ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186


    ตอนที่ ๑๑๘๖

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งเราพบเองไม่ได้ นอกจากผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีทุกประการ ตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงธรรมให้เราได้เข้าใจในฐานะสาวกคือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ฟัง เป็นอุปนิสัย เป็นอุปนิสสยโคจร ไม่ต้องจำภาษาบาลี แต่พูดซ้ำๆ อีกหน่อยจะจำได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ให้เข้าใจว่า ๓ ขั้น เเละเห็นประโยชน์จากการที่เราไม่เคยได้ฟังแล้วได้ฟัง จนกระทั่งเป็นอุปนิสัย เป็นที่กำบังไม่ให้เกิดอกุศล

    ใครอยากจะพ้นอกุศลก็ฟังพระธรรม ถ้าไม่ฟังพระธรรมก็อกุศลแน่เพราะไม่รู้มากแค่ไหน จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ควรรู้คือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา จนกว่าสภาพที่ไม่ใช่เราปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นจริงตามลำดับขั้น งามในเบื้องต้นที่ได้ฟัง จริงเป็นเหตุเป็นผล ไม่มีทางใครที่จะค้านได้เลยไม่ว่าคำใดๆ ทั้งสิ้น งามในท่ามกลาง สามารถรู้จริงได้ว่าสิ่งนี้มีจริงกำลังปรากฏ จากที่ไม่เคยที่จะเข้าใจเพราะไปเข้าใจอย่างอื่นหมด แต่ไม่เข้าใจเห็น พูดไปว่าเห็นเป็นธาตุรู้ ฟังไปอีกเท่าไหร่ก็พูดไปฟังไป สิ่งที่ได้ยินแล้วความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ยินแล้ว ค่อยๆ ผสมผสานเป็นสังขารขันธ์

    เราเข้าใจคำว่าสังขารขันธ์แล้วใช่ไหม ปรุงแต่ง ไม่ใช่เรา กำลังปรุงแต่งให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงอุปนิพันธ ขณะนั้นถึงเฉพาะหนึ่งเพราะได้เข้าใจ คุณค่าของการที่รู้จริงต้องรู้หนึ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่รู้จริงหนึ่งนั้น ในภายหลังเมื่อรู้ว่าเป็นธาตุรู้ไม่ใช่เรา ความรู้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งการเกิดดับปรากฏ การเกิดดับปรากฏเมื่อไหร่ ค่อยๆ จะคลายความเป็นเราเห็น ไม่ใช่ปล่อยวาง ปล่อยวาง พูดไปก็ไม่รู้ว่าอะไรปล่อย อะไรวาง แต่ความเข้าใจนั้นวางเอง ปล่อยเองทีละเล็กทีละน้อย จนถึงโสดาปัตติมรรคดับ ไม่เกิดอีกเลยที่จะเป็นเราในขณะที่เห็น เพราะแค่เห็น แค่เห็นเป็นอื่นไม่ได้ เป็นได้แค่นั้นเอง และก็ดับด้วย เพราะฉะนั้น พระศาสนาจะดำรงอยู่ต่อไปอีก ต่อเมื่อมีคนเข้าใจถูกต้อง เพียงเข้าใจผิดก็ทำลายคำสอนแล้ว

    ผู้ฟัง ขอกล่าวถึงคำว่าปล่อยวาง เมื่อวานนี้ก่อนที่จะไปพุทธคยา เขาจะไม่ให้เอาโทรศัพท์ไป พี่เพ็ญศรีก็บอกว่ารู้สึกปล่อยวาง ขณะนั้นก็นึกว่าปล่อยวางคืออะไร เเละอะไรปล่อยวาง แต่วันนี้ได้ฟังแล้วว่าปล่อยวาง คือเห็นไม่ใช่เรา ซึ่งลึกซึ้งกว่าที่ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปแล้วปล่อยวาง

    ท่านอาจารย์ ปล่อยวาง คือขณะนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นที่จะต้องการ หรือว่ารักษา หรือว่าหวงแหนหรืออะไร หายก็หายไป ไม่ต้องกังวลใช่ไหม แต่เป็นเรา เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าถึงที่สุดของการปล่อยวางคือสิ่งที่มีจริง เพราะว่าถ้าไม่เห็น โทรศัพท์มีไหม เมื่อมีแล้วไม่ใช่โทรศัพท์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้ติดข้องได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นยังติดข้องได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เห็นแต่ติดข้องก็มีมาก แต่คนที่ไม่เห็นก็ไม่เห็นไปก็มี แต่ละหนึ่งขณะไม่เหมือนกันเลย จะได้มากน้อยแค่ไหน ถึงปล่อยวางก็ยังเป็นคุณเพ็ญศรีปล่อยวาง ลึกลงไปอีกก็คือยังไม่ได้ปล่อยวางธรรมเพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นเราปล่อยวางชั่วขณะที่ไม่เห็นไม่กังวล ตอนหลับสนิทไม่มีอะไรเลย กุศลมีไหม

    ผู้ฟัง หลับสนิท กุศลไม่มี

    อาจารย์ อกุศลมีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เรามีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรปรากฏ แต่เมื่อตื่นเหมือนกับก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น ว่างเปล่าโลกก็ไม่มี เหมือนหลับสนิทไหม แต่หลับสนิทยังมีเรา แม้ไม่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ยังไม่ตายเพราะยังมีธาตุรู้ แต่คนอื่นจะไม่รู้เลยว่ากำลังหลับสนิทมีธาตุรู้ และธาตุรู้นั้นประกอบด้วยเจตสิกอะไร สืบต่อมามากน้อยแค่ไหน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพที่มีจริงทั้งหมดว่า หลับสนิทไม่ใช่ตาย แต่มีจิตซึ่งไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้เรื่องอย่างเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คิดนึก แต่ต้องมีจิตคือมีธาตุรู้

    ขณะหลับสนิท ไม่ใช่ขณะที่หลับตาแล้วไม่มีอะไร แต่มีธาตุรู้ เพราะจิตทำกิจคนละอย่าง หลับตาไม่มีอะไรปรากฏ แต่มีเราที่กำลังหาอะไรก็ไม่รู้ อยู่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไหนมีอะไรใช่ไหม เเต่มีธาตุรู้แน่ๆ ขณะที่หลับตา แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นธาตุรู้ ไม่ได้ปล่อยวางขณะที่หลับตา แต่กำลังเป็นเราเห็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า อยู่ที่ไหนหรือเปล่า อะไรอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ขาเราอยู่ไหน มือเราอยู่ไหน ยังมีความเป็นเราอยู่ เพราะไม่รู้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดมากจนพระสัมสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตทีละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันแต่ละทาง ตั้งแต่เกิดจนตายพร้อมทั้งรูป ทั้งๆ ที่รูปไม่รู้อะไรเลย รูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ทำให้ป่วยไข้ แข็งแรง สบาย และรูปที่เกิดจากอาหารที่ต้องบริโภคกันทุกวัน ขาดอาหารก็ไม่ได้ เป็นปัจจัย

    ดังนั้น ไม่มีอะไรเหลือที่ไม่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อให้เราเข้าใจได้ตามกำลังของสติปัญญา ที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ไม่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหมดกิเลสด้วยกัน แต่ระดับของปัญญาต่างกัน

    ผู้ฟัง เมื่อตอนต้นชั่วโมงได้ยินคำว่า ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม นั่นคือถึงเห็น ถึงได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง

    ผู้ฟัง ขอความรายละเอียดตรงนี้

    ท่านอาจารย์ เราฟังธรรมเข้าใจระดับไหน

    ผู้ฟัง ระดับขั้นการฟังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ พอไหม

    ผู้ฟัง ไม่พอ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือไม่ประมาท ฟังอีก เข้าใจอีก รู้ว่านี่ขั้นฟัง พอไหม จนกว่าจะถึงเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ถึงขั้นประจักษ์แจ้ง

    ท่านอาจารย์ ประจักษ์แจ้งนั่นคือวิปัสสนา พอไหม

    ผู้ฟัง จนกว่าจะดับกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงเสร็จกิจ ไม่มีกิจที่จะต้องที่จะต้องขัดเกลากิเลสอีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ยังต้องทำกิจเห็น ได้ยิน จนกว่ากรรมสิ้นสุด เพราะรู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดเพราะกรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ดับกิเลสทั้งหมดเเล้วแต่ยังเห็น เพราะกรรมยังทำให้ดำรงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำประโยชน์แก่สัตว์โลกต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาปรินิพพาน คือขันธปรินิพพาน ทรงดับขันธปรินิพพาน ถ้าดับขันธ์แล้วจะมีอะไรเกิดไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะที่เกิดนั้นเป็นขันธ์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ดับเหตุที่จะให้เกิดเป็นขันธ์

    ผู้ฟัง บางท่านนอนหลับสนิท บางท่านนอนไม่หลับ เป็นเพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ อยากหลับไหม กำลังนอนไม่หลับแล้วอยากหลับไหม แต่ถ้ารู้ว่าหลับเป็นวิบากคือผลของกรรม ยังไม่ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องได้กลิ่น ไม่ต้องลิ้มรส ไม่ต้องคิดนึกหรือเปล่า ถ้าถึงเวลาก็หลับไปเลย ไม่ต้องอยากหรือไม่อยากก็หลับ ต้องมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ก็ยังเป็นเรื่องของกรรมที่ยังจะให้ผลอยู่ที่จะไม่หลับ

    ท่านอาจารย์ เราถึงต้องเรียนว่าหลับคืออะไร เกิดคืออะไร ตายคืออะไร ผลของกรรม เห็นคืออะไร ผลของกรรม ได้ยินก็ผลของกรรม ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ผลของกรรม นี่คืออย่างคร่าวๆ นอกจากนั้นในวันหนึ่งๆ คือกุศลและอกุศล แล้วกุศลมากไหม อกุศลมากหรือเปล่า ต้องเป็นผู้ที่ตรงคือสัจจบารมี ต้องมีบารมีนี้จึงจะได้สาระจากพระธรรม

    ผู้ฟัง ถ้านอนไม่หลับก็ไม่ต้องเดือดร้อนเลย เพราะว่าเป็นผลของกรรมที่จะต้องยังเห็น ยังต้องได้ยินในขณะนั้นอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วลองคิดดูว่า ถ้าไม่หลับแล้วเข้าใจธรรม ดีกว่าหลับไหม ตอนหลับไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมเลย แต่ถ้าไม่หลับจะมีปัจจัยที่ให้เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เเต่ถ้าเห็นประโยชน์ของความเข้าใจสิ่งที่มี ขณะนั้นเป็นปัญญาที่เห็นประโยชน์ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ทำกิจของปัญญา แล้วแต่ว่าจะทำกิจได้ขั้นไหน ได้ยินคำสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชาจรณสัมปันโน ไม่รู้เลย วิชชารู้อะไร จรณะคืออะไร แต่ก็พูดแล้วว่า วิชชาจรณสัมปันโน ถึงพร้อมสมบูรณ์ในวิชชาและจรณะ จรณะคือความประพฤติเป็นไปของจิต จิตเกิดขึ้นต้องประพฤติ ต้องเป็นไป แม้แต่หลับหรือตื่นก็เป็นอาการความประพฤติของจิต หลับก็เป็นอาการความประพฤติของจิตที่หลับ ตื่นก็เป็นอาการความประพฤติเป็นไปของจิต

    ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม จะเดือดร้อนไหมถ้านอนไม่หลับแล้วเป็นกุศล แต่ถ้านอนไม่หลับแล้วเป็นอกุศล ก็หลับดีกว่าใช่ไหม แต่อยากหลับเป็นอะไร เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นเลยว่า ความละเอียดของพระธรรมชัดเจนทุกแง่ ทุกประการ ถ้าตื่นเป็นกุศลดีกว่าหลับแน่ แต่ถ้าตื่นเป็นอกุศลหลับยังดีกว่า แต่บังคับไม่ให้ตื่นได้ไหม ก็บังคับไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรมที่ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงทั้งหมดน้อมไปสู่ความเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น จรณะ ๑๕ จะจำตัวเลขหรือไม่จำก็ไม่สำคัญเท่าเข้าใจแต่ละคำ ถ้ายังไม่เข้าใจคำนี้เเล้วไปจำจำนวนไว้ทำไม ก็แค่จำได้ว่าจำนวนเท่านี้ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้างใช่ไหม ให้รู้ว่าผู้ที่เห็นประโยชน์ของธรรมเเละมีความเข้าใจ จะดีใจก็ได้เมื่อนอนไม่หลับเเต่ได้เข้าใจธรรม ถ้าหลับไปเเล้วเราจะไม่ได้เข้าใจตรงนี้เลย เพราะตื่นอยู่จึงทำให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ตื่น มีประโยชน์เมื่อเข้าใจธรรม แต่ถ้าตื่นแล้วไม่เข้าใจธรรมก็หลับดีกว่า แต่อยากหลับเป็นอกุศล ซึ่งทุกอย่างก็ต้องชัดเจน เพราะฉะนั้น จรณะ ๑ คือเป็นผู้ที่นอนน้อย

    อ.ธีรพันธ์ สำหรับการเป็นผู้นอนน้อยก็คือชาคริยานุโยค เป็นผู้ประกอบความเพียรในความเป็นผู้ตื่นอยู่ ตื่นหมายความว่าตื่นจากกิเลส ก็เป็นข้อหนึ่งของจรณะ ๑๕

    ท่านอาจารย์ ความประพฤติที่เป็นประโยชน์ที่สมควรจะอบรมให้มี ที่เป็นทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ถ้าสมบูรณ์พร้อม จรณะทั้ง ๑๕ ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่คนในยุคนี้สมัยนี้ ต้องได้ฌานด้วยหรืออะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เอ่ยแต่ชื่อ แต่ต้องเข้าใจว่าจรณะ ๑๕ มีอะไรบ้าง ข้อแรกคืออะไร

    อ.ธีรพันธ์ คือศีล หมายถึง ปกติของจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไป

    ท่านอาจารย์ แค่นี้พอไหม เพราะว่า ปกติความเป็นไปของจิตเป็นศีล ถ้าไม่มีจิต มีศีลไหม ต้นไม้มีศีลไหม เก้าอี้มีศีลไหม เป็นธรรมแต่ไม่มีศีลเพราะไม่ใช่สภาพรู้ แต่สภาพรู้ซึ่งเป็นจิตและเจตสิก ก็มีทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว เพราะฉะนั้น ศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิตซึ่งประกอบด้วยเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทำกิจการงาน

    ถ้าขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นศีลไหม ถ้าไม่ได้ฟังธรรมคิดว่าศีลเป็นกุศลเท่านั้น แต่ถ้าไม่ลืมว่าความประพฤติเป็นไปของจิตเป็นศีลทั้งหมด เพราะเมื่อจิตเกิดและประพฤติเป็นไปหลากหลายมาก ดีก็มี ชั่วก็มี

    ศีล เป็นอกุศลศีลในขณะที่อกุศลจิตเกิด ถ้าไม่ได้ฟังความละเอียดของพระธรรม เมื่อได้ยินคำว่าอกุศลศีลก็ตกใจ แต่ถ้าได้ยินว่าศีลก็คือความประพฤติเป็นไปของจิต เพราะฉะนั้น อกุศลศีลก็มี ถูกต้องไหม

    โกรธเป็นอกุศลจิต ขณะนั้นเป็นศีลหรือเปล่า เป็นอกุศลศีล เเล้วกุศลศีลมีไหม มีในขณะที่สภาพธรรมที่ดีงามเป็นไปในบุญกิริยาวัตถุ เป็นทางไปของศีลที่เป็นบุญ จิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล มีไหม เพราะฉะนั้นจึงมีอัพยากตะ คำว่าอัพยากตะ คือสภาพธรรมที่มี แต่ไม่ใช่กุศลและอกุศล วิบากจิต กุศลเป็นเหตุกระทำอกุศลกรรม เหตุได้กระทำแล้วผลคืออะไร กรรมที่ได้ทำนั้นเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้น เมื่อขณะเกิด ขณะเห็น ขณะได้ยิน เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น

    ดังนั้น ผลของกรรมไม่ใช่กุศลหรืออกุศล แต่เป็นวิปากะในภาษาบาลี ภาษาไทยใช้คำว่าวิบาก คำว่าวิบากไม่ใช่ลำบาก เพราะว่าถ้าเหตุเป็นกุศลที่ดี เห็นดีเป็นกุศลวิบาก ได้ยินดีเป็นกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นวิบากของกุศลก็เป็นกุศลวิบาก หมายความว่า จิตนี้ที่เป็นวิบากเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้ากรรมนั้นไม่มี วิบากนี้ก็ไม่มี แต่เพราะกรรมได้กระทำไว้แล้วมี เป็นปัจจัยให้เกิดผลอย่างนี้ คือเกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน พวกนี้เป็นผลของกรรม ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล นั่นคือวิบาก วิบากไม่ใช่กุศลเเละอกุศล ธรรมใดๆ ทั้งหมดที่ไม่ใช่กุศลเเละอกุศล เป็นอัพยากตะ พยากรณ์คือบอกชัดว่าเป็นกุศลและอกุศล ถ้าไม่ใช่กุศลและอกุศลก็พยากรณ์ว่าไม่ใช่กุศลและอกุศล

    เวลาไปวัดตอนสวดศพจะได้ยินอภิธรรม กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา ตอนนี้เมื่อได้ยินกุศลธรรมต้องเป็นจิตเเละเจตสิก รูปเป็นกุศลไม่ได้ เมื่อได้ยินอกุศลต้องเป็นจิตและเจตสิก รูปเป็นอกุศลไม่ได้ แต่รูปมีไหม เป็นกุศลไม่ได้ใช่ไหม เป็นอกุศลไม่ได้ใช่ไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น ก็เป็นอัพยากตธรรม ชัดเจนทุกคำว่า ธรรมใดที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ธรรมนั้นเป็นอัพยากตธรรม

    ดังนั้น รูปทุกรูปเลย เช่น อ่อนแข็ง ทำบุญทำบาปอะไรไม่ได้ แค่แข็งจะไปทำอะไรได้เพราะไม่รู้อะไร ก็เป็นอัพยากตธรรม ปฏิสนธิเป็นผลของกรรม ไม่ใช่กุศลแต่เป็นผลของกุศล ไม่ใช่อกุศลแต่เป็นผลของอกุศล เมื่อไม่ใช่กุศลและอกุศล ปฏิสนธิจิตเป็นอัพยากตะ เพราะฉะนั้น วิบากทั้งหมดไม่ใช่กุศลและอกุศล

    ด้วยเหตุนี้ รูปทั้งหมดเป็นอัพยากตะ วิบากทั้งหมดเป็นอัพยากตะ ทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอัพยากตะ นิพพานไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ถ้าเป็นกุศลต้องเป็นจิตเเละเจตสิก ถ้าเป็นอกุศลก็ต้องเป็นจิตและเจตสิก แต่นิพพานไม่เกิด ไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นอัพยากตะ

    เพราะฉะนั้น ก็คือความเข้าใจทั้งหมดจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา จนกว่าความเข้าใจนั้นจะละเอียดๆ ๆ ขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตประจำวันเป็นธรรม ถ้าไม่รู้ชีวิตประจำวันคือไม่รู้ธรรม ถ้าไม่รู้ธรรมคือไม่รู้ว่าเป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น กว่าชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งตรงตามที่ได้ฟัง เมื่อนั้นก็จะเป็นการรู้จริงๆ แต่ละหนึ่ง จนกว่าสภาพแต่ละหนึ่งจะปรากฏการเกิดดับ เป็นวิปัสสนา จากสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งทรงแสดงไว้ว่าสภาพธรรมปรากฏดี

    เดี๋ยวนี้เกิดดับนับไม่ถ้วน ไม่ปรากฏดีเลยสักอย่าง เพราะไม่รู้ ไม่ปรากฏ แต่มี แต่ขณะใดที่สภาพนั้นปรากฏดี ไม่ใช่แบบเด็กหรือคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจธรรม แต่ดี เพราะรู้และเข้าใจว่านั่นคือสิ่งนั้นเท่านั้น เป็นสิ่งอื่นไม่ได้ นั่นคือปรากฏดีในความเป็นสิ่งนั้น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องเข้าใจ ไม่ใช่ผ่านไปแล้วก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แค่คำว่าดีคำเดียว ปรากฏดีกับไม่ได้ปรากฏดีก็ต่างกันแล้ว ปรากฏจริงไม่ใช่ไม่ปรากฏ แต่ไม่ได้ปรากฏดี เพราะว่าลักษณะที่เป็นธรรมนั้นไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรม ต้องฟังไปอีกนานเท่าไหร่

    ถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาสภาพจิตที่ผ่องใส ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น ก็ประกอบด้วยสภาพธรรมที่ดีงาม มีศรัทธาสภาพที่ผ่องใส ก็มีการระลึกได้ที่จะเป็นกุศล และกุศลเจตสิกทั้งหลายก็เกิด บางครั้งมีปัญญาเกิดร่วมด้วย บางครั้งเป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่นให้ทาน บางคนมีทานุปนิสัย เป็นคำว่าทานรวมกับคำว่าอุปนิสสยะ อุปนิสัย เหมือนอย่างที่ครูบอกว่านักเรียนคนไหนอุปนิสัยอย่างไรก็คือสะสมมาอย่างนั้น

    บางคนให้ง่ายมากเลยเพราะเป็นทานุปนิสัย เห็นได้ชัด บางคนศีลุปนิสัย ไม่ว่าใคร ไม่ติใคร ทางวาจาดี ไม่ชอบก็ไม่ว่า เผ็ดไปก็ทานได้ อยากจะเติมก็เติมได้ แต่ก็ไม่มีกายวาจาซึ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขณะนั้นก็เป็นศีลุปนิสัย ดูจากกายวาจา เพราะเป็นความประพฤติเป็นไปของกายวาจา

    ถ้าเป็นธรรมที่สะสมมาก็ต้องเป็นผู้ที่ใคร่สนใจ เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม ก็เป็นจริง เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็เป็นธรรมทั้งหมดที่สะสมมา แต่เพื่อที่จะให้ต่างกับธรรมอื่นๆ ก็มีชื่อต่างๆ กัน ให้หมายรู้เท่านั้นเอง แต่ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งไม่มีชื่อ ถ้าไม่เรียกก็มี ใช่ไหม แต่ชื่อทำให้เข้าใจว่าหมายความถึงธรรมอะไร

    เพราะฉะนั้น ชื่อเป็นปัญญัตติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ มีทั้งอรรถบัญญัติ และสัททบัญญัติ ถ้าอรรถบัญญัติรู้โดยไม่ต้องใช้ชื่อ เมื่อเห็นก็รู้ ไม่ต้องเรียกก็รู้ว่าใคร เวลาพูดไม่เห็นก็รู้ พูดถึงงูไม่ต้องเห็น แต่เสียงนี้หมายความถึงธรรมอะไร อย่างคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียงนี้หมายความถึงธรรมที่ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เหนือบุคคลอื่นใดทั้งสากลจักรวาล จึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละสมัยเพียงหนึ่งพระองค์ เพราะเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเปรียบได้ จะมีพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้

    ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ด้วยตัวเอง แต่ไม่ใช่สะสมพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยประการต่างๆ ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งมีพร้อมกันหลายองค์ได้ สาวกก็ยิ่งมีมากกว่าปัจเจกพุทธเจ้าเพราะต้องอาศัยคำ เเต่ในสมัยที่ไม่มีพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าสะสมมาที่จะรู้สภาพธรรมก็รู้ได้ด้วยตัวเอง

    ดังนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะรู้ความจริง จะประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อไหร่ เป็นอนัตตาโดยแท้จริง กำลังล้างเท้าก็มี กำลังทำอาหารในครัวก็มี เพราะทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นหนทางของอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ปรุงแต่งไป พร้อมเมื่อไหร่ ท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพียงได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ พระโมคคัลลานะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อได้ฟังคำท่านพระสารีบุตร เลือกได้ไหม เลือกไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    15 ต.ค. 2568