ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156


    ตอนที่ ๑๑๕๖

    สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ตรัสว่า ถ้าหวังที่จะเปลี่ยน หรือแก้ไข หรือยกเลิก จะทำอะไรก็ได้ ตัดทอนสิกขาบทที่คิดว่าเล็กน้อย ทำได้ แต่พระองค์รู้ว่าไม่มีใครทำ ผู้ที่รู้ความจริงเช่นผู้ที่กระทำสังคายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ได้กล่าวคำนี้เพื่อกาลข้างหน้า ซึ่งเมื่อมีใครกล่าวอย่างนี้ก็จะได้รู้ว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วเพื่อให้ภิกษุ ผู้ที่กระทำสังคายนาได้แสดงความชัดเจนว่า ไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่จะเปลี่ยนแปลง หรือว่าแก้ไขคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ที่ตรัสไว้ดีแล้ว ที่แม้เล็กน้อยสักปานใด ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้คุณและโทษดียิ่งกว่าพระองค์

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราคิดว่าเล็กน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุเว้น แสดงให้เห็นว่าในการที่จะขัดเกลากิเลส แม้การที่จะทำผิดพระวินัยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่สมควร เพราะเหตุว่า สิ่งที่เราคิดว่าเล็กน้อย จะนำมาสู่เหตุที่จะต้องกระทำต่อไปข้างหน้าที่ใหญ่กว่านั้นอีก

    ด้วยเหตุนี้ การกำจัดสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องไม่ประมาทว่า เล็กน้อยเพียงนิดเดียว คนที่เห็นโทษสามารถที่จะรู้ได้ว่า ภัยใหญ่ข้างหน้าเกิดจากการไม่เห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ถ้าใครยุคนี้คิดที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไข ตัดทอน ข้อความหนึ่งข้อความใด หรือเปลี่ยนสิกขาบท ผู้นั้นไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่รู้ว่า ไม่มีใครในสากลจักรวาล ที่จะรู้ความจริงในเรื่องเหตุและผลเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีเหตุผลอะไรที่จะเปลี่ยน

    เเละอีกประการหนึ่ง ลองพิจารณาธรรมดาๆ ถ้าเรามีปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ที่สอนเพียงเรื่องใหญ่ๆ หยาบๆ ว่าไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ กับผู้ที่ดูแลอย่างละเอียดอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ มีประโยชน์กว่าไหม ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้รู้ว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่าลัก อย่าขโมย อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ เป็นต้น แต่ไม่มีความเข้าใจความละเอียดของเหตุผลว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพียงแต่บอกว่าไม่ให้ทำ เเค่นั้นก็ไม่สำเร็จ เพราะเหตุว่าไม่ได้สอนให้รู้ว่าโทษของการทำสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน และเกิดจากอะไร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เป็นปู่ย่า ตายาย ดูแลลูกหลานอย่างละเอียด ลูกหลานคนนั้นก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีพร้อม งามพร้อม ฉันใด ลูกหลานก็ต้องรู้คุณของบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ที่เป็นอย่างนี้ได้ดีขึ้นๆ ทุกวัน ก็เพราะความเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดอย่างละเอียดยิ่ง นี่เป็นแต่เพียงข้ออุปมาธรรมดา แต่พระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยิ่งใหญ่กว่านี้มากสักแค่ไหน เพราะรู้ว่าสัตว์โลกมีกิเลสซึ่งสะสมมานานจนประมาณไม่ได้ แสนโกฏิกัปป์ ลองคิดดู เพราะไม่รู้ เพราะมีความติดข้อง เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ว่า แล้วจะละได้อย่างไร มีแต่ผู้บอกว่าไม่ดี แต่จะละได้อย่างไร ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ละไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์แจ้งอัธยาศัยของสัตว์โลกว่า มืดมิดด้วยความไม่รู้ หนาแน่นด้วยกิเลสซึ่งเป็นมลทินเศร้าหมอง ทรงอุปมาให้เห็นความน่ารังเกียจว่า เน่า แล้วก็มีกลิ่นคลุ้งด้วย แต่ถ้าไม่มีการที่จะรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ก็มองไม่เห็นเลยว่าแม้กิเลสเพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ

    เราเห็นโทสะ โทษมาก เราเห็นโลภะว่า เพราะโลภะนี้เองทำให้เราเกิดโทสะ เมื่อไม่ได้สิ่งที่เราพอใจก็ขุ่นข้อง จนกระทั่งทำทุจริตกรรมได้ แต่ทั้งหมดก็เพราะความไม่รู้ แล้วใครสามารถที่จะรู้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะของสาวก ซึ่งเคารพที่จะรู้ว่าพระธรรมทุกคำเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชีวิต ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน

    แต่เมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจ ลองคิดดู สมบัติใดจะเปรียบกับการที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเข้าใจธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ได้มีโอกาสได้รู้ ได้เข้าใจสิ่งซึ่งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติ เพราะเหตุว่าทรัพย์สมบัติไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป สูญหายไปบ้าง ถูกลักขโมยไปบ้าง ไฟไหม้บ้าง น้ำท่วมบ้าง แต่ความเข้าใจธรรมจะคงอยู่ สืบต่อสะสมเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่เข้าใจขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นคุณของการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท แม้เพียงเล็กน้อย เห็นคุณประโยชน์จึงสามารถที่จะรักษาพระวินัยได้ เป็นภิกษุในธรรมวินัย

    ผู้ฟัง อีกประเด็นหนึ่ง จะมีคำสอนอยู่กลุ่มหนึ่งที่บอกว่า การละความเพลินแล้วมาอยู่กับอะไรก็ตาม เช่น ลมหายใจ กาย หรืออะไรก็ตาม ใช้คำว่าดูจิตก็ได้ จะใช้ละนันทิอะไรก็ได้ เป็นไปได้ไหมที่เขาจะสามารถรู้ทันจนละกิเลสได้หมด

    ท่านอาจารย์ ใครรู้

    ผู้ฟัง ต้องตัวเองรู้

    ท่านอาจารย์ นั่นก็คือไม่รู้ เพราะเข้าใจว่ามีเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ดังนั้น ถ้าไม่รู้จักธรรมจะเข้าใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ใครรู้ ไปนั่งดูจิตเเล้วใครรู้ ก็คนนั้นนั่นเองซึ่งเข้าใจว่า มีเขาซึ่งกำลังดูจิต ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ละหนึ่งๆ แยกขาดจากกัน เช่น เรารวมกันว่าเป็นคนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า อากาศธาตุ ความว่างแทรกคั่นอยู่ทุกอณู ทุกกลาป เล็กมากเลย แยกสิ่งที่มีที่เป็นรูปหนึ่งรูปใดก็ตาม จะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ คน เสื้อผ้า หรืออะไรทั้งหมด ให้ละเอียดยิบจนแยกอีกไม่ได้ ระหว่างสองกลาป สองกลุ่มนั้นมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้น ก็แตกทำลายได้ เมื่อไหร่ก็ได้

    ทรงแสดงความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้จริงๆ ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมารวมกัน แต่ที่มารวมกันสามารถแยกออกได้หมด

    เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นเราก็คือ ไม่ใช่ตัวตนที่ยั่งยืนเลย เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่ทำให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นเรา เช่น ขณะนี้ เราอยู่ที่ไหน ซึ่งถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็จะมีคำสอนให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ โดยไม่ให้เข้าใจความจริงซึ่งค่อยๆ ละความเป็นเรา ไม่ใช่ไปดูเพราะเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจ

    สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วต้องไม่มีเรา แล้วมีอะไร เดี๋ยวนี้มีธรรม แล้วธรรมคืออะไร ก็คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ละหนึ่ง จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ว่าใครจะไปทำอะไร ไปดูอะไร เพื่อตัวผู้นั้นจะได้รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็คือไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง คือตอนนี้ ในคำสอนเดียวกันเรื่องพระโพธิสัตว์ มีถึงขั้นที่ว่าเข้าไปนิพพานแล้ว ประจักษ์นิพพานแล้ว เห็นนิพพานแล้วถอยออกมาเพื่อมาเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายตรงนี้ไว้เป็นข้อมูล

    ท่านอาจารย์ พูดถึงสิ่งที่ไม่มีเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม แล้วจะมีประโยชน์อะไร คนฟังก็ฟังเพลิน รู้บ้างไม่รู้บ้าง เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ควรเข้าใจ ควรฟังมากกว่าหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าจะพูดเรื่องพระโพธิสัตว์ แค่คำ โพธิคืออะไร สัตว์คืออะไร ถ้าไม่รู้แล้วก็ไปพูดเรื่องโพธิสัตว์ แล้วจะรู้อะไรได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจทุกคำ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกคำ

    ดังนั้น การศึกษาธรรมจึงประมาทไม่ได้เลย เข้าใจคำหนึ่ง คุณของคำนั้นก็คือ ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังคำนั้นที่ไหนก็เข้าใจไม่ผิดพลาด แต่ถ้าไม่เข้าใจก็สับสนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ประมาทก็เห็นคุณค่าของการที่จะเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่โดยจำ โดยท่อง แต่พิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจคำนั้นได้ เช่นคำว่า สัตว์ โพธิสัตว์ พูดคำว่าสัตว์ คืออะไร เชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ถ้าพูดถึงคำว่าสัตว์ คำเดียว สัตตะ หรือว่าสัตตะวะ ก็คือผู้ที่ข้องอยู่

    ท่านอาจารย์ แค่คำนี้ ผู้ที่ข้องอยู่ ข้องอยู่ที่ไหน ก็ยังต้องมีคำต่อไปๆ ๆ เพื่อจะได้เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงแสดงความลึกซึ้ง ถ้าไปรวมกับคำว่าโลก สัตวโลก ผู้ข้องอยู่ในโลก ถามอีก โลกคืออะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย มีโลกไหม ไม่มี แต่เมื่อมีเพียงสิ่งเดียวเกิดขึ้น นั่นคือโลก แต่โลกที่กำลังปรากฏไม่ใช่มีแต่สิ่งเดียว มากมายมหาศาลทั่วพื้นแผ่นดิน กี่จักรวาลเป็นโลกทั้งหมด อนันตะ นับไม่ถ้วนเลย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าโลกคือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จักรวาลก็ไม่มี สักหนึ่งก็ไม่มี ดวงอาทิตย์ก็ไม่มี ดวงจันทร์ก็ไม่มี ดวงดาวและอะไรๆ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดมีขึ้น สิ่งนั้นคือโลก

    ด้วยเหตุนี้ ในภาษาบาลีคำว่า โลกะ หมายความถึงสิ่งที่เกิดแล้วดับ เพราะว่าสิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับ ไม่มี ไม่ต้องไปพูดถึงพระโพธิสัตว์ไหนใช่ไหม แต่ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จากการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ผู้ที่ได้ฟังสามารถเข้าใจได้ทุกคำ แม้แต่คำว่าโลก ลองคิดดู สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นใช่ไหม และสิ่งที่คนไม่รู้ก็คือว่า สิ่งนั้นดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ จริงไหม เพราะถ้าเกิดดับช้าใครก็รู้ จริงไหม อะไรที่เกิดและดับช้าๆ คนก็รู้เลย แต่นี่คือเร็วสุดที่จะประมาณได้ ทันทีที่สิ่งหนึ่งเกิดและดับไป มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น เร็วสุดที่จะประมาณ หนาแน่นจนกระทั่งหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง

    แต่ความจริงก็คือ ทั้งหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งนั้นต้องดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพียงคำเท่านี้ คนฟังที่มีปัญญาสลด สลด ที่นี้หมายความว่ามีปัญญาที่จะรู้ว่า ไม่ควรที่จะติดข้องในสิ่งซึ่งความจริงต้องไม่มี เพราะเหตุว่าก่อนมี ไม่มี แล้วก็มีปัจจัยทำให้เกิดมี แล้วก็ไม่มีอีกเลย เหมือนเดิมที่ไม่เกิดขึ้น จึงติดข้องในสิ่งที่ปรากฏว่ามี แต่ความจริงสิ่งนั้นหามีไม่ เพราะเหตุว่าดับหมดแล้ว

    ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำว่า อนัตตา มีคำว่า สุญญตา แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง อนัตตา ไม่ใช่ อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏรวมกันก็เป็น..แล้ว เป็นโต๊ะแล้ว และเป็นเก้าอี้แล้ว เป็นไฟฟ้าแล้ว เป็นห้องแล้ว เป็นคนแล้ว นั่นคือเกิดรวมกัน แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า แต่ละหนึ่งๆ แยกขาดจากกัน แล้วก็เกิดขึ้น จึงมีและก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เริ่มสลดใจหรือยังว่า แท้ที่จริงติดข้องในความไม่มีจริงๆ เพียงหลอกให้หลงเข้าใจว่ามี เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครรู้

    เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สมควรแก่การติดข้องเลย เกิดเพื่อที่จะเห็นแล้วก็ดับ สุขก็ดับ ทุกข์ก็ดับ ลาภก็ดับ ยศก็ดับ สรรเสริญก็ดับ ทุกสิ่งทุกอย่างหมดไปๆ ๆ ไม่เหลือ แล้วมีประโยชน์อะไรที่จะเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แต่ละคำมีคำอธิบายยาว แต่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเข้าใจแล้วไม่ลืม

    เข้าใจคำว่าสัตว์แล้ว เข้าใจคำว่าโลกแล้ว ใช่ไหม แต่ตอนนี้มีคำว่าโพธิสัตว์ ต้องต่างกับสัตว์โลก เพราะเหตุว่าสัตว์โลกข้องอยู่ในโลก แต่โพธิสัตว์ คือข้องในการรู้ความจริงของโลกของสิ่งที่มี ก็ต่างกัน

    ขณะนี้ทราบไหมว่า ที่กำลังฟังเข้าใจเป็นสาวกโพธิสัตว์ ความเข้าใจไม่ได้สูญหายไปเลย ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ วันหนึ่งจากสาวกโพธิสัตว์ ก็จะได้เป็นสาวกที่ได้รู้แจ้งความจริง เป็นอริยสาวก แต่ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจเลย ไม่มีวันถึง เหตุทุกอย่างต้องนำผลตามเหตุนั้น โดยที่ผลจะเกิดได้ต่อเมื่อมีเหตุ ใครก็ตามไปบอกว่าไปสำนักปฏิบัติ ๗ วันเป็นพระโสดาบัน เหตุมาจากอะไร รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นคำที่ไม่จริง และคำไม่จริงทุกคำทำลายคำจริง และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำจริง ดังนั้น คำไม่จริงทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะช่วยกันทำลายบ้าง ง่ายมากเลย ไม่ต้องศึกษาให้เข้าใจอะไรเลย เขาว่าก็เชื่อ นั่นคือการช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง จากที่วิทยากรได้พูดมาทั้งหมดก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวว่า คือความไม่รู้ เห็นอะไรก็เป็นตัวเป็นตนไปหมด เราจะหาวิธีอย่างไรในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันว่า จริงๆ แล้ว เห็น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลตัวตน ขออนุญาตเรียนถามถึงวิธีการ

    ท่านอาจารย์ วันนี้ ฟังธรรมแล้วก็สนทนาธรรมเป็นวิธีการหนึ่งหรือเปล่า เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นการตั้งต้นที่จะทำให้เข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเราอยากจะไม่มีตัวตนแล้วเราหาวิธีเอง แต่ว่าเราได้ยินได้ฟังจากใครว่าไม่มีตัวตน ก็จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะรู้ว่าไม่มีตัวตน เป็นแต่ละธรรม แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับอยู่ตลอดเวลา เราสามารถจะรู้ได้อย่างไร ไม่มีเรา แต่มีความเข้าใจความเห็นถูก ซึ่งเกิดจากการค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ แม้แต่ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา

    ประมวลธรรมแล้วก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด แต่ไม่สามารถรู้อะไร เป็นรูปธรรม แต่ว่าถ้ามีแต่รูปธรรม อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ และใครก็ห้ามไม่ให้นามธรรม ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง เหล่านี้ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมก็ไม่ใช่เรา นามธรรมก็ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น เราไปคิดเองไม่ได้ หาวิธีไม่ได้ แต่ว่าฟังคำแล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยง เป็นเรา ก็เพราะได้ประจักษ์แจ้งว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรมจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ ดับจริงๆ

    ทางอื่นไม่มี หนทางเดียวก็คือ ความเข้าใจตั้งแต่ขั้นต้น ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นต้นเลย ชวนกันไปปฏิบัติไม่มีทางรู้ธรรม เพราะฉะนั้น คำเดียวที่ได้ฟังตอนต้นอย่างแจ่มแจ้ง เช่นคำว่า สิ่งที่มีจริงนั้นเองมีจริง จึงใช้คำว่าธรรม เพราะมีจริงๆ ฟังอย่างนี้ เวลาใครพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจขึ้น ในขณะนั้นมีสิ่งนั้นด้วย อย่างเมื่อเช้านี้เราพูดเรื่องอายตนะ ก็มีอายตนะ พูดเรื่องธาตุ ธา-ตุ สภาพธรรมที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ ก็คือเดี๋ยวนี้

    พูดถึงปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่รู้ จึงมีความคิดหลากหลายก็เป็นปฏิจจสมุปบาท พูดถึงอริยสัจจะก็คือ ทุกขอริยสัจจะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ไปรอเวลาไหนเลย เดี๋ยวนี้เอง จึงจะเข้าใจว่าทุกข์มีหลายอย่าง ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ก็มี แต่ว่าทุกข์ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอื่นได้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ก็คือ สิ่งที่เกิดแล้วดับทันที เป็นธรรมดา

    กำลังกระทบแข็ง รู้หรือยังว่าแข็งดับทันที เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ จึงต้องฟังจนกว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งแน่นมากอยู่ในหัวใจเต็มที่เลย เห็นอะไร ความไม่รู้เกิดแล้วทันที เพราะฉะนั้น ขณะนี้เอง ถ้าได้ฟังคำว่า เรากำลังฟังธรรมท่ามกลางความไม่รู้คือ อกุศล เพราะเห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้

    กำลังฟังธรรมก็เริ่มเข้าใจ ความเข้าใจไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ความไม่รู้ ทุกอย่างต้องละเอียด แล้วก็จะนำไปสู่การที่จะเป็นสาวกคือ ผู้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น นี่คือหนทางเดียว ทางอื่นไม่มี ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางเลย แค่ได้ยินว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่พูดแค่จำ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ใครสักคน เเละไม่ใช่ของใครด้วย

    ผู้ฟัง ขออนุญาตเพิ่มเติม ฟังแล้วก็ต้องศึกษา ศึกษาที่ไหน ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าเราเข้าใจแล้วความเป็นตัวเป็นตนก็ลดลง คำสอนที่ยากที่สุดก็คือ อนัตตา ผมเห็นว่าวิทยากรที่มีอาจารย์สุจินต์เป็นผู้นำนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เราต้องการวิทยากรอย่างนี้มากๆ เพราะว่าในประเทศของเรานั้นยังต้องการศึกษาอย่างนี้ ก็หวังใจว่าการเผยแพร่ธรรมวันนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ขอขอบคุณ

    ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนา และผู้ที่เข้าใจแล้วทุกท่านก็จะเป็นกำลังต่อไปแน่นอน

    ผู้ฟัง ในฐานะผู้แทนของผู้สูงอายุตำบลสุเทพ ขอเรียนถามว่า พระพุทธองค์ก็มีพุทธบัญญัติอยู่แล้ว พระจะยุ่งเกี่ยว จะจับถือ ยุ่งอะไรกับเงินไม่ได้เลย ยกตัวอย่างพระบวชใหม่ เมื่อบวชเสร็จก็ถือบาตร ฆราวาสญาติโยมก็เตรียมเงินจะใส่บาตร ก็สงสัยว่ามาถึงจุดวิกฤติหรือยัง

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า พระภิกษุไม่สมควรที่จะมีกาย วาจา หรือการกระทำใดๆ ซึ่งเป็นที่ติเตียนของคฤหัสถ์เลย จึงสมควรที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปบอกใครว่าเขาผิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พระธรรมวินัยกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งใครก็ตามที่กล่าวตามพระวินัยชัดเจน ก็เท่ากับประกาศให้คนอื่นรู้ว่าอะไรคือผิด อะไรคือถูก เพราะฉะนั้น ก็ตัดสินยุคนี้ได้เลย เพราะเมื่อพระอุปัชฌาย์รับเงินทอง แล้วคนที่ไปบวชจะไม่รับเงินทองหรือ ซึ่งขัดกับพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าภิกษุรับเงินและทอง หรือแม้ยินดีในเงินและทองก็อาบัติ เป็นโทษแก่พระภิกษุ ซึ่งไม่ใช่เพศที่จะยุ่งเกี่ยวกับเงินทองด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

    ถ้าฟังอย่างนี้ก็เป็นที่ชัดเจน ที่ทุกคนเมื่อเห็นพฤติกรรมใดๆ ก็สามารถที่จะตัดสินได้ว่า ถูกไหม เป็นภิกษุจริงๆ หรือเปล่า เพราะว่าเป็นภิกษุเพื่อศึกษาพระธรรม มิฉะนั้นแล้วเป็นภิกษุทำไม ศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ไม่มีอะไรที่จะขัดเกลากิเลสได้เลยทั้งสิ้น พากเพียรด้วยความเป็นเราสักเท่าไหร่ก็คือด้วยความไม่รู้ คิดว่านั่นเป็นหนทาง ซึ่งคนที่แสวงหาทางก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีมาก แต่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ได้บำเพ็ญบารมีที่สามารถจะรู้ความลึกซึ้งของธรรม ยิ่งเข้าใจยิ่งลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ คิดดู ทุกอย่างขณะนี้กำลังเกิดดับ ลึกซึ้งไหม

    เพราะฉะนั้น ก็พิจารณาเองเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มีความเคารพในพระธรรมวินัย ภิกษุใดไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    28 ส.ค. 2568