ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180


    ตอนที่ ๑๑๘๐

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ คุณค่าของพระธรรมไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์แล้วสามารถที่จะเริ่มรู้ แค่นี้ก็เบิกบาน ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญารู้ว่าถึงน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ได้รู้ เหมือนอย่างคนในยุคสมัยของสุเมธดาบส เมื่อได้รับคำพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เขาปลาบปลื้มร่าเริงยินดีว่า ไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้าทีปังกรเท่านั้น ยังมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆ ไปที่ได้บำเพ็ญบารมี ซึ่งเขาสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำ เพราะว่าคงจะไม่มีใครทั่วไปทั้งหมดที่ปราถนาจะเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าผู้ที่เป็นสาวกฟังดูก็รู้ว่าจะเป็นแค่ไหน แค่ฟังเเล้วกว่าปัญญาจะเกิดอย่างมั่นคงอย่างบริบูรณ์ ในคำว่าธรรมคำเดียว

    เพราะฉะนั้น ฟังไปแต่ละคำก็ยิ่งเข้าใจขึ้นๆ มั่นคงก็คือโดยไม่หวังว่าเราจะรู้มากกว่านี้ หรือว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรืออะไร เเต่ต้องเป็นไปตามเหตุตามผล ซึ่งถ้าเราฟังไม่มากและไตร่ตรองไม่มาก แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร

    ดังนั้น จะไม่มีความคิดเลื่อนลอย ฟังนิดหน่อยเเล้วก็อยากจะไปปฏิบัติ หรือว่าจะไปเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน คิดอย่างนี้ได้อย่างไร แสดงว่าไม่มีใครบอกให้รู้ความจริงเลยว่า กิเลสนั้นมากแค่ไหน ประมาณไม่ได้เลย เฉพาะแค่วันนี้ ตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็ทั้งวันเลย แล้วกี่วันมาแล้วตั้งแต่เกิด และก่อนนั้นอีกในแสนโกฏิกัปป์

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มหาศาล ยิ่งกว่าจักรวาลกี่จักรวาลรวมกันก็แล้วแต่ ซึ่งไม่มีที่จะเก็บเพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้ ตอนเป็นธาตุรู้ทำให้เห็นว่ากิเลสสามารถที่จะเพิ่มเท่าไหร่ก็ได้ มีเท่าไหร่ก็ได้ในจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดสืบต่อกัน เพราะว่าจิตเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นหนึ่งขณะ รู้เฉพาะสิ่งที่จิตรู้ เช่น เห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ได้ยินไม่ได้เลย เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ ได้ยินก็เห็นไม่ได้ ได้ยินเสียงเกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับ

    นับถ้วนไหมว่าเฉพาะวันนี้เท่าไหร่แล้ว วันนี้ยังนับไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังนับไม่ได้เลย มากมายจนเป็นคน เป็นสิ่งต่างๆ แต่ถ้าแยกออกไปทีละหนึ่งขณะแล้ว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่ว่าลักษณะนั้นก็เป็นสิ่งนั้นซึ่งไม่เปลี่ยน

    ธาตุรู้ไม่มีรูปร่าง ลองคิด เห็นแต่สิ่งที่จิตรู้หมดเลย ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเห็นนั่นเห็นนี่ คิดนั่นคิดนี่ ได้ยินนั่นได้ยินนี่ แต่หารู้ไม่ว่าไม่มีเรา แต่เป็นจิตและเจตสิกเกิดดับสืบต่อ ทำกิจการงานตลอดเวลา จริงไหม ถ้าจริง ปัญญาก็ต้องรู้จริงอย่างนี้

    ถ้าเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง จะคลาดเคลื่อนจากความจริงได้อย่างไรว่าไม่มีเราจริงๆ แต่มีธรรมคือจิต เจตสิก รูป แต่ละหนึ่งๆ ละเอียดมากซึ่งทรงแสดงไว้ จนกระทั่งไม่มีเราที่คิดว่าจะรู้จิตเดี๋ยวนี้ อย่างเช่น เห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ยังแยกไม่ออกเลยจากสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่คน หรือไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ เพราะว่าเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ปรากฏเมื่อจิตเห็นแล้วดับไป เร็วปานนั้น

    นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ และความเป็นตัวตนที่มีมานาน เพราะฉะนั้น คนอื่นที่ปัญญาจะรู้ตามก็ต้องเหมือนกัน เพราะเหตุว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ตามคืออะไร คือฟังคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระมหากรุณาว่า ถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมใครจะรู้ความจริงนี้ได้ ไม่มีเลย ปิดสนิทมานานแสนนาน

    ดังนั้น คนที่ฟังธรรมเข้าใจในครั้งนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ก็พูดว่า เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิด ซึ่งเวลานี้ถูกปิด ค่อยๆ เปิดด้วยการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น บอกทางแก่คนหลง เราหลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เคยหลงไหม ตกใจแน่ๆ เลยตอนหลง จะไปทางไหนดี ทางซ้ายหรือทางขวา ยิ่งไปยิ่งหลงก็มี ใช่ไหม แต่พระองค์ตรัสบอกทางกับคนที่หลง หลงในสังสารวัฏฏ์ ออกไม่ได้แน่ๆ เลย แล้วเหมือนจุดประทีปในที่มืด แสดงว่าเราตาบอด ไม่เห็นอะไรตามความเป็นจริงเลยมานานเท่าไหร่ ในบางแห่งอุปมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ที่รักษาคนตาบอดให้เห็นได้

    ดังนั้น เราก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีทางที่จะรู้ตั้งแต่เกิดจนตายถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีคนอีกมากมายเท่าไหร่ที่ไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ร่าเริง ไม่ใช่ว่ารู้แค่นี้ แล้วคิดว่าเมื่อไหร่จะเป็นพระโสดาบัน นั่นคือตัวตนและความไม่เข้าใจว่ากิเลสมาก ไม่ใช่เราจะไปละกิเลส แต่ความเข้าใจจริงๆ ใช้คำว่าความเข้าใจจริงๆ เพราะธรรมไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือ แต่ว่าคือเดี๋ยวนี้

    ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎก ซึ่งมีข้อความที่พูดถึงเห็นก็ต้องกำลังเห็น จะไปพูดถึงเห็นตอนไหน ก็ต้องตอนที่เห็น พูดถึงได้ยินก็ต้องตอนได้ยิน เพราะฉะนั้น ผู้ที่อ่านพระไตรปิฎกด้วยความเข้าใจก็รู้ว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น โดยความรู้ที่สะสมมาก็หลากหลายมาก จึงสามารถที่จะมีความเข้าใจต่างกัน

    ด้วยเหตุนี้ บางคนได้ฟังพระธรรม รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี ไม่เป็นพระโสดาบัน ไม่เป็นไร แต่เริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง และหนึ่งนั้นไม่กลับมาอีกด้วย คิดดูว่ากว่าจะค่อยๆ น้อมไปว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปศึกษาจากพระไตรปิฎก มุ่งมั่นที่จะรู้ตรงนี้เพื่อที่จะปฏิบัติตรงนี้ เพื่อจะให้รู้แจ้งตรงนี้ ไม่ใช่เลย แต่ชีวิตประจำวันนี่เองคือพระไตรปิฎก ที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ว่าจะเข้าใจธรรมก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ว่าเมื่อใดยามใดที่ได้ฟังแล้วสะสมจะสามารถระลึกได้ อาจจะโดยคิดถึงเป็นคำๆ หรือว่ากำลังรู้ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ตามลำดับขั้น

    จนกระทั่งละความไม่รู้ และสภาพธรรมจึงปรากฏ ที่ใช้คำว่าวิปัสสนา ทำให้รู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า คำของพระองค์ไม่ใช่คำที่ว่างเปล่า แต่ทุกคำนำไปสู่การที่จะถึงที่สุด โดยสภาพธรรมปรากฏให้รู้ความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะดับความเห็นผิด ที่มีมานานเท่าไหร่ไม่ต้องคิดเลย รู้เเต่ว่านานแสนนานนั้นไม่เหลือเลย ไม่มีความเห็นผิดต่อไป แต่ยังมีกิเลสที่จะต้องดับต่อไป

    เดี๋ยวเราก็จะได้ไปเฝ้า ได้ไปกราบนมัสการ ในโอกาสที่เรามีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจคำ ได้รู้ว่าณ ที่นี้ ที่พระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ตรงนี้เท่านั้น แต่จาก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เพราะเหตุว่ากัปป์นี้เป็นภัทรกัปป์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์

    ดังนั้น ก่อนที่จะถึงพระองค์นี้ซึ่งเป็นองค์ที่ ๔ พระโพธิสัตว์ก็วนเวียนอยู่ เกิดแล้วก็สะสมฟังธรรมไป จนกระทั่งได้ตรัสรู้ความจริงตรงนั้น ซึ่งตรงนั้นคือที่มาของการที่ได้แสวงหาความจริง สะสมมานานมากจนได้รับคำพยากรณ์ จึงได้สามารถถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน ๔ อสงไขยแสนกัปป์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์

    โดยที่ก่อนนั้นก็มีปัญญาแล้ว เเต่เป็นพระมหากรุณาที่รู้ว่าถ้าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ คนอื่นก็ไม่มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมากกว่านั้นอีก ประกอบด้วยพระบารมี และพระญาณต่างๆ พระทศพลญาณ เป็นต้น เหนือบุคคลใดที่ประมาณไม่ได้เลย จึงมีคำที่กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเท่านั้น ที่จะสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ คนที่มีปัญญาน้อยไม่มีทางจะสรรเสริญได้ รู้แค่ไหนก็เห็นคุณแค่นั้น

    เพราะฉะนั้น คุณมากมายมหาศาลเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ได้บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน เพื่อให้เราได้ฟังแต่ละคำ ซึ่งจะเป็นการสะสมความรู้ความเข้าใจต่อไป ที่วันหนึ่งสภาพธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริงตามที่ได้ฟัง แต่ต้องด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ชัดเจน เห็นไม่ใช่ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้ ขณะเห็นต้องไม่มีได้ยิน ขณะได้ยินต้องไม่มีเห็น แต่เดี๋ยวนี้พร้อมกันหมดเลย ก็แสดงว่ายังห่างไกลต่อการที่จะรู้ความจริง จึงไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

    ดังนั้น การที่เราฟังธรรมและมีความเข้าใจ เเล้วได้ไปกราบนมัสการ จะต่างกับการที่เรายังไม่ได้เข้าใจพอ ซึ่งการที่จะระลึกถึงพระคุณก็น้อย เเต่เมื่อเข้าใจเราก็จะระลึกถึงพระคุณที่ว่า ถ้าไม่มีการไดัฟังคำจะไม่รู้จักคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้นเอง แล้วก็ร่าเริงว่าเข้าใจแค่ไหนก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย จะไปอยากได้อะไรมากๆ นั่นคือโลภะ ได้มาด้วยความเป็นเราก็ผิด มีแต่ทางผิดด้วยความเป็นตัวตน และด้วยกิเลสที่สะสมมา

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อละกิเลส และกิเลสจะละไปได้ก็เพราะเข้าใจ ไม่ลืมว่าฟังเพื่อเข้าใจ อาจหาญร่าเริง โลภะใครห้ามได้ ปัญญาแค่ไหนจะไปห้ามโลภะ แต่ปัญญารู้จักโลภะจึงละโลภะได้

    ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด เพราะไม่ว่าโลภะมหาศาลเท่าไหร่ก็ตามแต่ ปัญญาดับได้ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าโลภะก็เกิดติดข้อง หน้าที่ของโลภะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ไม่สละ เเต่ติดข้องเพิ่มพูนเหนียวแน่นหนาแน่น ซึ่งปัญญาสามารถจะเห็นว่าก็แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ โลภะมีกำลังตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงมีกำลังมาก แต่ปัญญาก็ดับได้ แต่ต้องเข้าใจ อยู่ดีๆ ไม่เข้าใจแล้วจะไปหาวิธีอื่นก็ไม่มีทาง

    ก่อนอื่น เข้าใจว่าเรามีโอกาสได้ฟังพระธรรมเเละได้เข้าใจ นี่คือเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าอยากจะรู้นั่นอยากจะรู้นี่ ก็เป็นเรา และอยากรู้ไปทำไม ลึกลงไปก็คือเป็นเรา แต่เข้าใจแต่ละคำว่าคือธรรมทั้งนั้นเลย แค่ธรรมทั้งนั้น ธรรมทั้งหลาย เราจะเลือกไหม

    ถ้าเป็นปัญญาไม่เลือกแน่นอน แล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิดเมื่อไหร่ เพราะว่าการเกิดขึ้นของปัญญามีหลายขั้น ขั้นคิดจากที่ได้ฟัง จนกระทั่งไม่ต้องคิดก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ตามลำดับขั้น จึงมีสุตมยปัญญา ภาษาบาลี ปัญญาสำเร็จจากการฟัง หมายความว่า ฟังไม่ใช่ได้ยิน ต้องไตร่ตรอง แต่ว่าบังคับไม่ได้ บางคนกิเลสก็พาไป อ่านใหญ่เลย ฟังใหญ่เลย ไตร่ตรองใหญ่เลย เพราะอยากรู้ อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น กิเลสมีเล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีมากมายมหาศาล แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งตัณหาทาโส คำนี้เป็นภาษาบาลี คือทุกคนเป็นทาสของตัณหา เป็นทาสที่ยินยอม ยอมเป็นทาสไปเรื่อยๆ ใครอยากหมดบ้าง เห็นไหมว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี เเต่ใครอยากหมดบ้าง ยังยอมเป็นทาสต่อไปอีก นี่คืออิทธิพลของโลภะ เพราะว่าเขาตามใจทุกอย่าง อยากจะสงบก็ทำฌาณแล้วไปเกิดในรูปพรหม รูปพรหมยังใกล้ชิดต่อรูป เสียง กลิ่น รส ก็ไปเป็นความสงบที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เป็นอรูปฌาณ ทำให้เกิดเป็นอรูปพรหม แต่ไม่พ้นจากโลภะ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

    ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ก็ถูกล่อลวงไปด้วยโลภะประการต่างๆ เพราะฉะนั้นเป็นปกติ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วแต่ว่าปัญญาจะเข้าใจธรรมไหน ซึ่งเลือกไม่ได้เลย แสดงความเข้าใจในความเป็นอนัตตา บางคนก็คิดเสียดายเวลาอย่างนั้นอย่างนี้ เสียดายก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราก็ไม่รู้ จึงเป็นตัวตนไปตลอดเลย

    ในบรรดาอกุศลทั้งหมด สิ่งที่จะดับก่อนกิเลสอื่นทั้งหมดคือความเห็นผิด ความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา ซึ่งยากที่สุดเพราะเป็นเรามานาน แต่อาศัยพระธรรม และความเป็นผู้มีปกติรู้ทันโลภะ เพราะว่าเข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจก็ไม่ใช่ปัญญา แล้วตัวเราซึ่งมีความเห็นผิดว่าเป็นเราจะไปดับโลภะได้อย่างไร ก็ต้องเป็นความเข้าใจเท่านั้นที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะไปทำอย่างไรได้ ถ้าทีละเล็กทีละน้อยก็ทีละเล็กทีละน้อย และถ้าไม่ใช่ทีละเล็กทีละน้อย จะมีมากๆ ได้ไหม จะได้มาทีละก้อนโตๆ ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เลย ต้องทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ด้วยความมั่นคง

    เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมรู้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตนะ เลิศที่สุดในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย พระธรรมที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คุณความดีต่างๆ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นธรรมรัตนะในบรรดาธรรมทั้งหมด สังฆะรัตนะ ไม่ใช่ภิกษุที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต พระภิกษุ สามเณร วัยไหนอย่างไรก็ตามเเต่ ต้องปัญญาที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นสังฆรัตนะ เพราะสังฆะ หมายความถึงหมู่

    คนไทยชอบเรียกภิกษุสงฆ์ ทั้งๆ ที่คนเดียว คนเดียวเป็นสงฆ์ไม่ได้ เพราะว่าสงฆ์ต้องเป็นคณะหรือหมู่ ต้องหลายๆ คนรวมกัน เพราะฉะนั้น หมู่มด หมู่งู หมู่อะไรก็ได้ทั้งหมด เพราะเป็นคำในภาษาบาลีที่ใช้รวมกัน ดังนั้นจะใช้คำว่าภิกษุ ภิกขุ สังฆะ ก็หมายความถึงหมู่ของพระภิกษุ ถ้าภิกษุแต่ละหนึ่งรูปก็เป็นภิกษุบุคคล จะดีจะชั่วอย่างไรก็เฉพาะรูปนั้น บุคคลนั้นเท่านั้น ไม่ใช่คนอื่น แต่พระสงฆ์ไม่มีทางที่จะไม่ดี สังฆะคือหมู่ของภิกษุ ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

    ธรรมยากไหม กำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งกว่านี้อีกมาก เมื่อเข้าใจขึ้นยิ่งเห็นว่ายาก เพราะปัญญารู้ความลึกความซึ้งขึ้น จึงสามารถที่จะละสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะปัญญาสามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถ้าเป็นปัญญาเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้ไหม ต้องได้ แต่ไม่ใช่ปัญญาขั้นต้น ต้องเป็นปัญญาที่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น ปัญญารู้ถูกต้อง หรือว่าปัญญาสงสัย ปัญญาไม่มีทางสงสัยเลย สงสัยมีจริงไหม มีจริง เป็นธรรมไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดเกิดขึ้น ไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ เป็นธรรมทั้งหมด แต่จำเป็นต้องใช้ชื่อเพราะความหลากหลาย แต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

    ถ้าไม่ลืมคำว่าธรรมไม่ว่าขณะไหน นั่นคือธรรมที่กำลังปรากฏ แต่กว่าจะระลึกอย่างนี้ได้ก็ต้องฟังแล้วเข้าใจขึ้น เพราะว่าเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ใช่เป็นเราที่พยายามจะไปทำหน้าที่ คิดว่าทำได้ แท้จริงก็คือความเห็นผิดที่เป็นเรา แต่ถ้าเป็นปัญญา ความเข้าใจจะเข้าใจอะไรเมื่อไหร่ แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน

    เพราะฉะนั้น หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดทางตั้งแต่เริ่ม คือ อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าเป็นเราเมื่อไหร่ก็รู้เลยว่าผิดแล้ว ซึ่งปัญญานั่นเองรู้ ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าผิดและก็ทำผิดต่อไป ซึ่งประโยชน์อยู่ที่ผู้ที่ฟังและไตร่ตรอง

    อ.ธีรพันธ์ เพราะว่าการที่จะรู้สภาพธรรมแม้เข้าใจแล้วว่ามีในขณะนี้ แต่ว่าปัญญายังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจ ก็ต้องอาศัยการฟัง การไตร่ตรอง ซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะถ้าบอกให้เป็นไปในขณะนี้ ก็จะกลายเป็นการจดจ้องต้องการ หรือว่าอยากจะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นแม้ขั้นการฟังก็จะไปทำ ไปสร้าง ไปคิดว่าจะต้องมีวิธีอะไรประการใดประการหนึ่งที่จะให้รู้ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะว่าฟังแล้วก็อยากจะรู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ารู้ไม่ได้ด้วยความอยาก จะอยากต่อไหม อยากสักเท่าไรก็ไม่รู้ ยังจะอยากอีกไหม

    อ.ธีรพันธ์ ก็ไม่อยู่ในอำนาจที่จะรู้ได้ด้วยความอยาก

    ท่านอาจารย์ แต่ห้ามอยากไม่ได้ แต่ปัญญาสามารถเข้าใจ อยากมีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏความอยาก ให้รู้ว่านั่นคืออยาก ไม่สับสน อยากก็คืออยาก อยากเกิดและอยากก็ดับ

    อ.ธีรพันธ์ ต้องเป็นการฟังจริงๆ ที่จะค่อยๆ กระเทาะความไม่รู้ที่หนาแน่นทับถมมามาก ยังไม่เป็นผู้ที่ตื่นเลย ยังเป็นผู้ที่หลับ ฟังแล้วก็ยังเหมือนกับจะตื่น ตื่นๆ หลับๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าตื่นก็ต้องตื่นจากความไม่รู้ แต่ว่าตื่นแม้ขั้นการฟังนี้ก็ยังยาก ฟังแล้วจำคำถาม หรือใคร่ครวญคำของผู้ถาม แล้วก็คิดไปเรื่องอื่นอีก ซึ่งเป็นความยากของพระธรรม แม้ได้ยินได้ฟังแล้วแทนที่จะเข้าใจก็ไปถึงเรื่องอื่น นี่คือความลึกซึ้งของพระธรรม

    ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ว่าคิดก็เป็นธรรม เพราะว่าทุกอย่างยากหมดเลย โดยที่ไม่เลือกและไม่เจาะจงด้วยว่าอะไร กำลังคิดหรือเปล่า ถ้าถามถึงได้ตอบว่ากำลังคิด แต่ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ว่าคิดตลอดเวลา ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน หนึ่งขณะๆ เท่านั้นที่ไม่ใช่คิด ซึ่งถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเเล้วใครจะรู้ว่า จิตที่เกิดขึ้นเห็นหนึ่งขณะทำทัสสนกิจ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ ไม่มีเราทำอะไร

    เราคิดว่าเราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งหมดก็คือจิต เจตสิก แต่ละหนึ่ง แยกกันละเอียดมาก จิตไม่ใช่เจตสิกเลย แต่เป็นใหญ่เป็นประธานเฉพาะในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างเช่น เห็นคือจิตเห็น แล้วก็มีจิตที่เกิดดับสืบต่อแต่ไม่ปรากฏเลย จิตก่อนเห็นก็ไม่ปรากฏ หลังจากที่เห็นดับ หนึ่งขณะที่เห็นดับ จิตต่อไปก็ไม่ปรากฏ เพราะความรวดเร็วนับประมาณไม่ได้ แม้แต่คิดเกิดยังไม่รู้เลยว่าคิด

    ถ้าไม่คิดไม่รู้หรอกว่าใครอยู่ตรงนี้ อะไรอยู่ตรงนี้ เพราะมีรูปร่างสัณฐานต่างกัน เพียงแค่เห็นแล้วก็คิดถึงรูปร่างสัณฐาน ทำให้แยกเป็นแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น จะไปรู้ จะเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ ไม่ต้องคำนึงถึงเลย เพราะต้องเข้าใจ ต้องรู้จริงๆ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ เเล้วจะไปคิดเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร เพราะไม่รู้จักพระโสดาบัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    15 ต.ค. 2568