ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166


    ตอนที่ ๑๑๖๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เห็น เกิดขึ้นเห็นเมื่อไหร่ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น กำลังคิด ไม่ใช่กำลังเห็น เพราะคิดมีเรื่องที่กำลังคิด จิต คือ ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น ไม่ต้องไปพูดถึงร่างกายเลย พูดถึงเฉพาะเห็น ไม่ได้พูดถึงตา ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต้องแยกกัน มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นอย่างนี้เอง เพื่อที่จะละการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ให้รู้ว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสคำใดแล้วไม่เปลี่ยน เห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น

    ภาษาบาลี เห็น คือ จักขุวิญญาณ วิญญาณ คือ สภาพที่รู้ จักขุ คือ ตา เพราะฉะนั้น ธาตุชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีตา ไม่มีใครไปบังคับธรรมสักอย่างเดียว ถ้าพูดถึงธรรมคือพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยทำให้เกิด ไม่มีใครไปบังคับบัญชาและเปลี่ยนแปลงได้เลย ใครเปลี่ยนเห็นให้เป็นอื่นก็ไม่ได้ แต่ความไม่รู้นานแสนนานมาแล้ว เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่รู้ ก็ยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่ง ยึดถือเห็นเป็นเราเห็น ซึ่งความจริง เห็นไม่ใช่เราเห็น

    เพราะฉะนั้น กว่าที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ไปเพ่ง ไปจ้อง ไปทำ ไปยืน ไปเดิน ไปคิดเรื่องอื่นเลย แต่ฟังพระธรรมจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเป็นผู้ตรงว่า ถึงฟังอย่างนี้ เเต่การที่ไม่เคยสะสมความเข้าใจอย่างนี้มานานมาก แล้วสะสมความคิดเรื่องความเป็นตัวตน เรื่องโลก เรื่องวิชาการ เรื่องทุกอย่าง ดังนั้น ทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ ก็ได้ยินทุกคำซึ่งเป็นคำจริง เห็นเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัยที่อาศัย ที่ปรุงแต่ง ที่อุปถัมภ์ให้เกิดเห็น คือ ต้องมีตา ซึ่งตาไม่เห็น มีสิ่งที่กระทบตา สิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น แต่เมื่อใดที่เห็นเกิดขึ้น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ทางตา แค่นี้ ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว เห็นก็ไม่ใช่เรา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่เรา ตาก็ไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมทั้งหมดให้รู้ว่า เราไม่เคยได้ยินได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง หลงเข้าใจผิดทุกชาติ อยู่ในความมืดสนิทว่ามีเรา ตั้งแต่เกิดก็มีเราแล้ว เกิดแล้วเห็น ก็เป็น เราเห็น เกิดเป็นคิด ก็เราคิด ทั้งหมด

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เกิดได้ต่อเมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสม ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ได้ยิน เสียงกำลังปรากฏ ไม่มีใครเคยคิดเลยว่า เสียงปรากฏเฉพาะกับได้ยินเท่านั้น เพราะฉะนั้น ได้ยินจะเห็น ได้กลิ่น ลิ้มรส ไม่ได้เลย ได้ยินมีหน้าที่อย่างเดียวคือ เกิดขึ้นรู้เสียง เสียงอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เสียงแต่ละเสียงก็เป็นหนึ่งซึ่งกระทบหู ทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับไป ไม่เหลือเลย ขณะที่ได้ยิน ไม่มีเห็น ขณะที่คิดนึก ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน

    นี่คือความเป็นจริง ซึ่งกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่มีหนทางอื่นเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแล้วไม่รู้ เป็นที่ตั้งของความยึดถือทั้งหมด เพราะฉะนั้น ถ้ามีแต่เพียงรูปธรรม ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีจิตเกิดขึ้น จะมีอะไรปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีปรากฏ

    ท่านอาจารย์ มีโลกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีคนไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จิตมีไหม ธาตุรู้มีไหม

    ผู้ฟัง ธาตุรู้ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ต้องตรงอย่างนั้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มีเลย แต่บังคับไม่ให้แข็งเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง บังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้เสียง ไม่ให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้ ไม่เกิดจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เกิดจิต ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเกิดโดยไม่มีใครไปบังคับให้เกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย กว่าจะละคลายความเข้าใจที่ยึดถือผิดๆ ว่าจิตเป็นเรา ก็ต้องรู้ว่า จิตเกิดเมื่อมีปัจจัย จิตเป็นสภาพที่รู้ รู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ รู้แจ้งด้วย น้ำกับฟ้า ถ้าไม่มีจิตที่รู้แจ้งในลักษณะที่ต่างกัน การจำลักษณะทั้ง ๒ อย่างทีละหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะมีได้ เมื่อจำทีละหนึ่งก็รู้ว่า หนึ่งนั้นไม่ใช่หนึ่งหลัง ถ้าเห็นน้ำ ก็คือลักษณะของน้ำ ถ้าเห็นฟ้า ก็คือลักษณะของฟ้า จำมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ จำเป็นเรา หรือว่า จำเป็นจำ

    ผู้ฟัง จำเป็นจำ

    ท่านอาจารย์ จำเป็นเราได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จำต้องเป็นจำ เกิดขึ้นจำอย่างเดียว แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ละเอียดยิบ ถ้าเรายิ่งเข้าใจความละเอียดมากเท่าไหร่ ค่อยๆ สละ ค่อยๆ ละ ความเห็นที่ถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพียงขั้นการฟัง

    เวลานี้ฟังเรื่องจิต จิตไม่ได้ปรากฏ กำลังฟังเรื่องลักษณะของจิตว่า จิตเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้ ขณะนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก รู้หมดเลย แต่เราก็ไม่เคยรู้ว่า นั่นคือจิตที่เกิดขึ้นหลากหลายต่างๆ จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะและดับไป จิตที่ดับไปนั้นไม่กลับมาอีกเลย ไม่ซ้ำเลย แต่การดับไปของจิตขณะก่อน เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย

    ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ จิตนับไม่ถ้วน เมื่อเช้านี้เห็นอะไรบ้าง ลิ้มรสอะไรบ้าง ได้ยินเสียงอะไรบ้าง คิดนึกอะไรบ้าง เป็นจิตทั้งหมด เท่าไหร่แล้ว นับได้ไหม

    ผู้ฟัง นับไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ นับไม่ถ้วน รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา รู้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ของเรานับไม่ถ้วนแค่ไหนเฉพาะเมื่อเช้านี้ เเล้วยังมีตั้งแต่เกิดในชาตินี้ จนถึงเกิดในสังสารวัฏฏ์ ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การที่เราพิจารณาไตร่ตรอง เห็นประโยชน์ของพระธรรมแต่ละคำ จะนำไปสู่ความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น เพราะความเข้าใจเท่านั้นที่จะละความไม่เข้าใจ

    ความรู้ถูก ความเห็นถูก ละความไม่รู้ อย่างอื่นไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้เลย ถ้ายิ่งเข้าใจมากขึ้นความไม่รู้น้อยลง การละคลายการยึดถือว่าเป็นเราก็ต้องน้อยลงไป เป็นหนทางเดียว มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ถ้าเพียงแต่สองสามคำแล้วเราก็รู้ได้ พระองค์ไม่ได้ให้ใครไปปฏิบัติธรรมที่ไหนเลย ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาล มีแต่คนไปเฝ้า ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน แล้วแต่ว่าจะเป็นภิกษุ หรือว่าจะเป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมแล้วเข้าใจ มีใครบังคับให้ไม่เข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทุกคนที่ฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจเป็นธรรม หรือเป็นเรา

    ผู้ฟัง เข้าใจก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม อยู่ที่ไหนก็ยังเข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ กลับไปบ้านไม่ใช่ลืมเลย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไปสู่สำนักปฏิบัติแล้วถึงจะจำได้ ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะรู้ว่า ตรงนั้น ขณะนั้น สิ่งนั้นเป็นธรรม นี่คือ ความมั่นคงของการฟัง กว่าจะถึงปฏิปัตติ ที่สามารถจะรู้เฉพาะตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ โดยความไม่ใช่เราทำ เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจว่าธรรม จะรู้ความหมายของคำว่า อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ อะ แปลว่า ไม่ อัตตา ตัวตน อนัตตา คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดปรากฏว่ามี ชั่วขณะที่แสนสั้น แล้วดับไป เสียงดับไปแล้ว ก่อนมีเสียงก็ไม่มีเสียง แล้วเสียงก็เกิดขึ้น แล้วเสียงก็ดับไป ดับที่นี่ให้เข้าใจด้วยว่า กลับมาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์ เราจะกลับไปเป็นคนก่อนในชาติก่อนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชาติหน้าเราจะเป็นคนนี้ อย่างนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราเป็นคนนี้ได้แค่ชาตินี้ ชาติเดียว ชาติหน้าเป็นอะไร ใครรู้

    ผู้ฟัง ไม่มีใครรู้

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเกิดไหม

    ผู้ฟัง ต้องเกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะมีปัจจัย ไม่ใช่มีใครไปทำ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมต้องเข้าใจมั่นคงว่า เรากำลังศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เรา ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจละเอียดมั่นคงขึ้นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต้องตามลำดับจริงๆ ว่า ต้องฟัง เข้าใจมั่นคง ไม่ไปที่ไหน ไม่ทำอะไร เพราะขณะทำอะไรนั้นเข้าใจธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แต่ ฟังคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจ ความเข้าใจที่มีค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหนสิ่งที่เข้าใจแล้วไม่ลบเลือน สามารถที่จะเกิดอีก เข้าใจอีกต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครเข้าใจว่า นี่เป็น ปริยัติธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติ ถูกต้อง

    แต่ปฏิบัติไม่ได้ถ้าไม่มีปริยัติ เพราะเหตุว่า คำว่า ปริยัติ หมายความว่า ความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ทุกคำสอดคล้องกันหมด เป็นสัจจธรรม มั่นคงอย่างนี้ อยู่ตรงนี้สามารถที่จะเข้าใจธรรม สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ โดยความเป็นอนัตตา โดยไม่ได้หวัง ไม่ได้ตระเตรียม ไม่ได้ไปทำอะไร ถ้าทำ คือ เราทำ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้ เป็นสัจจญาณ ความรู้จริง จริงในความเป็นธรรม ซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุด ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จึงสามารถที่จะมีสภาพธรรมที่เป็นสติสัมปชัญญะ การรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา เพราะเข้าใจถูกต้อง เดี๋ยวนี้เอง

    ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ไปที่ไหนก็ไม่สามารถที่จะมีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งกำลังเข้าใจ คือ เข้าถึง ปฏิ ปัตติ ปฏิ แปลว่า เฉพาะหนึ่ง เวลานี้เห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดก็มี จำก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี แต่ละหนึ่งหมดแล้ว ยังไม่มีสภาพธรรมที่ถึงเฉพาะหนึ่ง ที่จะเข้าใจในลักษณะที่เป็นธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิบัติเกิดไม่ได้เลย ซึ่งถ้ามีความเข้าใจมั่นคงว่า ปฏิบัติคือไม่ใช่เรา หรือใครไปทำที่ไหนเลยทั้งสิ้น แต่เป็นความเข้าใจธรรมที่มั่นคง ที่สามารถที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด ระลึกโดยความเป็นอนัตตา ก่อนเกิดไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด แต่เกิดเพราะเข้าใจมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะนี้กำลังคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง กำลังคิด

    ท่านอาจารย์ เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ใช่ไหม แต่รู้เฉพาะสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ นั่นคือ ผู้ตรง ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้อง ไม่สามารถที่จะไปบังคับให้สติเกิดได้ ไม่เข้าใจผิดว่าไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วสติจะเกิด ไม่ใช่ว่าใครบอกให้สติเกิดแล้วสติก็เกิด เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจอย่างนั้นคือผิด ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจในคำเพียงคำเดียวที่ตรัสแต่มีความลึกซึ้งว่า ธรรม

    ธรรม ต้องเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ แต่มีลักษณะเฉพาะหนึ่งๆ แม้จิต ธาตุรู้ เกิดขึ้นเห็นหนึ่งขณะดับ ไม่กลับมาอีกเลย ได้ยินเกิดหนึ่งขณะดับ ไม่กลับมาอีกเลย คิดแต่ละหนึ่งขณะดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่การดับไปของจิต เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด

    ด้วยเหตุนี้ จะมีจิต ๒ ขณะพร้อมกันไม่ได้ในแต่ละหนึ่งคน มีจิตเพียงหนึ่งขณะ ซึ่งต้องดับไปก่อน การดับของจิตก่อนเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด เพราะฉะนั้น จิตขณะต่อไปดับ ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ฟังธรรมเข้าใจ จิตดับแล้วใช่ไหม เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด สิ่งที่เข้าใจในจิตขณะก่อนก็ติดตาม สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราไม่ต้องเรียกว่า ชวนะ ก็ได้ แต่ไม่ใช่เห็น เห็นเป็นผลของกรรม ซึ่งไม่มีใครรู้เลย ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้เลย ถึงเวลาที่กรรมให้ผล ต้องเห็น ไม่อยากเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเลย ต้องเห็น สิ่งที่ปรากฏน่าพอใจมาก ต้องเห็น ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วคือ ต้องเห็น ไม่ว่าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ก็แล้วเเต่กรรมถึงวาระที่จะให้ผลเกิดขึ้น ต้องเห็น

    เพราะฉะนั้น กรรมมี ๒ อย่าง อกุศลกรรมไม่ดี ให้ผลเป็นทุกข์ กับกุศลกรรม การกระทำที่ดี ให้ผลเป็นสุข ต้องรู้ว่ากรรมคืออะไร และผลของกรรมคือเมื่อไหร่ ไม่อย่างนั้นก็ฟังธรรมแค่พูด กรรมให้ผล ผลที่เกิดเกิดจากกรรม แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เป็นกรรม ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นกรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกรรม

    ท่านอาจารย์ นั่งอย่างนี้ ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย เป็นกรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะว่ากรรมไม่ใช่กิริยาอาการ แต่เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ที่เป็นกรรมก็คือ ขณะที่เป็นกุศล หรืออกุศล ที่กระทำการงาน ทางกาย หรือทางวาจา หรือทางใจ คิดชั่ว เริ่มดำริที่จะทำ มิฉะนั้นถ้าไม่คิดชั่ว กรรมชั่วมีไม่ได้ ใช่ไหม ขณะที่จิตคิดชั่วที่จะทำ เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ชั่วตั้งแต่คิด ถ้าจิตไม่ชั่ว การกระทำทางกายวาจาชั่วไม่ได้ ถ้าจิตไม่ดี ไม่งาม ไม่เป็นกุศล กายวาจาที่เป็นกุศลก็เกิดไม่ได้

    เราฟังเรื่องของตัวเราทั้งหมด และเมื่อมีความเข้าใจในธรรม ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก รูป คนอื่นก็เหมือนกัน ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเข้าใจในความเป็นธาตุ แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ธาตุมีเท่าไหร่ จากการคิด การฟัง สามารถที่จะตอบได้ ธาตุมีเท่าไหร่ ธาตุ คือสิ่งที่มีจริง จิตก็เป็นธาตุรู้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของจิตได้เลย คำว่า ธาตุ หมายความว่า สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอื่นได้เลย จึงเป็นแต่ละธาตุ แข็งมีจริง เป็นธาตุหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธาตุ

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหมด เป็นธาตุทั้งหมด สิ่งที่มีจริงมีจริง มีจริงๆ ในภาษาไทย เพราะฉะนั้น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ทุกวันตั้งแต่ตื่นมา เราพูดคำว่าธรรมหรือเปล่า ใครคิดว่าพูด ยกมือ ใครไม่ได้พูดคำว่า ธรรม ตื่นมาก็แก้วน้ำอยู่ไหน โต๊ะอยู่ไหน ใครอยู่ไหน ไม่มีคำว่าธรรมเลย แต่ทั้งหมดเป็นธรรม คิดดู เพราะฉะนั้น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงซึ่งถูกปกปิดไว้

    ด้วยเหตุนี้ คนที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งที่ได้ฟังจากพระโอษฐ์ ฟังแล้วมีความเข้าใจเมื่อไหร่จึงกล่าวว่า เหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนจุดประทีปในที่มืด เหมือนบอกทางแก่คนหลง เขาเข้าใจ เขารู้ว่า ธรรมเดี๋ยวนี้จริง จิต เจตสิก รูป กำลังเกิดดับสืบต่อทำการงาน แต่ใครรู้ เหมือนคว่ำไว้ เห็นแต่สิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้นเลย ทางตาก็เป็นคน เป็นต้นไม้ เมื่อเช้านี้อากาศดีมาก มีคลอง มีสระ มีอะไรทั้งหมด นั่นคือ สิ่งที่จิตรู้ทั้งหมดเลย แต่ตัวจิตไม่ได้ปรากฏ เหมือนถูกคว่ำไว้

    เพราะฉะนั้น โลกถูกคว่ำไว้ โดยจิต เจตสิก เกิดขึ้นทำกิจการงาน โดยไม่มีใครรู้เลย แต่มีสิ่งที่ถูกจิตรู้ทั้งนั้นที่ปรากฏ จิตขณะนี้ปรากฏไหม มีก็ไม่รู้ ยังถูกคว่ำอยู่ ยังถูกปิดอยู่

    พระธรรม คือ แสงสว่างที่จะส่องทางให้เข้าใจสิ่งที่ถูกปกปิด จึงเหมือนหงายของที่คว่ำ หงายยากไหม คว่ำไว้ เปิดยาก เปิดของที่ปิดสนิทมากี่ชาติ ไม่ใช่ชาติเดียว กว่าพระธรรมแต่ละคำนี้จะสามารถเปิดออกได้ ก็ต้องมีการฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ซึ่งความเข้าใจนี้กำลังจะค่อยๆ จะเปิดสิ่งที่ปิด กำลังจะบอกทางแก่คนหลง หลงไปสำนักปฏิบัติ จะกลับมารู้สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ไหม ไม่ต้องไปไหน ถ้าไม่รู้ คือ ปัญญาไม่พอที่จะรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญาไม่พอที่จะรู้ ทางไหนที่ปัญญาจะเข้าใจขึ้นอีกได้ ปัญญา คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรม ก็ไม่มีทาง

    ดังนั้น คนที่ไปสำนักปฏิบัติประมาท ลบหลู่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่ต้องอาศัยคำของพระองค์ก็ไปปฏิบัติได้หรือ นั่นเชื่อใคร นั่นคิดเองหรือเปล่า ดูหมิ่นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มีจริงเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับ เกิดขึ้นและดับไป

    เพราะฉะนั้น สติ สัมปชัญญะ และปัญญาก็ต้องเป็นอนัตตาด้วย ใครจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าไปสู่สถานที่หนึ่ง ปิดประตูแล้วสติก็เกิด เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นคนมีเหตุผล ต้องไตร่ตรอง นี่คือความเป็นมงคลของการสนทนาธรรม เพราะทำให้เข้าใจสิ่งซึ่ง ถ้าไม่สนทนาจะเข้าใจไหมว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีเรา ไม่มีเราไม่ว่าจะสมัยไหน ยุคไหน กาลไหน กี่ชาติมาแล้วก็เป็นธรรมทั้งหมด และใครเข้าไปห้ามธรรมเกิดไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้จิตเกิดแล้ว เจตสิกเกิดแล้ว รูปเกิดแล้ว แล้วก็ดับไปด้วยอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วธรรมใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว

    เมื่อวานนี้ คุณวินัยนั่งอยู่ตรงนี้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ ก็คุณวินัยนั่งอยู่ตรงนี้ เป็นคุณวินัยเมื่อวานนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย กว่าจะสามารถเข้าใจได้ถูกต้อง คิดดู ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์ของใคร ของผู้ที่ฟังด้วยความเคารพในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นกัลยาณมิตร ให้สิ่งที่จริง ที่ถูก ที่ประเสริฐที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นมิตรที่ดี กัลยาณ ดีงาม เป็นมิตรที่ดีก็คือ หวังดีต่อคนอื่น ให้เขาได้เข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่พูดนี้ถูกหรือผิด ถ้าเป็นคำที่ถูกต้องก็มาจากความหวังดี ใช่ไหม จึงกล่าวทุกคำที่เป็นความจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจ ได้ไตร่ตรอง ได้พิจารณาว่า ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่จะให้ได้ ถ้าให้ข้าว ให้อาหาร ให้เครื่องนุ่งห่ม ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็หมดไป แต่ว่าถ้าให้ความจริง ความถูกต้อง เขาจะไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เขาจะโกรธก็ไม่เป็นไร เขาจะว่าเราประการใดๆ ก็ไม่เป็นไร นั่นคือเขา แต่เราเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ที่จะให้สิ่งที่ดีกับทุกคน คือ พูดคำจริงทุกคำ สามารถที่จะไตร่ตรอง สนทนาได้ คัดค้านได้ถ้าไม่เห็นด้วย เพราะว่าจะทำให้เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น สัจจบารมี เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    7 ก.ย. 2568