ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
ตอนที่ ๑๑๗๓
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่
วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีความหวังดีที่สุดที่ไม่หวั่นไหว ขอให้ใครก็ได้ที่ไม่ได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรมในชาตินั้น แล้วก็จะเป็นประโยชน์ในชาติต่อๆ ไปด้วย อีกนานในสังสารวัฎฏ์เหมือนที่ผ่านมาแสนนาน แต่ก็ไม่รู้อะไรเลย ได้แต่เกิด แล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย ตายไปก็หมด จบไป แค่เมื่อวานนี้ในห้องนี้มีคนที่นั่งเต็มอย่างนี้ ไปไหน ไปไหนกันมา หรือไม่มีเลย มีแต่ขณะที่เกิดดับสืบต่อ จนเหมือนกับว่ากลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง และก็ออกไปข้างนอก กลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนคนเดิม ใช่ไหม แต่ความจริงหาเป็นอย่างนั้นไม่ เร็วกว่านั้นอีก ไม่มีอะไรเลย นอกจากจิต สภาพรู้เกิดขึ้น กำลังเห็น กำลังได้ยิน ออกไปข้างนอกก็เห็น อยู่ข้างในก็เห็น ออกไปข้างนอกก็ได้ยิน อยู่ข้างในก็ได้ยิน แต่ได้ยินแต่ละหนึ่งขณะ ไม่เหมือนกัน ข้างนอกกับข้างในเสียงคนละอย่าง สิ่งที่ปรากฏคนละอย่าง เห็นคนละอย่าง คิดคนละอย่าง ดับหมดจนถึงขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง
ผู้ฟัง พอเริ่ม
ท่านอาจารย์ ฟังต่อไปอีกใช่ไหม เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้รู้ได้เลย อยู่ในความมืดจริงๆ ต่อไปนี้ก็ค่อยๆ มีแสงสว่าง แต่จะสว่างมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงสว่าง ไม่เข้าใจต้องมืด
ผู้ฟัง ผมเคยได้ยินได้ฟังมาคำว่าธรรมอะไรอย่างนี้ พอมาฟังของท่านอาจารย์แล้วมันเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้เราลึกซึ้งมากกว่าที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา
ท่านอาจารย์ ก่อนฟังธรรมมีเห็น ฟังธรรมแล้วก็มีเห็น เห็นตัวเห็นนี่ก่อนฟัง กับตัวเห็นหลังจากที่ฟังแล้วเหมือนกันไหม หรือต่างกัน
ผู้ฟัง เห็นก็เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นยังคงเป็นเห็นตลอดไป เห็นเป็นอื่นไม่ได้ ต่างกันไหมกับก่อนฟังกับหลังฟังแล้ว เพราะเห็นไม่ต่างเลย เห็นก็ยังคงเป็นเห็นไปตลอดตั้งแต่เกิดมา
ผู้ฟัง แต่ต่างตรงที่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ ต่างกันตรงที่ความเข้าใจ ต้องเข้าใจด้วยว่าต่างตรงที่ความเข้าใจซึ่งไม่เคยเข้าใจเห็น ก่อนฟังเห็นเป็นเราเห็น แต่ฟังแล้วเห็นมีจริงไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ แต่คำที่ฟังแล้วคิดแล้วว่าเข้าใจก็ยังคงจะมีความลึกซึ้งต่อไป เพราะว่าเราจะได้ยินบ่อยๆ ศรัทธาโน่น ศรัทธานี่ แต่ว่าศรัทธาจริงๆ คืออะไร คิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระปัญญาที่ตรัสรู้ธรรมอย่างละเอียดยิ่งแต่ละหนึ่งว่าปะปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นศรัทธาคือสภาพของจิตที่ผ่องใส เพราะไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อกุศลเจตสิกกับกุศลเจตสิกจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ จะพยายามปรองดองกันสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ถูกคือถูก ผิดคือผิดเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้ ถ้ายังคงคิดว่าผิดเป็นถูกก็แก้ไม่ได้ แต่ผิดต้องผิด แล้วก็ถูกก็ต้องถูก เพราะฉะนั้นศรัทธาไม่ให้เป็นอกุศลเพราะขณะนั้นผ่องใสจากโลภะ จากโทสะ จากโมหะ และจิตที่ผ่องใสนี่แค่ไหน กว่าจะได้พวงมาลัยสักพวงหนึ่ง แล้วก็ยังกระติกน้ำอีกใช่ไหม แล้วก็ยังเดินทางมาอีก
เพราะฉะนั้นไม่ใช่คุณเทพไท แต่เป็นกุศลธรรม ธรรมฝ่ายดี ซึ่งขณะนั้นต้องไม่ขี้เกียจ ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดว่าลำบากใช่ไหม แต่ก็ขณะนั้นสามารถที่จะมีจิตผ่องใส ปราศจากโลภะโทสะโมหะได้ แต่ว่าเราเข้าใจธรรมเพียงเรื่องราวของธรรมชื่อของธรรม แล้วก็คิดเองมากมาย เรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ศรัทธาหรือเปล่า นั่นศรัทธาหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคนตรงๆ ศรัทธาต้องขณะที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ จำไว้เป็นหลักเลย แต่ปัญญาเรายังไม่ถึงว่าขณะไหนไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อาจจะไม่มีโทสะแต่มีโลภะ อาจจะไม่มีโลภะ โทสะ แต่มีโมหะ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแต่ละคำนี่ต้องละเอียด ต้องไม่มีทั้งโลภะโทสะและโมหะจึงเป็นศรัทธา
เพราะฉะนั้นจะมากจะน้อยอยู่ที่ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริง เมื่อรู้แล้วความไม่รู้ก็น้อยลง เพราะรู้ขึ้นค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แต่ไม่ใช่เป็นผู้ที่หวังว่าจะรู้ธรรมว่าเราจะเป็นพระอริยบุคคล นั่นคือหนทางผิด เพราะปัญญาไม่หวัง ปัญญารู้ว่าหวังไม่ได้ จะหวังอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งเกิดตามที่เราหวัง เราคิดได้ว่าเราจะกลับสุรินทร์ แต่อาจจะไปแวะที่ไหนก็ได้ใช่ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นก็เมื่ออะไรเกิดขึ้น ปัญญาที่เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมดา มาจากคำว่า "ธรรม" กับ "ตา" "ตา" คือความเป็นไปของธรรม ธรรมต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่เดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากจะเกิดขึ้นต้องมีปัจจัย และปัจจัยนี่ละเอียดมาก และไม่ใช่ปัจจัยเพียงแค่ขณะนั้น ไม่ใช่เพียงแค่วันนั้น แต่สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ กว่าจะถึงวันนี้แต่ละหนึ่งขณะ
เพราะฉะนั้นข้างหน้าอีกยาวไกล การฟังวันนี้ก็จะทำให้สามารถเข้าใจความละเอียดแล้วก็ค่อยๆ ถึงความไม่ใช่เราตามลำดับขั้นของปัญญา ตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งขั้นสูงขึ้น ซึ่งยังไม่ได้พูดถึงสติ แต่ชาวบ้านก็พูดกันหมดเลย จะถูกหรือจะผิด เพราะฉะนั้นไม่ประมาทเลย แต่ละคำศรัทธาก็ไม่ประมาท สติก็ไม่ประมาท แต่ละคำเป็นการแสดงความจริงของสิ่งที่มีที่ลึกซึ้ง และเพียงครั้งเดียวเกิดแล้วดับแล้ว รู้ยากแค่ไหน อันใหม่ไม่ใช่อันเก่าแล้ว เพราะฉะนั้นไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เมื่อเป็นปัญญาถึงระดับ ไม่ต้องกังวลว่า เอ๊ะ เราจะไปดีหรือไม่ดี เราจะรับประทานร้านนี้ดี หรือร้านนั้นดี นั่นคือคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่แค่เห็น ไม่มีอะไรจะละความเป็นเรา เพราะยังไม่รู้ เราคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องละความเป็นตัวตน แล้วตัวตนอยู่ไหนล่ะ ก็เดี๋ยวนี้ที่เห็นนั่นแหละ ละหรือยังว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่มีทางเลย แค่คิด แค่เข้าใจ ยังอีกไกล ด้วยความไม่หวัง นี่ยากที่สุด คือถ้าเป็นตัวตน ไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่ง ๑๐ วัน ไปเดิน ๓ ชั่วโมง ไม่มีทางเลย เพราะเราต่างหากที่ทำ ไม่มีการเข้าใจว่า ละความเป็นตัวตนจากเห็นที่กำลังเห็น ได้ยินที่กำลังได้ยิน
เพราะฉะนั้นก็มีความเคารพสูงสุด ว่าพระธรรมลึกซึ้ง ต้องฟัง และพิจารณาไตร่ตรองด้วยการละความเป็นเรา ไม่ใช่ฟังเพื่อเราจะได้ไปเดินสัก ๑๐ นาที จะได้นั่นได้นี่ นั่นก็คือว่าทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น
คุณเทพไทมีอะไรจะถามหรือว่ามีแต่เกรงใจ และไม่รู้ว่าเกรงใจคืออะไร เห็นไหม ทุกคำเราจะพูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด เพราะสภาพธรรมเกิดดับไม่ใช่เพียงหนึ่ง รวมกันเกิดขึ้น แต่ปรากฏเพียงหนึ่ง เหมือนเห็น แต่สิ่งที่ปรากฏนี่อยู่ที่ไหน ไม่ได้มีแต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อาหารอร่อย รสอร่อย ยังมีอย่างอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย แต่เพียงรสอร่อยที่ปรากฏ แสดงว่าความไม่รู้ของเรานี่ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย ถ้าไม่ฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้
สภาพธรรมเกิดดับเร็ว เดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศล เพราะฉะนั้นต้องละเอียดจริงๆ เราไม่ได้ดีใจที่เรารับประทานอาหารอร่อย แต่ดีใจที่จะได้พบคนที่สามารถทำให้เราได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ก็ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่สามารถที่จะบอกใจใครของใครได้ แม้แต่คนนั้นก็ต้องปัญญาเท่านั้น เพราะว่าเสร็จแล้ว ทำบุญแล้วดีใจ มาแล้วเร็วมาก คุ้นเคยเพื่อนสนิท ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เพราะเคยเป็นทาสของเขาทุกประการ ให้ทำอะไรทำ อยากได้อะไรหามาได้ทุกอย่าง รับใช้ด้วย เป็นทั้งศิษย์เป็นทั้งอาจารย์ เพียงแค่คิดอาจารย์ดับแล้ว ศิษย์ตามเหมือนเป๊ะ ไม่ว่าจะให้ทำอะไร จะใส่น้ำตาลจะใส่เกลือ เล็กน้อยสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นกิเลสมากมายมหาศาล ไม่ต้องไปคิดที่จะเป็นตัวตนที่จะไปละ แต่รู้ว่าเป็นธรรมเท่านั้นทั้งหมด ธรรมฝ่ายที่เป็นกุศลเป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศลเป็นอกุศล นอกจากปัญญาไม่มีอะไรละกิเลสได้
เพราะฉะนั้นในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด แต่ปัญญาตามลำพังก็เกิดไม่ได้ ต้องอาศัยโสภณสภาพธรรมที่ดีงาม ซึ่งไม่ใช่เราทั้งหมดเลย ค่อยๆ ละความเป็นเราโดยเข้าใจขึ้น ถ้าไม่เข้าใจก็ยังคงเป็นเรา
สนทนาธรรมที่บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์ วันที่๑๒ มกราคมพุทธศักราช ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ก็เป็นบุญของทุกท่านที่ได้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
ผู้ฟัง ทุกขณะเป็นธรรม ไม่ว่าเห็น ได้ยิน ใช่ไหมท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ พูดตามไปอีกนาน แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้งว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ต้องรู้ว่าความจริงก็คือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้เลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมก็คือว่าเริ่มรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ว่าอีกนานมากกว่าจะเดี๋ยวนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังต่อไป แล้วรู้ว่าขณะอื่นไม่ใช่ธรรม
ผู้ฟัง ทุกๆ ขณะที่เสียงปรากฏจิตรู้แจ้งอย่างนี้ไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ ยังไม่แจ้ง แต่เริ่มเข้าใจถูก เดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่จะต้องเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนกว่าจะเป็นธรรมตรงตามที่ได้พูดทั้งหมดเลย เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ฟังไปเป็นปกติ ธรรมเป็นปกติ กำลังปรากฏเป็นปกติ แต่ว่าความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนเป็นปกติ
ผู้ฟัง เสียงปรากฏก็รู้แจ้งเสียง
ท่านอาจารย์ เข้าใจให้ถูกต้องว่าขณะนั้นเสียงเกิด
ผู้ฟัง เสียงเกิด ก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เสียงเป็นเสียง ขณะนั้นสภาพรู้ไม่ใช่เสียง ไม่มีอะไรเลยนอกจากนั้น ไม่ใช่ไปท่อง
ผู้ฟัง ไม่ใช่ท่อง แต่เสียงเกิด เสียงเกิดก็จิตรู้แจ้งเสียง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จิตรู้เสียงท่อง แต่ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ไม่ใช่เรา ต้องค่อยๆ ต่อไปทีละเล็กที่ละน้อย เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ตอนที่เสียงดัง และก็จิตรู้แจ้งนี่ไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ ไม่มีคำว่าไม่ใช่หรือ ฟังธรรมทุกคนฟังแล้วเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ฟังอีกไตร่ตรองอีก แต่ละคำเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เช่น..
ผู้ฟัง ขณะนี้ก็เห็น
ท่านอาจารย์ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าไม่ใช่เราเห็น เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ตรงที่เห็น
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน ไม่ใช่เราเห็น
ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่มีจริง เพียงแค่เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นเห็นไหม อาศัยเพียงแค่ไม่กี่คำ แต่ความเข้าใจต้องชัดเจน ไม่ใช่แค่จำ แล้วพูดตาม แต่ก็ยังเข้าใจถูกต้องว่าธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ความรู้ของพระองค์มากมายมหาศาลแค่ไหนในแต่ละคำ แม้แต่ในเสียง แม้แต่ในได้ยิน แม้แต่คิด แม้แต่จำ หนึ่งขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปรุงแต่งขณะต่อไปไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของแต่ละสิ่ง และปัญญาเทียบกันได้ไหม
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมง่ายๆ รวดเร็ว คิดว่าเพียงแค่ฟังเข้าใจแล้ว เป็นไปไม่ได้เลย เป็นเรื่องละ เป็นเรื่องเข้าใจเท่านั้น เป็นเรื่องของปัญญา มีสิ่งที่มีเป็นปกติตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่เข้าใจมานานเท่าไหร่ ก็เป็นอย่างนี้ทุกชาติ เห็นก็เห็นอย่างนี้ จำก็จำอย่างนี้ คิดก็คิดอย่างนี้ สุขก็สุขอย่างนี้ ทุกข์ก็ทุกข์อย่างนี้ ไม่ต่างกันเลยสักชาติ แต่ไม่รู้ นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังเท่านั้น เพราะเหตุว่าการฟัง ฟังแล้วก็เข้าใจ
อ.อรรณพ ประเด็นที่ทำให้คนชอบไปท่องกัน อย่างเด็กๆ นี่ให้สอนเรื่องท่องสูตรคูณ
ท่านอาจารย์ ท่องสูตรคูณไม่ใช่เข้าใจธรรม
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็บอกว่าไม่เข้าใจหรอก แต่ให้ท่องไปก่อน
ท่านอาจารย์ จะใช้แบบเดียวกันได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้ แต่ว่าคิดว่าได้
ท่านอาจารย์ ก็คนที่ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ คนนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร ดิฉันว่าโลกมี ๒ โลก โลกหนึ่งคือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกโลกหนึ่งเคารพในพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าแต่ละคำไม่ใช่คำของคนอื่นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นใครจะเข้าใจคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่ฟังและพูดตาม
เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลก แต่เราสามารถที่จะช่วยให้คนได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะเข้าใจถูกต้องเห็นประโยชน์ หรือว่าเขาสะสมมาที่จะไม่สนใจ เขาคิดว่าเขานับถือ ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทมี ๔ ในครั้งโน้น ยุคนี้ก็มี ๓ ถ้าปรองดองก็คือว่าสามารถที่จะช่วยกันรักษาดำรงพระศาสนา แต่ด้วยการเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการศึกษาเข้าใจคำของพระองค์ ก็จึงจะเป็นการที่ดำรงรักษาพระศาสนาไว้ได้ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำลายพระศาสนา พวกที่ศึกษาก็ศึกษาไป พวกทำลายก็ทำลายไป
เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าห้ามใครจะได้หรือ ห้ามน้ำไม่ให้ไหล ห้ามไฟไม่ให้ไหม้ ก็ไม่ได้ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ฟังไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม การสะสมจะทำให้เขาสามารถเปลี่ยนได้ ตั้งหลายคนบวชแล้วก็สึก ถ้าเขารู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยได้ แต่เขาฟังธรรมได้ค่อยๆ เข้าใจได้ เป็นผู้ที่ตรง ก็แล้วแต่ของแต่ละหนึ่งคน แต่ขอให้เราที่ได้เข้าใจธรรมจากการศึกษาได้พูดความจริง ให้คนอื่นได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าเรามุ่งหวังที่จะไปให้เขาเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะว่าเปลี่ยนไม่ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองพวกเดียรถีย์มากมายมีเดียรถีย์ไหนบ้างที่มาเฝ้ามาฟังธรรม มีแต่มาว่ากล่าว มาติเตียนพระองค์ด้วยความไม่รู้
ผู้ฟัง เมื่อเรามีความไม่มั่นคงในความเข้าใจธรรม ก็จะสับสนว่า แล้วรู้จริงๆ นี่มันเป็นอย่างไร อย่างเช่น เมื่อโกรธเกิดขึ้นเรารู้หรือ
ท่านอาจารย์ เข้าใจผิด คิดว่าพระธรรมให้ทำ เวลาโกรธแล้วต้องทำอย่างไร จะให้มีสติ หรือจะให้ทำอย่างไร แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย หมายความว่าเราไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะเหตุว่าจากไม่มีอะไรเลย แล้วก็เกิด มีแล้ว เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เพราะไม่รู้ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เริ่มจากไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เห็นไหม ทั้งหมดนี่ทั้งวันทุกวันไม่รู้ว่าคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นปกติมานานแสนนาน จนกระทั่งได้ยินได้ฟังคำที่เริ่มเข้าใจถูก ใช้คำว่าเริ่ม เข้าใจว่าจริงๆ แล้วสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีเดี๋ยวนี้ต้องเกิดขึ้น ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อนำไปสู่ไม่มีเรา และไม่ใช่เราแต่จะไปบอกใครตั้งตนว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเราเขาจะรู้ได้อย่างไร มันมีมานานแล้ว เชื่อมานานแล้ว จำมานานแล้วว่าเรา ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นค่อยๆ ให้เขาไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่ต้องมาก ทีละเล็กทีละน้อย แต่เป็นความเข้าใจของเขา ที่จะรู้ว่าปัญญาไม่ใช่ว่าไปฟังแล้วก็ทำเลย ให้มีสติก็ให้มีสติ โกรธแล้วก็อย่าไปอย่างอื่นนะ ให้รู้ว่าขณะนั้น นั่นไม่ใช่ แค่นั้นไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคำของคนอื่น จะไม่ใช้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญาของคนที่ได้ฟัง แต่คำของพระพุทธเจ้าให้ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งมั่นคง จริงหรือเปล่า ไม่ได้บอกว่าให้ทำอย่างนั้นแล้วจะมั่นคง ให้ฟังบ่อยๆ แล้วจะมั่นคง ให้ถามบ่อยๆ แล้วจะมั่นคง ไม่ใช่ แต่กำลังฟังนี่ฟังด้วยความเคารพ ว่าจริงไหม พูดถึงเรื่องเห็น ไม่รู้เห็นเป็นอย่างไร จริงหรือเปล่า ไม่ใช่พอได้ฟังก็รู้เลย เห็นไม่ใช่เรา มาเลยเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องฟังจนละเอียดจนกระทั่งรู้ว่าความเป็นเรานี่มากไปมหาศาล นานแสนนานมาแล้ว แล้วจะออกไปหมดไม่เหลือเลยนี่ ความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ที่สามารถจะทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังคำซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาเลยในชีวิต แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนสามารถประจักษ์แจ้งอย่างที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้ง
เพราะฉะนั้นการประจักษ์แจ้งไม่ใช่ขั้นฟัง แต่จะนำไปสู่การประจักษ์ว่าทุกคำที่ได้ยินเป็นความจริง เกิดแล้วดับแน่ๆ ถ้ายังไม่ถึงระดับนี้ ก็เป็นเราที่ฟัง เพราะว่าไม่ประจักษ์การเกิดดับ แต่ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากไม่มีแล้วเกิดขึ้น ที่ฟังมาแล้วทั้งหมดรู้เลย ไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย แต่คำนี้ สิ่งที่มีขณะนี้เกิดขึ้นไม่มีใครไปทำให้ได้ ผ่านหู จนกว่าจะถึงขณะที่สภาพธรรมปรากฏ พิสูจน์แล้วใช่ไหม สิ่งนี้เกิดโดยไม่มีใครทำ
เพราะฉะนั้นปัญญาแต่ละขั้นนี่ ก็จะตรงตามที่ได้ฟังว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริง จากการที่ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่อย่างนั้นจะพูดได้อย่างไร ก็แค่คิด ก็แค่ไตร่ตรอง คนฟังก็คิดตาม ไตร่ตรองตาม รู้ตามได้แค่นั้น แต่นี่นำไปสู่การที่จะดับกิเลส ไม่ใช่ว่าระงับกิเลสอย่างที่ชาวบ้านสอนให้ไปทำอะไรต่างๆ ใช่ไหม เราก็ใช้ชื่อ อ้างชื่อต่างๆ แต่ไม่เข้าใจว่าแต่ละคำนี่เป็นคำของใคร เป็นคำของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าใครรู้ พระองค์ตรัสรู้ ไม่ใช่ว่าเราไปรู้อย่างที่พระองค์ตรัส แต่คำนั้นมาจากที่พระองค์ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าอนุพุทธ สาวกคือผู้ฟัง สามารถจะเข้าใจได้ ไม่มีกฎไม่มีหลักเกณฑ์ว่าพอโกรธขึ้นมาให้ทำอย่างนั้นให้สติมาหรืออะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เลย นั้นไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่เป็นตัวตนทั้งหมด แล้วจะเอาตัวตนไปละตัวตนได้อย่างไร
ให้ทราบว่าเป็นเรื่องละเอียด ให้ทราบว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง ให้ทราบว่าเป็นเรื่องที่หมักหมมสะสมมานานแสนนานประมาณไม่ได้เลยว่าสังสารวัฏฏ์ก่อนๆ นี้เท่าไหร่ และยังจะเป็นต่อไปอีกข้างหน้าเท่าไหร่ และดับเหตุที่จะให้เกิด ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นฟังแต่ละคำนี่ ถ้ามีความเข้าใจก็จะค่อยๆ มั่นคง
อ.อรรณพ อะไรคือเครื่องกั้น แล้วก็กั้นตอนไหน กั้นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เราอยู่ไหน
อ.อรรณพ เรานั่งอยู่ตรงนี้
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างหมดเลย ไม่เหลือเลยสักนิดที่ไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ ทุกอย่างหมดเลย ไม่เหลือเลยสักนิดที่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ จำก็เรา คิดก็เรา อยากก็เรา มีอะไรเหลือที่ไม่ใช่เรา รู้อย่างนี้ดีกว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะรู้ความจริงว่านี้แหละยากเท่าไหร่ กว่าทรงแสดงขันธ์ ๕ อุปทานไม่เว้นอะไรสักอย่างซึ่งเกิดขึ้น เป็นที่ตั้งของความติดข้องทั้งหมด โดยไม่รู้ด้วย และนานแสนนานมาแล้วด้วย ไม่ใช่แค่วันสองวัน
อ.อรรณพ เป็นอุปาทานขันธ์หมด
ท่านอาจารย์ แค่ฟังคำนี้เห็นไหม ปัญญาของความเข้าใจระดับไหน สลดหรือเปล่าหรือยัง หรือแค่จำ ไม่ใช่คำอื่นเลย คำเดียวนี่แหละ เข้าใจขึ้นๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
