ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
ตอนที่ ๑๑๔๑
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนสอนดนตรีสุรนา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่ความคิดไม่ดี โกงเขาดีไหม เห็นไหม เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรดีไม่ดี แต่ดีมี ชั่วมี ต่างกันไหม ดีกับชั่วต่างกัน เกิดพร้อมกันได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นดีเป็นหนึ่งอย่างที่มีจริง ชั่วก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มีจริง เป็นสภาพรู้ โต๊ะไม่ดีไม่ชั่ว ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นโกรธก็รู้ว่าโกรธใคร ไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบอะไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสภาพรู้มีหลากหลายมาก อย่างเห็นรู้เลยว่า ห้องนี้มีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นที่เห็นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็น เอาแต่ละหนึ่งเลย มีจริงๆ ถ้าคนตาบอดเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ มีตาดี นอนหลับเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ไม่เห็น เพราะฉะนั้นถึงแม้มีตา ก็ไม่พอใช่ไหม ไม่ใช่ว่ามีตาแล้วเห็นทั้งวัน เพราะฉะนั้นบางครั้งก็เห็น บางครั้งก็ไม่เห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่เห็นเดี๋ยวนี้ต้องอาศัยตาใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วก็ถ้าไม่มีอะไร ที่มากระทบตาได้
ผู้ฟัง ก็ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นต้องมีสิ่งที่กำลังกระทบตา ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ที่อะไรถูกเห็น เป็นสิ่งที่กำลังกระทบตาใช่ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่เห็นหนึ่งขณะ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง จะเป็นเราหรือ แค่เห็นเกิดแล้วก็ดับไป เห็นไม่คิด แค่เห็น เห็นไม่จำ
ผู้ฟัง เห็นไม่จำ
ท่านอาจารย์ เห็นไม่จำ เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ เห็นไหม เยอะแยะไปหมดเลยธรรม ถูกไหม เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ใช้คำว่า จิต เคยได้ยินใช่ไหม จิต แต่ไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน จิตคืออะไร แต่ธรรมชัดเจน ธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เกิดขึ้นรู้ ต้องรู้ เกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะบอกว่า คนเกิด แมวเกิด นกเกิด สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดต้องมีจิต ธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธรรมก็จำแนกออกเป็นธาตุรู้ มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง เราใช้คำว่า จิต หมายความว่า เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ชอบรสอะไร
ผู้ฟัง รสหวาน
ท่านอาจารย์ ที่ชอบเป็นจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ จิตแค่รับรู้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหม จิตแค่รู้หวาน แต่ขณะที่กำลังรู้หวาน มีธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือชอบ หวานที่กำลังรู้ ต้องที่กำลังรู้ด้วย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมด จะเกิดขึ้นได้ต้องมีสิ่งที่อาศัยปรุงแต่งเป็นปัจจัย ที่ใช้คำว่า เป็นปัจจัย แสดงว่าเกิดเองไม่ได้สักอย่าง ถ้าศึกษาแล้วจะรู้เลยว่า เห็นอาศัยปัจจัย คือตาและสิ่งที่กระทบตา แล้วก็ยังมีเจตสิก คือสภาพที่เกิดกับจิต คำใหม่เลย เมื่อสักครู่ได้ยินคำว่า จิต แต่เราบอกแล้วว่า ธาตุรู้มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการเพียงรู้ แต่ชอบไม่ชอบพวกนี้ ไม่มีรูปร่าง และเป็นธาตุรู้ด้วย ชอบในสิ่งที่จิตกำลังรู้ อย่างหวาน พอรสหวาน ชอบเกิดร่วมด้วยทันที ใช่ไหม ในขณะที่รสหวานกำลังปรากฏ ขณะนั้นก็ชอบ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นมีธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธรรม เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต แต่ไม่ใช่จิต อาศัยกันและกันปรุงแต่งเกิดขึ้น เมื่อสักครู่สงสัยเป็นธรรมอย่างหนึ่ง หายสงสัยไหม
ผู้ฟัง ยังสงสัยอยู่
ท่านอาจารย์ ยังสงสัยอยู่ เห็นไหม ถึงได้บอกว่าสงสัยอะไรบ้าง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งไป แสดงว่า ความสงสัยเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นสิ่งที่มีจริง แน่นอนที่สุด คือสิ่งที่มีจริง รู้ได้อย่างไรว่ามี ก็มีลักษณะของสิ่งนั้น เฉพาะสิ่งนั้นเกิดขึ้นให้รู้ว่ามี ใช่ไหม อย่างสงสัยมีอย่างนี้ จะเปลี่ยนสงสัย ให้เป็นไม่สงสัยก็ไม่ได้ ยังสงสัยอยู่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสงสัยเกิดเมื่อไหร่เป็นลักษณะที่สงสัย ดีไหม
ผู้ฟัง สงสัยว่ามีไม่ดี เพราะไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราไตร่ตรองด้วยตัวของเราเอง ใครก็พูดอะไรๆ ก็ฟังไว้ใช่ไหม แต่เราก็ต้องคิดว่า มีจริงหรือเปล่า และคำที่พูดนั้นถูกต้องไหม ใช่ไหม อย่างสงสัยมีจริงๆ ถ้าเราแน่ใจว่ามีจริง ใครมาบอกเราว่าสงสัยไม่มี เชื่อเขาหรือ
ผู้ฟัง ไม่เชื่อ
ท่านอาจารย์ ไม่เชื่อเห็นไหม เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ที่ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมนั้นไม่ได้ แต่เห็นผิด เข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้นเห็นผิดมีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง เห็นผิดมีจริง
ท่านอาจารย์ มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง แล้วมีลักษณะของเห็นผิดด้วย เห็นผิดจากความเป็นจริง เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตคิด หรือว่าจิตเห็น จิตได้ยิน พวกนี้เป็นต้น แล้วก็ผิดจากความเป็นจริง สภาพที่เห็นผิดจากความเป็นจริง มีจริงๆ และเห็นถูกมีไหม
ผู้ฟัง เห็นถูกก็มี
ท่านอาจารย์ ดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ตอนนี้เรารู้ธรรมด้วยตัวของเราเองว่า เราเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วธรรมก็มีจริงๆ แล้วใครก็เปลี่ยนธรรมไม่ได้ ดีก็คือดี ไม่ดีก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นธรรมที่ไม่ดี มีไหม
ผู้ฟัง ที่ไม่ดีมี มีทั้งดีและไม่ดี
ท่านอาจารย์ ใช่ นี่คือปัญญาของเราเองประเสริฐที่สุด เพราะว่าใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครก็เอาไปไม่ได้ เกิดแล้วในจิต สะสมอยู่ในจิต เพิ่มขึ้นอยู่ในจิต ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม ขโมยก็เอาไปไม่ได้ ใช่ไหม อยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด คืออยู่กับจิตเลย ทำให้จิตมีลักษณะต่างๆ ตามเจตสิก ตอนนี้เข้าใจแล้ว จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะเหตุว่าเห็นเป็นจิต แค่เห็น ได้ยินก็เป็นจิต แต่ชอบไม่ชอบ ดีชั่วเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต ปรุงแต่งทำให้จิตหลากหลาย จิตที่ไม่ดีเพราะเจตสิกไม่ดีเกิดร่วมด้วย แยกกันไม่ได้เลย จิตกับเจตสิกแยกไม่ได้ เพราะว่าจิตต้องเกิดจากปัจจัย เจตสิกเป็นปัจจัยให้เกิดจิต และเจตสิกเกิดเองไม่ได้ ต้องเกิดกับจิต เพราะฉะนั้นจิตก็เป็นปัจจัยให้เกิดเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดพร้อมกัน ภาษาบาลีจะใช้คำว่า สหชาตะ ชาตะ แปลว่าเกิด สหะ แปลว่าพร้อมกัน ด้วยกัน สหชาตปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตเกิดโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เจตสิกเกิดโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม และก็จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดพร้อมกัน
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร ปัจจัย สหชาตปัจจัย เพราะปัจจัยมีมากมาย นี่เพียงแค่หนึ่ง แสดงให้เห็นว่า อะไรที่เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกัน เกิดพร้อมกัน แล้วไม่อาศัยกัน ต่อไปก็จะรู้ว่ามี นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม เพราะฉะนั้นควรเข้าใจไหม ถ้าใช้คำว่าเข้าใจถูกเห็นถูก ภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา เพราะฉะนั้นเวลาใครเขาบอกว่าปัญญา เรารู้เลยว่า เขารู้อะไร เข้าใจอะไร ไม่มีเรา กว่าจะหมดความเป็นเราได้ แค่นี้ไม่พอ ต้องปัญญามากกว่านี้ ถึงจะเห็นภัยว่าเกิดมาทำไม ทั้งชาตินี่ไม่เหลือ ตั้งแต่เกิดมา ไปเรียนโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัย เรียนหนังสือ ทำงาน อะไรต่ออะไรทุกอย่างหมด สุข ทุกข์ ไม่เหลือ และเกิดมาทำไม ถ้าเหลือยังพอจะน่าจะเกิด นี่ไม่เหลือเลย ดับหมด หมดคือหมด ไม่กลับมาอีกด้วย ชาติก่อนทำอะไรที่ไหนไว้ ก็ไม่รู้ เมื่อวานนี้ก็ไม่กลับมาเป็นวันนี้ได้ แล้ววันนี้ คือเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้ ถูกไหม กำลังหมดไปใช่ไหม พอถึงพรุ่งนี้ไม่เหลือเลย จะใช้คำว่าเมื่อวานนี้อีกไม่ได้ แต่ความจริงทุกขณะ เมื่อสักครู่นี้กับเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ขณะเดียวกัน ทุกอย่างก็คืออย่างนี้ เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ค่อยๆ ฟังไว้ ฟังไว้ จนกระทั่งเข้าใจมั่นคง เปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนให้สิ่งที่เกิด ไม่ดับได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนให้ไม่หมดไปได้ไหม ให้คงอยู่
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือธรรมตา หรือธรรมดาของธรรมว่าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่ฟังมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยก็เป็นธรรม พระสูตรก็เป็นธรรม พระอภิธรรมก็เป็นธรรม หลากหลายนัยที่ทรงแสดง เพื่อที่จะให้ความเข้าใจค่อยๆ มั่นคง เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นจะฟังพระสูตรกี่นิกายก็ตามแต่ กี่สูตรในแต่ละนิกาย ทีฆนิกาย สังยุตตนิกาย อะไรก็ตามแต่ เรื่องโน้น เรื่องนี้ ๕ ข้อ ๑๐ ข้ออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ขณะนั้นความเข้าใจธรรมที่มั่นคง ค่อยๆ ปรุงแต่ง เจตสิกมีเท่าไหร่ จิตมีเท่าไหร่ พระอภิธรรม วาระนั้น วาระนี้ เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าถ้าไม่มีพวกนั้นเลย ไม่มีหนทางที่สามารถที่จะถึงเฉพาะสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นฟังทั้งหมดนี้ เราต้องรู้จุดประสงค์ ไม่ใช่เพื่อไปจำ เพื่อตอบได้ เพื่อสอบ แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังในขณะเดี๋ยวนี้ เวลาไหนก็แล้วแต่ วันนี้ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ฟังต่อไปอีก สะสมต่อไปอีก จนถึงวันหนึ่ง ขณะหนึ่งที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือจุดประสงค์
เพราะฉะนั้นจึงขาดปริยัติไม่ได้ เพราะว่าถ้าขาดปริยัติ ปฏิปัตติไม่มี ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่เข้าใจไหม ในความเป็นขันธ์ ในความเป็นธาตุ ในการเกิดดับ ในปัจจัยต่างๆ ก็อยู่ตรงนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นค่อยๆ เปิดเผยสิ่งที่ปกปิด จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เพราะกว่าจะมั่นคงได้ ไม่ใช่ว่าตามหนังสือใช่ไหม หนังสือเราเปิดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าความเข้าใจที่อยู่ในใจมีมากน้อยแค่ไหน แม้แต่การฟังกว่าจะเป็นปริยัติ หมายความว่ารอบรู้ อย่างคำว่าธรรม ไม่สงสัยเลยในทุกอย่างว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ว่าจะโดยนัยประการใดๆ ก็ตามที่ทรงจำแนกไว้ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าพูดถึงขันธ์ก็เดี๋ยวนี้ พูดถึงอายตนะก็เดี๋ยวนี้ พูดถึงธาตุก็เดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะให้เข้าถึงความเป็นธรรม จากการที่ฟังแล้วเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้น เหมือนเดิมเลย นี่พวงมาลัยก็เหมือนเดิม แต่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ใช่ไหม แค่นี้ยังไม่เป็นพวงมาลัย ยังไม่เป็นอะไรเลย นั่นคือความจริงของธาตุที่กระทบตาได้ พวงมาลัยนี่กระทบตาทั้งพวงไม่ได้ ใช่ไหม แต่ว่าธาตุที่มีอยู่ที่มหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูป สีที่จะมากระทบตา ไม่มี
เพราะฉะนั้นมหาภูตรูปแยกละเอียดยิบ แต่ละหนึ่งกลาปที่เล็กที่สุด มีสิ่งนี้ที่กระทบตาได้ กระทบเท่าไหร่กว่าจะเป็นดอกไม้แต่ละกลีบ เป็นเกสร เป็นก้าน สีต่างๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทั้งหมดจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ถึงได้ปิดบังความจริงสนิท ไม่มีใครสามารถจะไปเปิดเผยสิ่งที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนกับกลิ้งอย่างเร็วที่สุดไปเลย แล้วใครจะไปรู้ว่าอะไรอยู่ที่นั่นบ้าง ให้เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งที่ใครก็รู้ไม่ได้ และจริงอย่างถึงที่สุด พระองค์ทรงตรัสรู้ อย่างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็รู้ แต่ความที่สะสมไม่ถึงระดับที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำที่ออกจากพระโอษฐ์ ๔๕ พรรษา โดยนัยหลากหลาย เพราะเหตุว่าแม้แต่โดยขันธ์เพราะอะไร โดยอายตนะเพราะอะไร ทั้งหมดเพื่อประมวลมาซึ่งการไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เพียงมีจริงชั่วขณะ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ฟังแค่นี้ ถึงใจระดับไหน ลึกไหม มากไหม แน่นไหม พอที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มี ไม่มี มีเมื่อเกิดแล้วก็ดับแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ กิเลสทั้งหลายทั้งหมดจะค่อยๆ ลดน้อยลงเมื่อได้ดับการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะเป็นที่ตั้งของความพอใจ ซึ่งเป็นความเห็นผิดว่า เป็นอัตตาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าที่ตัวก็เป็นสักกายะ นี่ของเรา
เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นการที่ให้รู้ความจริงแต่ละชาติแต่ละชาติแต่ละชาติ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีการสะสม อย่างท่านพระอานนท์เท่าไหร่ ท่านพระสารีบุตรเท่าไหร่ หนึ่งแสนกัป หนึ่งอสงไขยแสนกัป เป็นเรื่องที่วัดประมาณไม่ได้ เพราะว่าเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มันหนาแน่นเหนียวมาก ติดสนิทอยู่ในจิตเลย จะสะกิดออกไปให้ได้ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง กว่าจะถึงธาตุที่สะสมมาที่ปิดบังอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่ฟังแต่ละชาติ แล้วก็เข้าใจขึ้นเพื่อละ แต่ว่าถ้าใครจะไปขวนขวาย ไปสำนักปฏิบัติ ไปตั้งสำนักปฏิบัติ ก็ผิดทันที ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย และต้องเป็นคนที่ตรง จึงจะได้สาระจากพระธรรม ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด
สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิง วิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ อนุเคราะห์ให้ได้รู้จักคำของขันติ รู้จักสภาพจริงๆ ของขันติ
ท่านอาจารย์ คือจริงๆ แล้ว ดูเหมือนเราสนใจในชื่อ อยากเข้าใจชื่อแต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่ถูกปิดบังไว้ก็คือว่าความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือคำก็ไม่สำคัญอะไร ชื่อก็ไม่สำคัญอะไร ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นคำหรือชื่อ ก็เพื่อให้เข้าถึงสิ่งที่มี ซึ่งเราไม่รู้ และไม่เข้าใจตามความเป็นจริง จึงต้องมีชื่อต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไม่คิดถึงชื่อขันติ แต่เราจะเริ่มต้นด้วยว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด เดี๋ยวนี้เอง ถ้าทรงแสดงโดยประการทั้งปวงจะเป็นจิตเจตสิกมากมาย เป็นรูป เป็นปัจจัย เป็นอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็คือเดี๋ยวนี้ แล้วก็ถูกปิดบังไว้นานมาแล้วด้วย พอมีชื่อ ชื่อก็ปิดบังไว้ โดยที่ว่าเราไม่ได้รู้จุดประสงค์ของการฟัง เพื่อให้เข้าใจความไม่มี แต่ละคำแต่ละคำจะนำไปสู่การที่เราได้ยินได้ฟังทั้งหมด ถึงที่สุดก็คือความไม่มี เพราะเหตุว่าไม่มีแน่ๆ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอเกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย คิดดู ไม่ใช่เฉพาะวันนี้ เดี๋ยวนี้ ในสังสารวัฏทั้งหมด ไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดได้ ก็เพราะมีธรรมซึ่งมี ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น อย่างแข็งเดี๋ยวนี้ ใครบอกว่า ไม่มีแข็ง ไม่มีใครไปทำ มีใครทำแข็งได้ไหม สักคน แต่มีแข็ง
เพราะฉะนั้นมีใครทำธาตุรู้ให้เกิดได้ไหม หรือว่าห้ามไม่ให้ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่อ ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย นี่คือการที่เราจะค่อยๆ เข้าใจ คำที่เราใช้คำว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เราก็ต้องไม่ใช่ของเราด้วย เพราะไม่มีเรา เพราะฉะนั้นฟังธรรมก็เพื่อที่จะเปิดเผยสิ่งที่ถูกปิดบังมานานแสนนานแสนโกฏกัป และจะอยู่ต่อไปอีกแสนโกฏกัป ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่เข้าใจธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะว่าถ้าไม่มีปัจจัย อะไรก็เกิดไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลานี้ทุกอย่างที่มี ขันติเป็นชื่อ ถ้าเราจะคิดว่าเราอยากเข้าใจคำว่า ขันติ แต่ความจริงขันติก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดแล้วด้วยในชีวิตประจำวัน ไม่บอกชื่อ ไม่เรียกชื่อ ก็ไม่มีใครรู้จัก แต่ทุกคนเชื่อว่ามีขันติ แม้แต่การอดทนที่จะฟังธรรม ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก ก็รู้ว่ายากมาก ไม่ง่ายเลย ทั้งๆ ที่มี แต่ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้มานาน อย่างนี้อดทนไหม
ผู้ฟัง อดทน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะไปนึกถึงชื่อนี้ มีความหมายแค่ไหน กว้างแคบอย่างไร อะไร ก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ แทนที่อยากหรือขวนขวายที่จะไปเข้าใจแต่ละคำแต่ละชื่อ ซึ่งประโยชน์ก็คือว่า ได้แค่คำแปล ได้แค่คำชี้แจงจากท่านผู้ได้รู้ความจริง ของสภาพธรรมนั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี แต่เราไม่ต้องเรียกก็ได้ใช่ไหม แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเรียกอะไร เกิดแล้วดับแล้ว
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงขันติ ก็รู้ว่าพระองค์แสดงถึงการที่จะอดทนที่จะเป็นไปในการที่จะไม่เป็นอกุศล แต่ว่าโดยสภาพของขันติ พระองค์ก็ไม่ได้แสดงโดยชัดเจนว่า เป็นเจตสิกประเภทอะไร แต่ว่าถ้าจะกล่าวถึงเป็นไปในการที่จะไม่ท้อถอยในการที่จะเจริญกุศล ก็เหมือนกับเป็นลักษณะของวิริยะ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เกิดพร้อมกับธรรมฝ่ายดีงามอื่นๆ ดังนั้นการที่จะเข้าใจความเป็นขันติ ที่จะให้รู้โดยความเป็นธรรม จะเข้าใจในลักษณะอย่างไร
ท่านอาจารย์ คุณวิชัยเคยง่วงไหม
อ.วิชัย ก็เคย
ท่านอาจารย์ แต่ว่ามีหน้าที่ หรือสิ่งที่อยากจะทำ ทำไหม
อ.วิชัย ก็ทำ
ท่านอาจารย์ อดทนไหม
อ.วิชัย ก็ต้องอดทน
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปแสวงหาว่า เจตสิกอะไร ใช่ไหม
อ.วิชัย ก็ไม่ต้องแสวงหา
ผู้ฟัง ทีนี้อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กรุณากล่าวถึงว่า จะต้องรู้ถึงความไม่มี หมายถึงว่าพูดถึง
ท่านอาจารย์ คือต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าเราจะเกิดชาติไหน แม้ในชาตินี้ ฟังธรรมกี่ครั้ง เพื่ออะไร ถึงที่สุดเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นเราก็เปะเปะปะปะอยู่ ตามโน่น ตามนี่ ใช่ไหม ไม่รู้จุดประสงค์ที่มั่นคง เพราะยังไม่เห็น และยังไม่ถึง และยังไม่คิดด้วย เพียงแค่จะฟังธรรมให้เข้าใจ นี่คือ ณ บัดนี้ใช่ไหม จะฟังธรรมให้เข้าใจ แต่คิดให้ยาวไกลออกไป เพื่ออะไร
ผู้ฟัง เพื่อเข้าถึงสภาพธรรมนั้นๆ
ท่านอาจารย์ นั่นเพื่ออะไร
ผู้ฟัง ก็เข้าถึง แล้วก็คือถึงที่สุดหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นั่นเพื่ออะไร
ผู้ฟัง เพื่อความหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ
ท่านอาจารย์ ธรรมดาเพื่อดับกิเลส แต่ว่าเห็นกิเลสวันนี้ไหม
ผู้ฟัง ยังไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ตัวที่จะดับก็ยังไม่เห็นเลย แต่จะดับ แล้วจะดับได้อย่างไร ใช่ไหม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่าเพื่ออะไร ก็คือกราบเรียนตอบท่านอาจารย์ ถึงจุดประสงค์ว่าศึกษาธรรมเพื่ออะไร
ท่านอาจารย์ ณ วันนี้คือเพื่อเข้าใจ แต่ถ้ายาวไกลออกไป เข้าใจเพื่ออะไร
ผู้ฟัง เข้าใจเพื่อที่สุดแล้วก็คือดับกิเลส
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรายังไม่เห็นโทษของกิเลสเลย เพราะยังไม่รู้จักกิเลสใช่ไหม เราจึงต้องอาศัยผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในครั้งพุทธกาลก็มีคนจำนวนไม่มากที่ศึกษาเรื่องของจิตเจตสิกใช่ไหม แต่เขาได้ฟังพระสูตร แล้วก็ศึกษาพระวินัย เป็นพระภิกษุขัดเกลากิเลส ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมก็มี พระสูตรก็มี พระวินัยก็มี แม้แต่เวลาที่ท่านเดินจงกรม จังกัม ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ก็ตามอัธยาศัย ท่านจะได้คุยกันเรื่องนั้น ถ้าท่านสนใจในเรื่องอภิธรรม ท่านก็คุยกันเรื่องนั้น แต่ว่าอภิธรรมคือธรรมที่ลึกซึ้ง เราพูดถึงตัวธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเรายังหลงคิดว่า เราจะศึกษาคำต่างๆ ละเลยการเข้าใจธรรมก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าทุกอย่างเพื่อให้ถึงความเป็นธรรม เพื่อที่จะขัดเกลาการที่ยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่รู้จริงๆ ถูกปิดบังไว้หมด กี่ชาติมาแล้ว ไม่รู้ความเป็นไปของธรรม ซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมก็ต้องเป็นไปตามความเป็นธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้นอย่างเวลาที่เราศึกษาเรื่องอภิธรรม วิริยเจตสิกเกิดกับจิตแล้วใช่ไหม เอาขันติเจตสิกมาเกิดกับจิตหรือเปล่า เห็นไหม ก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องมานั่งคิดว่า แล้วขันติกับวิริยะ ตอนไหนอย่างไร แต่ให้รู้ว่าธรรมก็คือธรรม เดี๋ยวนี้มีไหม วิริยะ ถ้าบอกว่า มี จักขุวิญญาณมีวิริยเจตสิกไหม ก็ไม่มี เห็นไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ละเอียดมาก ไม่ใช่เพื่อให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้เจตสิกเป็นปัจจัยแก่จิตในขณะนี้ โดยฐานะใด ปัจจัยใด ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฟังรู้ว่ามีธรรมจริงๆ แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
