่จะรับรู้ เข้าใจ อบรมขัดเกลากิเลสได้มากน้อยแค่ไหน

    สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ในครั้งพุทธกาลแล้ว เหมือนเราอย่างนี้ใช่ไหม คือมีกิเลสเหมือนกัน แต่ว่าแต่ละหนึ่งต่างกัน สะสมมาเป็นท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่ท่านพระอานนท์ ไม่ใช่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ไม่ใช่ท่านพระมหากัสสปะ ไม่ใช่ท่านพระอนุรุธ แต่ละหนึ่งๆ ๆ เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศในแต่ละทางตามการสะสม ทั้งๆ ที่รู้ความจริงด้วยกันก็ยังต่างกัน ด้วยเหตุนี้ แต่ละหนึ่งที่ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ เข้าใจเท่ากันไหม

    ผูู้ฟัง ไม่เท่า

    ท่านอาจารย์ ไม่เท่ากัน อัธยาศัยของคนที่ฟังแล้วรู้ความจริงตามที่สะสมมาว่า ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสคือความเห็นผิด ความสงสัยในจิต ในเจตสิก ในรูป ที่กำลังมีในขณะนี้ ใช้คำว่าดับ ไม่กลับมาอีกเลย

    แล้วลองคิดดู ไม่รู้นานเท่าไรในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็สามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นดอกไม้ เป็นเก้าอี้ได้ เพราะรู้ความจริง ดับไม่เกิดอีกเลย ไม่สงสัยอีกเลยในการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ เป็นพระโสดาบันในเพศคฤหัสถ์ก็ได้ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสเพิ่มขึ้น ละคลายความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส เบาบางลง รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระสกทาคามีบุคคล กิเลสหมดไหม ยังอยู่ ให้รู้ว่ามี

    ผู้ที่เป็นพระสกทาคามีก็อบรมเจริญปัญญา เห็นโทษของกิเลสที่ยังเหลืออยู่ จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส เพราะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ซึ่งสะสมมานานแสนนาน ไม่เหลือเลย เป็นพระอนาคามีบุคคล กิเลสหมดไหม ยังไม่หมด เห็นไหมว่ากิเลสมากเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ยังเหลือความติดข้องในความเป็น ถึงอย่างไรก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นอยู่ เมื่อไหร่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะสิ่งที่เป็นนั้นที่มีสำหรับพระอนาคามี ก็เป็นสิ่งที่พระอนาคามีระลึกรู้ เข้าใจขึ้นในความไม่เที่ยง ในความไม่ใช่ตัวตน จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสไม่เหลือเลย ไม่มีแม้แต่ความติดข้องในความเป็น ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีกได้เลย

    ดังนั้น การมีชีวิตอยู่หลังจากที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว คือเหมือนลูกจ้างที่รอเวลาที่งานเลิก ไม่อยู่ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะทำให้ต้องเป็นไป เหมือนเกิดขึ้นทำงานไปจนกว่างานจะเลิก จนถึงขณะสุดท้ายใช้คำว่า ปรินิพพาน หมายความว่า ดับหมด ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้น เราเป็นใคร กลับมาใหม่แล้วจะเป็นพระโสดาบันใน ๗ วัน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ในชาติหนึ่ง ได้ไหม ต้องเป็นความเข้าใจถูกที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    วันนี้เรากำลังนั่งฟังธรรมอยู่ที่นี่ ยังมีความเป็นตัวตนในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่คิด ถ้าฟังธรรมโดยละเอียด โดยลึกซึ้ง ทุกคำเป็นคำจริง ขณะนี้ความเข้าใจถูก ซึ่งใช้คำว่า สัมมาทิฏฐิ หรือปัญญา เมื่อกำลังฟังเข้าใจ ปัญญาเกิดท่ามกลางอกุศล อะไรจะมาก อะไรจะน้อย เห็นดับไปแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อเป็นวิบาก กรรมทำให้จิตนั้นรู้สิ่งที่จิตเห็น เห็น แต่จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็น ไม่เห็น นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม แล้วก็จิตที่รับรู้ต่อ ภาษาบาลีใช้คำว่า สัมปฏิจฉันนะ เมื่อดับ จิตที่เกิดต่อก็เป็นผลของกรรม ที่ให้เกิดขึ้นสืบต่อจากสัมปฏิจฉันนจิต รับรู้สิ่งเดียวกันที่จิตเห็น

    สัมปฏิจฉันนะรู้โดยการพิจารณา หมายความว่า มีการรู้อารมณ์นั้นขึ้นอีกหน่อย ยังไม่หมดการที่จะรู้อารมณ์นั้น เพราะอารมณ์นั้นยังตั้งอยู่ ยังไม่ได้ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตอีกขณะหนึ่งเกิดขึ้น เปิดทางให้กุศล และอกุศลที่สะสมอยู่ในจิตหนาแน่นมากเกิดขึ้น เป็นอาสวะ ใครรู้ ที่ใช้คำว่า อาสวะ อกุศลเจตสิกมี ๑๔ ประเภท แต่อกุศลที่เป็นอาสวะมีเท่าไร ถ้าไม่ศึกษาใครจะรู้ แต่คนที่ฟังแล้วรู้ ไม่ใช่แค่รู้โดยจำ แต่ต้องเข้าใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้เป็นนั่งกางตำราเรียน ไม่ใช่ให้ไปจำชื่อ แต่แต่ละคำ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งถ้าสามารถเข้าใจทีละคำได้ ก็จะเป็นปัจจัยให้คำที่เราเข้าใจแล้วมีอยู่ทุกขณะ หรือจะกล่าวว่ามีอยู่ทุกแห่งในพระไตรปิฎกก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็กำลังมี ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ไปเพียงจำไว้ เพราะว่าอ่านถึงหน้านั้น แล้วเปิดอีกหน้าหนึ่งจะเจออะไร จะต่ออะไร ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ในครั้งพุทธกาลก็ไม่มีหนังสือ ไม่มีตำรา คิดถึงความจำและความเข้าใจของคนยุคนั้น จึงสามารถที่จะมั่นคง รู้ความจริงในความเป็นอนัตตา

    ส่วนคนยุคนี้ฟังว่า ธรรม แต่อัตตาหมดเลย ตั้งสำนักปฏิบัติ มีหรือ ใครปฏิบัติได้ จิตเป็นอัตตา หรือ อนัตตา มีปัญญาหรือเปล่า ไม่มีปริยัติแล้วปฏิบัติได้อย่างไร ปฏิบัติก็ไม่เห็นความเป็นอนัตตาเลย เพราะเป็นเรา แต่สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้น และมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ได้บังคับ ไม่ได้รอคอย ไม่ได้หวัง แต่มีเหตุหรือปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ นี่คือความละเอียดยิ่งของธรรม

    เพราะฉะนั้น ที่คุณวินัยกล่าวถึง จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ ถูกต้องใช่ไหม และอะไรต่อไป

    ผู้ฟัง สะสมสันดาน

    ท่านอาจารย์ รู้แล้วใช่ไหมว่าโดยอุปนิสสยปัจจัย เพราะฉะนั้น กุศลเกิดขึ้นหนึ่งขณะ อกุศลเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ประมาทไม่ได้เลย สะสมทีละเล็กทีละน้อย เป็นที่อาศัยที่มีกำลังให้ทันทีที่ตากระทบ อะไรเกิดเเล้ว ความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น กามาสวะ รู้หรือเปล่า นั่งอยู่อย่างนี้เห็นดอกไม้ไป ฟังไป เห็นไป ไม่รู้ไป สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ได้ยินเสียงไป ไม่รู้ไป ในความเป็นธาตุเสียงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สภาพที่ได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นอุปนิสสยปัจจัย ทุกอย่างที่มีเป็นปัจจัยโดยเป็นที่อาศัยอย่างหนึ่ง ซึ่งสะสมมากขึ้นก็มีกำลัง แม้แต่อากาศ ชอบหนาว หรือ ชอบร้อน ก็สะสมไป สองคนอยู่ในห้องเดียวกันไม่ได้ ถ้าคนหนึ่งห่มผ้า อีกคนหนึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศ ตามอุปนิสสยปัจจัย แล้วเมื่อไหร่ที่ไม่รู้ เมื่อนั้นก็คือเป็นเราตลอดเลย กว่าจะรู้ได้ กว่าจะเข้าใจ ต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หนทางเดียวที่จะบูชาคุณ คือเข้าใจคำของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสดงธรรมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคำนี้มีค่าที่ประมาณไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง กรรม กิเลส สั่งสมวิบาก

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วไม่รู้ มี ๒ อย่าง เห็น เป็นอะไร ไม่รู้ เป็นอะไร เห็น เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเป็นสภาพรู้

    ท่านอาจารย์ จิตมีกี่ชาติ

    ผู้ฟัง ๔ ชาติ

    ท่านอาจารย์ ชาติ คือ การเกิดขึ้นของจิต มี ๔ ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือ เป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ ซึ่งเป็นเหตุ และเป็นผลซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ แต่คนไทยก็ชอบพูดว่า เป็นวิบาก วิบากไม่ใช่ลำบาก วิบากเป็นผลของกรรม "ผลของกรรม " ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้แล้วจะมีความหมาย มีประโยชน์อะไรไหม แต่ว่าวิบากจริงๆ ก็คือธาตุรู้ คือจิต และเจตสิกซึ่งอาศัยจิต เจตสิกที่เป็นกรรม เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลกรรมที่มีความประสงค์ที่จะให้คนอื่นตาบอด คนอื่นไม่ได้ตาบอดเพราะเรา หรือเพราะใคร แต่เพราะกรรมของตนเองที่สะสมไว้ ที่จะทำให้เกิดผลนั้น ด้วยเหตุนี้ สะสม กรรม กิเลส วิบาก

    ผู้ฟัง นั่นก็ ธรรมชาติของจิต วิจิตร

    ท่านอาจารย์ วิจิตร คือ ความต่างกัน คำว่า วิจิตร วิจิตรมาก ก็ต่างกันมาก ตามความวิจิตร ตามความต่างซึ่งหลากหลาย ด้วยอะไร ทำไมจิตถึงต่างกัน

    ผู้ฟัง ด้วยสัมปยุตตธรรม

    ท่านอาจารย์ สัมปยุตตธรรม หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง เกิดดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่สามารถจะแยกจากกันได้เลย เกิดพร้อมกันด้วย และเป็นธาตุรู้ด้วย เมื่อเกิดพร้อมกัน เป็นธาตุรู้อย่างเดียวกัน ก็รู้อารมณ์เดียวกันด้วย แล้วก็ดับพร้อมกันด้วย ถ้าในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ มีรูปด้วย จิต เจตสิกนั้นต้องเกิดที่เดียวกันด้วย แยกกันเกิดไม่ได้ เข้ากันสนิท เพราะฉะนั้น ก็เป็น สัมปยุตตธรรม เพราะต้องครบทั้ง ๔

    สำหรับในภูมิที่ไม่มีรูป จิตก็ต้องเกิดโดยไม่ต้องอาศัยรูป เพราะฉะนั้นก็เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เดี๋ยวนี้จิตเกิดที่ไหน จิตเกิดที่รูปใช่ไหม

    ผู้ฟัง ที่รูป

    ท่านอาจารย์ เกิดนอกรูปร่างกายได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อีกความหมายหนึ่งของ จิต คือ หทยะ ภายใน แตะตรงไหนก็แข็งบ้าง อ่อนบ้าง ใช่ไหม แต่ตัวธาตุรู้ไม่ใช่อ่อนแข็ง แต่เป็นในที่สุด อยู่ตรงนั้นหาไม่เจอ ในแค่ไหน ถ้าตื้นๆ ง่ายๆ ก็หาเจอ แต่นี่ไม่มีรูปร่างไม่มีสัณฐานใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เกิดเป็นธาตุรู้ ตรงที่ที่กระทบแข็ง แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ธรรม เป็นเรื่องที่ยิ่งเรียน ยิ่งรู้ในความไม่ใช่ตัวตน แต่ถ้าประมาทก็มีความเป็นตัวตน แล้วก็ไปปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ เราสามารถที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปไหม เพราะแต่ละคำนี้จริงและตรง และการกล่าวคำจริง และคำตรง เป็นประโยชน์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ควรพูดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ควรพูด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจ กล้าพูดไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่น่าจะพูด

    ท่านอาจารย์ หรือถ้าเป็นคนที่ไม่เห็นคุณประโยชน์จริงๆ จะกล้าพูดไหม

    ผู้ฟัง ไม่กล้าพูด

    ท่านอาจารย์ แต่กลับคิดว่าไม่ต้องพูด ไม่ควรพูด จะกระทบกระเทือนคนนั้นคนนี้ แต่ถ้าเป็นมิตรที่แท้จริง การให้ความจริงที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เป็นประโยชน์สำหรับชาติต่อไป ที่จะไม่เห็นผิดต่อไปด้วย เพราะถ้าเริ่มมีความเห็นผิดจากชาตินี้ ก็สะสมสืบต่อไปในชาติต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน ก็ไปหาครูอาจารย์คนอื่น เหมือนพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ประทับที่พระวิหารเชตุวัน คนที่ไม่มาเฝ้าพระองค์ไปหาอาจารย์อื่นก็มี อาจารย์ทั้ง ๖ หรืออาจารย์อื่นๆ ก็ได้ทั้งนั้น เพราะสะสมมา ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะว่าเข้าใจผิดเพียงนิดเดียว ทีละเล็กทีละน้อยก็นำไปสู่ความเห็นผิด ถ้าพูดคำที่ถูกต้อง คำที่จริง ควรพูดไหม

    ผู้ฟัง ควรพูด

    ท่านอาจารย์ เพื่อประโยชน์ก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะว่า คนอื่นจะเข้าใจผิด คนอื่นจะติเตียน คำไหนเล่าที่ควรติ ในเมื่อเป็นคำจริง

    เพราะฉะนั้น อาจหาญ ร่าเริง กล้า ที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ถ้ามีความเข้าใจมากขึ้น ทำสิ่งที่ถูกต้องมากขึ้น ความเห็นผิด ซึ่งเวลานี้ทั่วโลกเข้าใจว่า พระพุทธศาสนา คือ สำนักปฏิบัติ ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง

    คำถามครบหรือยัง จิต วิจิตรต่างๆ กันด้วยอารมณ์ รู้อารมณ์ทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อย่างหนึ่ง ทางจมูกก็อย่างหนึ่ง ทางลิ้นก็อย่างหนึ่ง ทางกายก็อย่างหนึ่ง ทางใจก็อย่างหนึ่ง รู้อารมณ์ตลอดเวลา แล้วแต่ว่าอารมณ์นั้นเป็นอะไร คำว่า วิจิตร คือ ต่างๆ

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ว่าเป็นธรรม เป็นอย่างไร เพราะว่าเราได้แต่คิดว่า อย่างนี้เป็นธรรม เวลาสภาพธรรมเกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังคำไหน เข้าใจคำนั้น สภาพธรรม มี ๒ คำ ถ้าพูดคำเดียวก็คือ ธรรม พูดอีกคำก็ สภาพ คนไทยชินหูเลยว่า สภาพธรรม ธรรม แต่ภาษาบาลีเป็น สภาวธรรม ว กับ พ เปลี่ยนได้ ใช้แทนกันได้ ในภาษาไทยใช้สลับกัน ว กับ พ แต่ว่า สภาพธรรมก็คือ สภาวธรรม ภาวะ คือ ความเป็น ส แปลว่า มีความเป็น

    ดังนั้น สภาวธรรม ธรรมที่มีความเป็น คือ ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไม่ได้ เหมือนกับที่เราพูดภาษาไทยเลย แต่เมื่อเราจะคิดถึงความหมาย เราคิดว่าคงจะมีความหมายอื่น แต่ภาษาไทยเราพูดอยู่แล้ว แข็งเป็นแข็ง เพราะฉะนั้น แข็งเป็นสภาพธรรมไหม มีภาวะไหม

    ผู้ฟัง มีภาวะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีภาวะแข็งก็คือ เป็นสภาวะที่แข็ง เป็นธรรมที่แข็ง เท่านั้นเอง ธรรมทุกอย่างก็มีภาวะความเป็นของธรรมนั้นๆ ตา จักขุ มีภาวะไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ภาวะ คือ เป็นธาตุ หรือ ธรรม ที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดก็มีภาวะความเป็นของสิ่งนั้นๆ ๆ เมื่อเราพูดถึงธรรม ธรรมต้องมีภาวะที่เป็นอย่างนั้น ใช่ไหม เราก็พูดถึงสภาพธรรม ธรรมที่มีภาวะแต่ละหนึ่งๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นภาวะอะไร ภาวะแข็ง หรือภาวะเสียง เพราะฉะนั้น เสียงเป็นธรรม เสียงเป็นสภาวธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอภิธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะเข้าใจแล้วก็ชัดเจนว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ขยายออกๆ เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่ละหนึ่งๆ ไม่ว่าโดยนัยใด ก็คือ ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง โดยปกติในชีวิตประจำวัน เราไม่เคยที่จะรู้สภาวะนั้นเลย ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางรู้ด้วย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง อย่างขณะนี้เราฟังแล้วเราก็เข้าใจว่าเป็นเพียงเเค่คำพูด เป็นบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง แต่ยังไม่ถึงสภาวะนั้น

    ท่านอาจารย์ เราอยู่ในที่มืดมานาน ตาบอด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่โลกที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกวันๆ กลับเป็นโลกซึ่งไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ แต่ละหนึ่งต้องเเต่ละหนึ่งด้วย เช่น เห็น เราคิดว่าเป็นธรรมดา แต่ความจริงคือเห็นเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น ไม่มีเห็น แล้วก็มีเห็น แล้วก็ไม่มีเห็น จึงอยู่ในโลกของความไม่มี แต่การเกิดดับสืบต่อกันมากมายมหาศาล จนเหมือนกับว่าอยู่ในโลกของความมี แต่ความจริงหามีไม่

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะถึงปฏิปัตติ ไม่มีใครสามารถที่จะมีปัญญาระดับปฏิปัตติ รู้เฉพาะตรงลักษณะที่บอกว่าเห็น ไม่รู้ที่อื่นเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลยนอกจากเห็น นั่นคือรอบรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยขั้นฟัง รอบรู้หมดเลย เห็นเป็นธาตุ ธาตุอะไร

    ผู้ฟัง ธาตุเห็น

    ท่านอาจารย์ ภาษาบาลีก็คือ จักขุวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ซึ่งอาศัยตา หนึ่งประเภทแล้วใช่ไหม ในธรรมทั้งหมดที่เกิดมาทั้งหมด มีธรรมหนึ่งประเภท คือ ธาตุรู้ที่อาศัยตา พูดง่ายๆ ก็คือ เห็น เกิดมาก็เห็นแล้ว แต่ไม่ใช่เรา สิ่งที่ปกปิด คือ เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น แต่ไม่มีใครรู้เลย ก็เราเห็น แล้วก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งจิตรู้ เพราะฉะนั้น อารมณ์ของจิตสำคัญไหม

    ผู้ฟัง สำคัญ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอารมณ์กระทบ จิตจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อารัมมณปัจจัย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    12 ก.ย. 2568