ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
ตอนที่ ๑๑๗๘
สนทนาธรรม ที่ สมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ พอจะรู้ได้ไหมว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่ง คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้ยิ่งขึ้น จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือเปล่า ถ้าขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งคือฟังต่อไป เพื่อที่จะเข้าใจต่อไป
ผู้ฟัง คำถามต่อมา ชาวพุทธซึ่งมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะได้รับผลอย่างไร
อ.คำปั่น จากที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อสักครู่ ก็แสดงถึงความเป็นจริงว่า ปัญญาจะเจริญขึ้นก็เพราะว่าได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่จะทำให้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง ก็ลองพิจารณาถึงความเป็นพุทธบริษัทในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ชื่นชมสรรเสริญในคำจริงที่พระองค์ตรัส ว่าเป็นคำที่ทำให้เข้าใจความจริง จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้รู้ขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็จะเป็นที่พึ่งสำหรับบุคคลนั้นตั้งแต่ต้นเลย กล่าวได้ว่าปัญญาเป็นที่พึ่งในทุกระดับขั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญาก็จะมีเครื่องนำทางชีวิตที่ดี ให้มีความประพฤติเป็นไปที่ดีที่ถูกที่ควร จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสตามลำดับขั้น สูงสุดก็คือถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่สามารถรู้แจ้งธรรมในภพนั้นชาตินั้นได้ ก็สามารถที่จะสะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไปได้ เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรม เมื่อเกิดในชาติต่อๆ ไปก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม ได้สะสมปัญญาต่อไป เพราะว่าเคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว
ผู้ฟัง ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจประโยคที่ว่าสมาธิทำไม่ได้ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักสมาธิ ทำสมาธิได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักสมาธิใช่ไหม ถ้ารู้จักสมาธิว่าคืออะไร แล้วทำได้ไหม เห็นไหมว่าเราต้องฟังตั้งแต่ต้น คำของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าไม่เปลี่ยน ไม่ว่าในกาลสมัยใดทั้งสิ้น คำจริงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น สมาธิคืออะไร ไม่ใช่สอนให้เราไม่รู้แล้วทำ แล้วอยากได้ แล้วอยากทำ แต่ต้องให้เข้าใจจริงๆ ว่า สมาธิมีหรือไม่ จริงหรือเปล่า แล้วคืออะไร แล้วเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นสมาธิ
ทุกคำต้องไตร่ตรองลึกลงไปจนถึงที่สุดว่าสมาธิคืออะไร ก่อนที่จะมีใครบอกให้ทำสมาธิแล้วก็ทำสมาธิ แต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่าสมาธิคืออะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นผู้ที่สะสมความเป็นผู้ตรงต่อเหตุผล ก็เริ่มรู้สึกตัวว่ายังไม่รู้จักสมาธิเลย และเขาก็ไม่บอกด้วยว่าสมาธิคืออะไร แต่ให้ทำสมาธิ แล้วจะมีประโยชน์อะไร
การทำสมาธิมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ทำทำไม ชื่อว่าสมาธิก็ยังไม่รู้เลย ดังนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน คำสอนที่ไม่ให้เข้าใจ แต่ให้ทำ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะเหตุว่าสมาธิมีจริงแน่นอน เป็นธรรมเมื่อมีจริง แล้วไม่ใช่เราด้วย แล้วคืออะไร สมาธิเป็นความโกรธหรือเปล่า เห็นไหมว่าไม่รู้เลย เป็นความชอบหรือเปล่าก็ไม่รู้
สมาธิมีจริง เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงนามธรรมกับรูปธรรม พอจะทราบความต่างใช่ไหม รูปธรรมเป็นสิ่งที่มีแต่ไม่ใช่สภาพรู้ แข็งไม่รู้อะไร ชอบไม่ได้ เป็นสมาธิก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ เป็นรูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย แต่สภาพรู้ เรายังไม่ได้รู้เลยว่าที่เราพูดว่าสภาพรู้ แท้ที่จริงแล้วมีความละเอียดหลากหลายมากมายแค่ไหน เพราะเหตุว่าสภาพรู้มีแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นว่าในห้องนี้มีอะไรบ้าง ที่เห็นนั่นคือรู้ โดยเห็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ รู้โดยได้ยินเสียงที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น สภาพรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังแค่นี้ก็ต้องไตร่ตรองใช่ไหม ว่า มีธาตุรู้ มีสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ถูกต้องไหม อยากทราบคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไหม สิ่งที่ถูกรู้คืออารัมมณะ คนไทยใช้คำว่าอารมณ์ แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ แข็งรู้อะไรไหม ไม่รู้ แต่มีสภาพรู้แข็ง ดังนั้นสภาพรู้แข็งไม่ใช่แข็ง แต่มีจริงๆ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ขณะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพรู้อื่น ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้มีการรู้แข็งเกิดขึ้น ยิ่งฟังยิ่งยาก
นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะให้รู้ว่า แม้แต่เพียงขณะที่รู้แข็ง ซึ่งคนธรรมดาไม่รู้อะไร เเต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงว่าแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เรา รวมทั้งสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในแข็ง ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานคือจิต จึงรู้แข็งนั้นได้
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ตั้งมั่นในแข็ง และรู้ในขณะนั้นโดยตั้งมั่น เป็นสภาพธรรมที่ใช้คำว่า เอกัคคตา มีอารมณ์หนึ่ง หมายความว่าตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ทำให้จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นรู้เฉพาะหนึ่ง เช่น เห็น รู้เพียงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่รู้เสียง ได้ยิน รู้เสียงไม่ใช่รู้กลิ่น พอที่จะเข้าใจตามได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ใช้คำว่าจิต จิตตะ แต่จิตเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นปัจจัยอาศัยการปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสภาพรู้ด้วยกัน
ดังนั้น สภาพรู้มีสองอย่างคือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานเฉพาะรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ และอาศัยสภาพรู้ที่ปรุงแต่ง ซึ่งใช้คำว่าเจตสิก เป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เพราะเป็นสภาพรู้ด้วย แต่ไม่ใช่จิต เพราะว่ามีลักษณะแตกต่างหลากหลายเป็นถึง ๕๒ ประเภท โกรธมีไหม ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้รู้ก็โกรธไม่ได้ แต่โกรธสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ หรือว่าไม่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ชอบงูไหม ไม่ชอบ มีจริงๆ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น สภาพที่ไม่ชอบ ไม่ใช่จิต แต่เห็นสิ่งที่นึกว่าเป็นงู เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นงู ความไม่ชอบก็เกิดขึ้น ดังนั้น สภาพรู้มี ๒ อย่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือ จิตและเจตสิก นี่คือเพื่อที่จะรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จนกว่าจะรู้ว่าเจตสิกหนึ่งนั้นคือสมาธิ หรือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คำที่ใครจะอ้างหรือค้าน แต่เมื่อพระองค์ตรัสแล้วทรงแสดงความจริงถึงที่สุดว่า ขณะนั้นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์มี ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิตทุกขณะ ทำให้จิตแต่ละหนึ่งขณะรู้สิ่งที่ปรากฏเพียงทีละหนึ่ง จนกระทั่งตั้งมั่นบ่อยๆ ในอารมณ์เดียว ลักษณะของความตั้งมั่นปรากฏมาก จึงใช้คำว่าสมาธิ พอจะรู้จักธรรมไหม สมาธิมี ต้องเป็นธรรม มีจริง แต่ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดกับจิตทุกประเภท และตั้งมั่นในสิ่งที่ปรากฏทีละหนึ่ง ทำให้จิตสามารถรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเพียงสิ่งเดียว ทีละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นทำสมาธิได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ก็เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งยังมีอีกมากใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง ทุกคำต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงจะเป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งอย่างไร พึ่งให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พึ่งอย่างอื่น พึ่งให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แต่คนอื่นเมื่อไม่ได้ตรัสรู้ ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย พอที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มเติมไหม จากการที่รู้ว่าสมาธิคืออะไร คือสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกหนึ่งใน ๕๒ ประเภท
อ.อรรณพ สมาธิเป็นเจตสิกที่มีหน้าที่ตั้งมั่น จิตทุกขณะต้องประกอบด้วยสมาธิ แต่ที่เราเรียกว่ามีสมาธินานๆ ก็คือเป็นสมาธิในเรื่องหนึ่งเรื่องใด เช่นเรื่องการเรียน หรือมีสมาธิในการที่จะเย็บปักถักร้อย ก็พูดกันว่ามีสมาธิ ใช่ไหม ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เราก็จะไม่รู้เลยว่า สมาธิ ก็คือสภาพที่ตั้งมั่น เป็นเจตสิกอย่างหนึ่งที่เกิดกับจิต
ตั้งมั่นดีก็มี ตั้งมั่นไม่ดีก็มี อย่างคนไม่ดี อย่างโจร เขาจะทำสิ่งที่ไม่ดีเขาก็ต้องสมาธิที่ไม่ดี ตั้งมั่นในการจะงัดแงะ หรือจะทำอะไรเขาก็ไม่หลงลืมอะไรไว้ให้ถูกจับเลย อย่างนี้เป็นต้น นั่นก็เป็นสมาธิไม่ดี เป็นอกุศลสมาธิ
คนไทยเราแตกตื่นกับคำว่าสมาธิ โดยที่ไม่เข้าใจว่าสมาธิคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นสภาพรู้ที่เกิดกับจิต เป็นเจตสิกอย่างหนึ่งที่เป็นสภาพที่ตั้งมั่น แต่ตั้งมั่นนั้น ตั้งมั่นไม่ดีก็มี แล้วถ้าเกิดไปตั้งมั่นอะไรที่ผิด เช่น ไปกำหนดจดจ้อง ไปทำอะไรที่คิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็ไปนั่งทำสมาธิกันอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่าสมาธิเป็นธรรม คิดว่าเราจะทำสมาธิ หรือถ้าเกิดมีความคิดที่ว่าเราทำสมาธิได้ ความคิดอย่างนี้จะเป็นกุศลหรืออกุศล คิดว่าเราสามารถที่จะบังคับให้ทำได้ อย่างนี้ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะสมาธิเป็นธรรม แล้วถ้าสมาธิอย่างนั้นเกิด รู้ไหมว่าสมาธินั้นเป็นอกุศล นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขณะที่มีความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ขณะนั้นสมาธิดีไหม
ผู้ฟัง ดี
อ.อรรณพ ถ้าไม่รู้อะไรเลย แล้วเราไปนั่งที่เรียกกันว่า นั่งสมาธิ โดยที่เราไม่รู้อะไรเลย ดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดี
ผู้ฟัง สงสัยว่า ครั้งแรกเลยที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาได้อย่างไร ไม่เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ คำว่าโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ เคยได้ยินบ้างไหม
ผู้ฟัง เคยได้ยิน
ท่านอาจารย์ เป็นใคร
ผู้ฟัง ไม่เเน่ใจ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าได้ยินแล้วก็ต้องรู้ว่าเป็นใคร
อ.คำปั่น ความหมายของโพธิสัตว์ คือผู้ที่ข้องอยู่ในการที่จะตรัสรู้ความจริง คือยังไม่ได้ตรัสรู้ความจริง ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง แต่ว่ายังข้องอยู่ในการที่จะได้ตรัสรู้ความจริงในภายหน้า นี่คือความหมายของพระโพธิสัตว์
ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระโพธิสัตว์หลายชาติไหม
ผู้ฟัง หลายชาติเลย
ท่านอาจารย์ คงไม่ต้องสงสัยว่าแล้วเป็นมนุษย์ได้อย่างไร เป็นมาแล้วไม่รู้ว่านานเเสนนานเท่าไหร่ แม้ในยามแรก ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ ก็ทรงระลึกถึงอดีตชาติ ตลอดยามต้น ไม่จบ แล้วเราต้องการคำตอบว่าเกิดมาได้อย่างไร หรือว่ามีปัจจัยที่ต้องมีต้องเป็น เพราะมีแล้ว อย่างจิตเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ มีแล้ว จะไม่ให้มีได้อย่างไร ไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่ามีผู้ที่บันดาลจะให้เกิดก็ได้ ไม่ให้เกิดก็ได้ แต่ว่าสภาพธรรมที่มีเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครไปบังคับได้เลย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิด ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ถึงแม้จะใช้คำว่าเป็นอิสระ แต่ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นอิสระ คือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เป็นไปตามปัจจัย ปัจจัยให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เช่นความไม่รู้ ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้เห็นกำลังเกิดดับ ก็ต้องฟังก่อนว่าเห็นมีจริงใช่ไหม แต่เห็นต้องเกิดใช่ไหม เกิดแล้วหายไปไหน ในขณะที่ได้ยินไม่มีเห็นแล้ว ตอนหลับสนิทมีเห็นไหม เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีหายไปๆ โดยไม่รู้เลย
ความจริงคือเป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนได้เลย สิ่งที่มีอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็น เพราะฉะนั้น จะเป็นรูปธรรม หรือจะเป็นนามธรรม ก็เพราะเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น พอจะเข้าใจไหมว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ให้มีก็ไม่ได้ เพราะมี แล้วก็ต้องมีตามที่เป็น
ใครก็เปลี่ยนแปลงสภาพที่เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น ก็หมดปัญหาใช่ไหม เรื่องคนในอดีตสมัยโน้นสมัยนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ เป็นธรรมที่มีเกิดขึ้นสืบต่อมานานแสนนาน
จนแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระโพธิสัตว์ ในยามต้นระลึกชาติ ระลึกไม่จบ ไม่มีทางหมดได้เลย แล้วเราจะไปคิดทำไม แต่ว่าให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามเหตุตามปัจจัยว่า ไม่ใช่เรา นี่คือความถูกต้อง เพราะหลงเข้าใจว่าเราเกิด แต่เกิดจะเป็นเราได้อย่างไร เราไม่ได้มาเลือกเกิด ไม่ได้ทำให้เกิด แต่มีปัจจัยที่ธรรมจะเกิดก็เกิด เป็นธาตุรู้และรูปธรรม เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด ให้เข้าใจเท่าที่กำลังความสามารถของเรา ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย
อ.คำปั่น ในคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ ที่เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ เพราะว่ายังมีเหตุที่ยังต้องทำให้เกิดอยู่ คืออวิชชา ความไม่รู้ ตราบใดก็ตามที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ก็ยังต้องมีการเกิดต่อไป จนกว่าจะสามารถดับความไม่รู้ได้หมดสิ้น เมื่อนั้นจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
ดังนั้น จึงเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ถึงขนาดที่พระองค์ทรงแสดงไว้ว่า คนที่ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน หาได้ยาก เพราะว่าเกิดมามากมายนับชาติไม่ถ้วนเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้น เพียงเท่านี้ก็รู้เลยว่าเกิดมามากเท่าไหร่ สะสมอะไรมามากเท่าไหร่ แต่ว่าขณะนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของคุณความดีแน่นอนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดในภพภูมิที่เป็นสุคติ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้สะสมความดี แล้วก็ยังมีโอกาสที่สำคัญในชีวิตด้วย คือได้ยินได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นขณะที่มีค่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐจริงๆ
ผู้ฟัง ทำบุญอย่างไรจึงจะเป็นการทำบุญอย่างถูกวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
อ.คำปั่น เป็นคำที่ได้ยินกันอยู่เสมอ บุญ ความหมายก็คือสภาพธรรมที่ดีงาม ที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศล นี่คือความหมายของบุญ ซึ่งสามารถที่จะพิจารณาต่อไปได้ใช่ไหมว่า เป็นธรรมที่มีจริง และเป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไป
ยิ่งถ้าได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมต่อไปก็จะเห็นได้ว่า การทำความดีมีมาก แม้ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีทรัพย์สิน ความดีนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้ เช่นไม่โกรธบุคคลอื่นก็เป็นบุญ ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่หวงแหน ก็เป็นบุญ เป็นความดีที่เกิดขึ้น เพราะว่าความดีไม่ทำร้ายใคร ความดีไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อประมวลคุณความดีทั้งหมดก็ประมวลลงที่ทาน การให้ การสละ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ศีลความประพฤติที่ดีงาม แล้วก็การอบรมเจริญความสงบของจิต และอบรมเจริญปัญญา แล้วก็ยังจำแนกออกไปอีก อย่างเช่น การขวนขวายในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น การอุทิศส่วนกุศล การชื่นชมยินดีในความดีของบุคคลอื่น การฟังธรรม การแสดงธรรม รวมไปถึงการกระทำความเห็นให้ตรง ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
ทั้งหมดคือความดี ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่คนที่ทำบุญ แต่ว่าเป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไป กราบเรียนท่านอาจารย์ในความละเอียด
ท่านอาจารย์ บุญมีจริงไหม หรือว่าพูดเรื่องบุญแต่ไม่มีบุญจริงๆ เพราะฉะนั้น บุญมีจริงหรือเปล่า ถ้าจะรู้ว่ามีจริงก็ต่อเมื่อรู้ว่าคืออะไร ไม่อย่างนั้นก็เป็นแค่คิด
ธรรมฝ่ายดี ใช้คำว่าบุญ และก็ชำระอกุศลด้วย ในขณะที่บุญเกิดขึ้นขณะนั้น สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายบาป หรือฝ่ายไม่ดีก็เกิดไม่ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า เข้าใจว่าบุญเป็นเรา หรือว่าเราทำบุญ หรือว่าเรามีบุญ แต่ไม่ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า บุญเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ธรรมฝ่ายดีเป็นธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของใครด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อไหร่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมตั้งแต่ต้น จนถึงรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยเป็นพระอรหันต์ ก็เพราะรู้จักธรรมยิ่งขึ้นว่าเป็นธรรมจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ประโยชน์ของการฟังวันนี้ คือได้รู้จักสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมดว่า แท้ที่จริงแล้วก็มีจริงๆ เป็นสภาพธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าไม่เหลือเลย ทุกขณะเมื่อครู่นี้ก็หมดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้อะไรจริงที่สุด จริงที่สุดก็คือมีสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ให้มีก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไป แต่ให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่มี แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เพราะฉะนั้น การฟังก็ทำให้ได้เข้าใจ รู้จักตัวเองว่าที่หลงเข้าใจว่ามีตัวตนตั้งแต่เกิดจนตาย ความจริงก็เป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จึงหลากหลายเป็นแต่ละคนตามการสะสม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งทุกขณะจิต ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รู้ว่า ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้วโลกมืด ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่สิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือที่จะยึดถือว่าเป็นเราได้
ด้วยเหตุนี้ รู้จักคนอื่นกับรู้จักตัวเอง จะรู้จักใครมากกว่ากัน เห็นไหมว่าต้องคิดแล้ว รู้จักคนอื่น คนนี้เป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กับรู้จักตัวเอง จะรู้จักใครได้มากกว่ากัน
ผู้ฟัง คิดว่ารู้จักตัวเอง
ท่านอาจารย์ รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าการรู้จักตัวเองมีประโยชน์แค่ไหน เพียงแต่คิดว่าเรารู้จักคนอื่น ก็รู้จักเขาเพียงเล็กน้อยบางส่วน บางครั้งบางคราว จริงๆ แล้วเขาเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเอง ใครจะรู้ แล้วก็รู้ชัดยิ่งกว่าใครทั้งหมด ไม่ว่าจะในที่ลับ ในที่แจ้งอย่างไร เราก็สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งเกิดแก่เรา ซึ่งคนอื่นไม่รู้
ดังนั้น การรู้จักตัวเองจะทำให้รู้จักคนอื่นด้วย เหมือนกันหมด เพราะเหตุว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นความโกรธไม่ว่าเกิดกับใคร กับเราหรือเขา ขณะนั้นก็เป็นสภาพที่ขุ่นเคืองไม่พอใจ ไม่ว่าใครทั้งสิ้น และความโกรธก็มีหลายระดับด้วย ตั้งแต่เล็กน้อย เพียงแค่เห็นฝุ่นแล้วไม่ชอบ กับเห็นสิ่งที่น่ากลัว ตกใจ รังเกียจมากกว่านั้น แสดงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งความเป็นไปของธรรมที่จะต้องเป็นอย่างนี้
เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวได้ยิน บังคับบัญชาไม่ได้เลย เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น ตอนที่หลับไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ก็เป็นธรรม ต้องมีธาตุรู้ ตราบใดที่ยังไม่จากโลกนี้ไป เป็นธาตุรู้ซึ่งต่างกับขณะที่เห็นเกิดขึ้นเห็น เพราะขณะหลับเป็นธาตุรู้ซึ่งไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในขณะที่หลับก็ไม่ได้คิดอะไรเลย หลับสนิท เพราะฉะนั้น โลกนี้ปรากฏไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
