ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
ตอนที่ ๑๑๙๓
สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร
วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงยากที่จะรู้ได้ มีท่านที่ตอบว่า ขณะนี้เสียงมีจริง ทำไมถึงรู้ได้ว่าเสียงมีจริง
ผู้ฟัง เพราะว่าประสาทสัมผัสทางหูได้รับสัมผัสเสียง
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีหูก็ไม่ได้ยิน ใช่ไหม แต่ได้ยินไม่ใช่หู ใช่ไหม
ผู้ฟัง ได้ยินไม่ใช่หู
ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าหูไม่สามารถที่จะได้ยินได้ แต่ถ้าไม่มีหูก็ไม่มีได้ยิน เพราะฉะนั้น หูเป็นเรา หรือว่าหูเป็นหู
ผู้ฟัง หูเป็นหู
ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นเรา หรือว่า ได้ยินเป็นได้ยิน
ผู้ฟัง ได้ยินเป็นได้ยิน
ท่านอาจารย์ นี่แสดงว่ารู้จักธรรมซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็ลืม แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจจริงๆ นี่เป็นความชัดเจนขึ้นว่า แม้เพียงเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ต้องไม่ลืม "แม้เพียงเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม" แล้วก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
เสียงเป็นเสียง หูเป็นหู ได้ยินเป็นได้ยิน ทุกอย่างทั้งหมดไม่ใช่แค่เฉพาะได้ยิน คิดเป็นคิด จำเป็นจำ ชอบเป็นชอบ ไม่ชอบเป็นไม่ชอบ แต่ละหนึ่งเฉพาะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เสียงจะเป็นหูไม่ได้ ได้ยินจะเป็นเสียงไม่ได้ หูเป็นเสียงไม่ได้ หูได้ยินไม่ได้ เดี๋ยวนี้มีใครนั่งอยู่ที่นี่บ้างไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังคำว่า ธรรมคืออะไร จะตอบว่ามีท่านสมาชิกนั่งกันอยู่เต็มห้อง แต่ถ้าฟังธรรมแล้วก็กระจัดกระจายไปหมด เพราะว่าธรรมคือแต่ละหนึ่งจริงๆ แต่ละหนึ่งจนกระทั่งไม่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นโต๊ะ เป็นสิ่งของอะไรเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จากการที่ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" ดับไปคือไม่นานเลย เพียงแค่ทันทีที่เกิดก็ดับ
ใครจะค้านคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ไม่มีเรา เมื่อครู่นี้ก็ตอบกันว่า หูเป็นหู เสียงเป็นเสียง คิดเป็นคิด จำเป็นจำ แล้วจะมีเราที่ไหน แล้วถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่เกิดขึ้นก็ไม่มีอะไรเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกก็ไม่มี แต่ละท่านหรือแต่ละสิ่งที่ปรากฏเหมือนกับว่าไม่ได้ดับไปเลย ก็ไม่มี นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเพราะเหตุว่า นานแสนนานมาแล้วไม่มีใครที่จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิด เกิดแล้วดับไปเลย แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที จนกระทั่งไม่ปรากฏการดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และต้องไม่ลืมว่านี่คือการตรัสรู้ความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งใช้คำว่า อริยสัจจธรรม คนอื่นสามารถที่จะรู้ตามอย่างนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง รู้ตามพระองค์หมายถึงว่า ในครั้งที่ท่านทรงตรัสรู้ที่จะมาสั่งสอน
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงต้องเป็นความจริง แต่ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจธรรมจะรู้ได้ ต้องเป็นคนที่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งมีผู้ที่เป็นสังฆรัตนะ เพราะรู้จักธรรมรัตนะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตนะ
ในครั้งอดีตมีผู้ที่บรรลุคุณธรรมคือ รู้แจ้งสภาพธรรมด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละความติดข้อง ละความไม่รู้ ซึ่งปิดบังสิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอริยสงฆ์ ไม่ใช่พระภิกขุซึ่งไม่ได้รู้อริยสัจจธรรม ในครั้งนั้นก็มีหลายท่านมาก ซึ่งมีทั้งคฤหัสถ์คือชาวบ้าน และบรรพชิตคือผู้ที่เป็นภิกษุ
ดังนั้น ในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่พระองค์มีพระพุทธประสงค์ที่จะไม่ให้สตรีบวช เพราะเหตุว่าจะทำให้พระศาสนาตั้งมั่นอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ดังนั้น ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับภิกษุณีอย่างเคร่งครัดมากในเรื่องของการบวช จนกระทั่งค่อยๆ สูญสิ้นไปตามพระพุทธประสงค์
เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ใช่ด้วยการบวช แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็สามารถที่จะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาลจึงมีทั้งผู้ที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลเป็นสังฆรัตนะ สังฆรัตนะ หมายเฉพาะผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
แสดงให้เห็นว่าถ้ามีการฟังเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งตรงกับที่ได้ฟังคำแรกว่า "ไม่มีเรา" เข้าใจเป็นปัญญา เป็นความเห็นถูก ไม่เข้าใจเป็นอวิชชาคือโมหะ สภาพธรรมต่างๆ มีให้พิสูจน์เพื่อให้รู้ได้ แม้เดี๋ยวนี้ฟังแล้วก็เข้าใจ แต่เป็นความเข้าใจระดับที่ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง
ด้วยเหตุนี้จึงใช้คำว่า ปริยัติ หมายความว่าความรอบรู้ คือเข้าใจอย่างมั่นคงในสิ่งที่ได้ฟัง เช่น เดี๋ยวนี้มีความเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ชอบมีจริงเป็นธรรมหนึ่ง ไม่ชอบก็มีจริง เป็นธรรมหนึ่ง คุณคำปั่นจะยกตัวอย่างคำอื่นอีกไหม
อ.คำปั่น ถ้าเป็นธรรมอื่นๆ อีกที่จะเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเป็นจริง ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ขณะที่ไม่รู้ความจริงก็เป็นธรรมที่มีจริงๆ ขณะที่ตระหนี่ คือหวงแหน ไม่อยากให้สมบัติของตนเองทั่วไปแก่บุคคลอื่น ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่เรียกว่า ความตระหนี่ ก็คงจะรู้จักกัน
ความริษยา ธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือเวลาที่เห็นคนอื่นได้ดีมีความสุขแล้วทนไม่ได้ นี่คือลักษณะของสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง และความจริงหรือสิ่งที่มีจริงที่ประเสริฐที่มีค่า ที่สามารถเริ่มสะสมอบรมได้ก็คือปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก อย่างเช่นในขณะนี้ กำลังเริ่มที่จะสะสมสิ่งมีค่าที่ประเสริฐคือปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยใช่ไหม ที่ตัวมีทุกอย่างที่เป็นธรรม นอกตัวก็มีทุกอย่างก็เป็นธรรม ดังนั้นเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงแล้ว จึงไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพียงแต่ว่าการเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม ไม่พอที่จะละความติดข้อง ความจำว่ามีเรา มีตัวตน มีบุคคลต่างๆ
ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้น ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงว่า ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดดับ ความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นสามารถประจักษ์แจ้งได้ ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ที่รู้ตามพระองค์ ซึ่งใช้คำว่าพระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ได้รู้ความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
เพราะฉะนั้น สิ่งนี้มีแน่ จริงแน่ รู้ได้แน่ แต่ไม่ใช่ด้วยเรา หรือตัวตนที่พยายามจะไปรู้ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏมีลักษณะเป็นสิ่งนั้น ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แข็ง ใครเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เปลี่ยนแข็งให้เป็นหวานได้ไหม ไม่มีทาง สภาพที่กำลังรู้แข็งมีจริงๆ เช่น ขณะนี้ แข็งปรากฏกับสภาพที่รู้แข็งเท่านั้น ไม่ได้ปรากฏกับคนชื่อนั้นชื่อนี้หรือใครเลยทั้งสิ้น แต่ปรากฏกับสภาพที่รู้แข็ง
ดังนั้นแม้สภาพรู้มี เเต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้น เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดรู้แล้วก็ดับไป จึงต้องฟังแต่ละคำให้ละเอียด ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปรู้เร็วๆ รู้มากๆ แล้วก็สงสัย แต่เพียงฟังอย่างนี้เเละรู้ว่าต้องอบรมความรู้ความเข้าใจเพิ่มอีกมากเท่าไหร่ เพราะเหตุว่าแข็งขณะนี้ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ เห็นก็ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ แต่ลองไตร่ตรอง เห็นไม่ใช่ได้ยิน จะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น ได้ยินจะเห็นด้วยไม่ได้
เห็นเป็นเห็นเท่านั้น ได้ยินก็เป็นได้ยินเท่านั้น เป็นอื่นไม่ได้เลย แล้วเดี๋ยวนี้ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน เเต่ไม่รู้การเกิดดับสลับกันของทางตาและทางหูเลย ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ผู้นั้นไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา ซึ่งความจริงแล้วทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ
ก่อนอื่นก็รู้ความจริงแล้วใช่ไหมว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต้องเกิดขึ้น ไม่เกิดไม่มี ทุกอย่างไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่ปรากฏ ความจริงต้องค่อยๆ เป็นจริงไปตามลำดับขั้นที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดเลยก็ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกทั้งหมดโลกก็ไม่มี เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั่นคือ โลก ภาษาบาลีคือโลกะ หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับ สิ่งใดที่ไม่เกิดดับเป็นโลกุตตระ เหนือโลก
เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ มั่นคงไม่เปลี่ยน คือรู้แน่ว่าเป็นคำจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เเละมีโอกาสที่จะได้ฟังคำซึ่งคิดเองไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันก็รู้ได้ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ระดับไหน ระดับที่ว่าแม้เห็นเกิดและดับก่อนได้ยิน และเวลาที่ได้ยินดับ สิ่งอื่นจึงจะสามารถเกิดได้
เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็เห็นความไม่รู้ของตนเอง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า อวิชชา มากมายสักแค่ไหน ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับทุกอย่างเลย ดีใจ เสียใจ จำ คิด ชอบ ไม่ชอบ ทุกอย่างแต่ละหนึ่ง แต่ว่าไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่คือความไม่รู้ของเราใช่ไหม ความไม่รู้มากไหม
วันนี้ยังมากแค่นี้ เเล้วในสังสารวัฏฏ์จะมากแค่ไหน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครคิดจะไปทำอะไรเพื่อละคลายกิเลส และประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม โดยไม่ค่อยๆ เข้าใจว่านี่เพียงแค่ขั้นฟัง ซึ่งปัญญาจะต้องมีอีกมากและต้องเป็นความรู้จริงๆ
เมื่อใช้คำว่าปัญญา หมายถึงความเข้าใจถูก ความเห็นถูก แค่ฟังคำว่าธรรมคำเดียวนี่คือระดับไหน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง เพราะรู้ว่ากิเลสที่มีมากนั้น ใครอย่าได้คิดที่จะหาหนทางอื่น ซึ่งไม่ใช่การฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ที่จะละคลายความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งในขั้นนี้ยังเป็นเพียงแค่ขั้นฟัง
ดังนั้น ความลึกซึ้งของปัญญาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกระดับไหน เมื่อใช้คำว่าปริยัติ ฟังคำซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ พระพุทธวจน คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสไว้ดีแล้ว แต่ละคำต้องเข้าใจทุกคำที่จะต้องสอดคล้องกันทั้งหมด มิฉะนั้นแล้วก็ผิด
ทุกคำต้องเป็นสิ่งซึ่งมีค่า เพราะเหตุว่าใครก็ไม่สามารถจะคิดได้ด้วยตัวเอง จะมีอายุยืนยาวนานสักเท่าไหร่ เเม้ว่าจะถึงร้อยปีก็คิดเองไม่ได้ แต่ถ้าเพียงฟังคำของพระองค์แล้วเริ่มเข้าใจขึ้นหนึ่งคำ สองคำ สามคำ ต่อๆ ไปความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดแล้วไม่ดับไปอย่างเร็วที่สุด และสิ่งที่ดับไปแล้วนั้นไม่กลับมาอีกเลย จริงหรือไม่ เสียงเมื่อครู่นี้ไปไหน ไฟดับแล้ว ไฟไปไหน
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดนี้คือ หนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่โกรธจัด หนึ่งในสังสารวัฏฏ์ โกรธอีกไม่ใช่โกรธเก่า ระดับความโกรธก็ไม่เท่ากัน แค่ความขุ่นใจกับความไม่ชอบใจ จนถึงกับอาฆาตพยาบาท แต่ละหนึ่งเกิดเองไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ดังนั้น เพียงเเค่ ๗วัน ๑๐วัน ๑๕วัน จะไปละกิเลสได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ มีความมั่นคงจริงๆ ใช้คำว่า สัจจญาณ เป็นปัญญาที่มั่นคงในความจริงไม่เปลี่ยนแปลงว่า เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ ธรรมทุกอย่างที่กำลังปรากฏเกิดแล้วดับ และสามารถประจักษ์แจ้งได้ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาเพียงขั้นฟัง แต่ถ้ามีปัญญาขั้นฟังที่มั่นคง ที่ไหนก็รู้ความจริงได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดตรงนั้น ดับตรงนั้น
เพราะฉะนั้น จะต้องไปที่ไหน หรือจะต้องไปทำอะไรก็คือผิดแล้ว เพราะไม่ตรงตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ดังนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่เคารพอย่างยิ่งในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นก็หลงทาง ผิดง่ายมาก ไม่ยากเลย เหมือนอย่างพระสูตรที่ได้ทรงแสดงไว้ แม้ว่าจะเป็นภิกษุมีความเชี่ยวชาญในเรื่องภาษา แสดงธรรมเเละได้ลาภยศสักการะด้วย แต่หลงผิด เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อเตือนว่า ถ้าขณะใดก็ตามไม่ใช่สิ่งที่เป็นปกติเดี๋ยวนี้ จะไม่สามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ เพราะเหตุว่าจะรู้สิ่งที่ยังไม่เกิดได้อย่างไร สิ่งเมื่อครู่นี้ก็หมดสิ้นไปแล้ว
ดังนั้น สิ่งนี้เท่านั้นที่กำลังปรากฏแม้เกิดดับสืบต่อกัน ความจริงของการที่สภาพธรรมหนึ่งเกิดแล้วดับไป ความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้นตามลำดับก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ แต่ก็ยังไม่ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ต้องเป็นปัญญาระดับไหน ซึ่งทั้งหมดก็ต้องเป็นความเห็นถูกต้อง ที่ต้องเริ่มจากความเข้าใจธรรม ดังนั้น แค่ขั้นฟังนั้นยังดับกิเลสไม่ได้
ผู้ฟัง ชัดเจนว่า แค่ขั้นการฟังไม่มีทางที่จะดับกิเลสอะไรได้เลย แต่การฟังนี้สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐาน ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้น เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์กล่าวถึงความไม่รู้ ขอเรียนให้ อ.คำปั่นกล่าวถึงคำๆ หนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เรื่องความไม่รู้ คือ อวิชชา เป็นภาษาบาลี ซึ่งน่าจะมีคำแปลที่ชัดเจนและละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น
อ.คำปั่น โดยความหมายตรงตัว คือความไม่รู้ เป็นธรรมที่ตรงข้ามกันกับปัญญา ความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น อวิชชา ความไม่รู้ความจริง คือไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ จึงเรียกว่า อวิชชา
โดยมีพยัญชนะมากมายที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมประเภทนี้ เช่น โมหะ ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ บางครั้งก็ทรงเปรียบเทียบว่า เหมือนกับลิ่มสลักที่หนาแน่นยากที่จะถอนออก เพราะว่าเป็นธรรมที่มีรากลึกมากเลยเพราะสะสมมานาน หรือบางครั้งก็ทรงแสดงว่า เปรียบเหมือนกับเป็นข่ายที่ครอบคลุม หรือว่าปกคลุมสัตว์โลกไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ เเละยังมีพยัญชนะอื่นๆ อีกมากที่แสดงถึงความเป็นจริงของอวิชชา คือความไม่รู้ความจริง เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ดี เป็นอกุศลธรรม
และท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต นี่คือความเป็นจริงของธรรมคือ อวิชชา เป็นธรรมที่มีจริงที่จะสามารถขัดเกลาละคลายได้ ด้วยธรรมที่ตรงข้ามกันคือปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
อ.จักรกฤษณ์ก็ได้กล่าวด้วยว่า ต้องได้ยินได้ฟังจึงจะมีปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งเป็นเหตุสำคัญก็คือ การได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่าเป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นจริงๆ ไปทำอย่างอื่นก็ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ แต่ต้องเห็นประโยชน์ที่จะฟัง ที่จะศึกษาในคำจริงแต่ละคำเท่านั้น จึงจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นเพื่อที่จะค่อยๆ ขัดเกลาอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ความจริงได้
ท่านแสดงอรรถของอวิชชาไว้ว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้ในทุกข์ คือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าไม่รู้ลอยๆ แต่ว่าไม่รู้อะไร ก็คือไม่รู้สิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง จึงเรียกว่า อวิชชา
ผู้ฟัง อวิชชา คือไม่รู้ตามความเป็นจริง ตอนนี้ที่เราคิดกันว่า เราก็รู้ เรารู้จักสิ่งนั้นสิ่งนี้ รู้จักทางมาที่สปอร์ตคลับ มาถูก เราก็มีความเข้าใจว่านี่คือความรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงแสดงว่า นั่นคือความไม่รู้และมีมากมายด้วย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีความไม่รู้เต็มที่เลย เพราะว่ายังไม่รู้ในสิ่งที่เป็นไปตามความเป็นจริง ตรงนี้เข้าใจยาก
ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งซึ่งต้องฟัง ละเอียด รอบคอบ ลึกซึ้ง ไตร่ตรอง รู้คืออะไร คุณจักรกฤษณ์พูดถึงรู้หลายอย่างมากเลย รู้ทางมาสปอร์ตคลับ รู้อะไรตั้งหลายอย่าง แต่ถามว่า รู้คืออะไร
ผู้ฟัง รู้ คือ เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ที่ไม่เข้าใจ เเต่รู้ มีไหม
ผู้ฟัง ที่ไม่เข้าใจ แต่รู้ คือเเค่จำมา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราใช้คำซึ่งเราไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย แน่นอนที่สุด อย่างบอกว่าเรารู้ แน่ใจหรือว่ารู้ เพราะรู้คืออะไร รู้ไม่ใช่เรา ต้องคิดต้องไตร่ตรอง โต๊ะไม่รู้อะไรเลย ปากกาไม่รู้ ใครหยิบใครจับก็ไม่รู้ เสียง ใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน เสียงก็ไม่รู้อะไร ดังนั้น รู้ แค่รู้คำเดียว ยังไม่ต้องถึงปัญญาหรืออะไรเลยทั้งสิ้น รู้คืออะไร เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็มี
ท่านอาจารย์ แล้วรู้คืออะไร
ผู้ฟัง อธิบายยากเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่คำแรก รู้ คือสิ่งที่มีจริง เห็นไหมว่าต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา ความไม่รู้มีมากมาย ทำให้เกิดความติดข้องหลงผิดตลอดในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้วันเดียว ขณะนี้ทุกคนคิดไม่เหมือนกันเลย เพราะเหตุที่จะให้เกิดคิดต่างกัน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
