ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
ตอนที่ ๑๑๘๘
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ และยึดถือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่อย่างนั้นจะมีหลายคนไหม กว่าจะถึงแต่ละคนๆ จนกระทั่งเป็นหลายคน จนกระทั่งเป็นหลายอย่าง
ขณะนี้ กำลังฟังเสียงพูดที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เกิดดับเลย จริงไหม นั่งกันอยู่ตรงนี้เกิดดับหรือเปล่า ไม่ปรากฏเลยสักอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ปัญญาของใครที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงนี้ และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟัง ไตร่ตรองจนกระทั่งเกิดปัญญา ปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้องก็ไม่ใช่เรา ทุกคำ จะทิ้งคำว่าอนัตตาไม่ได้เลย จนกว่าจะหมดความเป็นเราเมื่อไหร่ กิเลสทั้งหลายที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์นานแสนนาน ก็ค่อยๆ หมดสิ้นไปได้ตามลำดับ แต่ก่อนอื่น ต้องหมดความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อน มิฉะนั้นกิเลสอื่นดับไม่ได้เลย เพราะเมื่อมีเรา กิเลสทั้งหลายก็ตามมาเลย
รักใครที่สุด ไม่ใช่คนอื่นแน่ใช่ไหม ต้องรักตัวเราที่เกิดมานี้เอง เพราะเมื่อเป็นตัวเราอย่างมั่นคง เป็นเราจริงๆ ต่อไปก็รักคนอื่นอีก รักทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ ทั้งหมดว่าเป็นของเรา แล้วจะพ้นไปจากกิเลสได้อย่างไร
วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาไม่มีขณะที่เป็นธรรม หรือว่าบางคนตื่นมาแล้วเป็นธรรมเพราะธรรมปรากฏ ซึ่งก็ต้องหายากมาก และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ต้องมีความคุ้นเคยกับความเข้าใจนี้อย่างมั่นคง จนกระทั่งรู้ว่า ขณะนั้นกำลังเข้าใจสิ่งที่ปรากฏในความเป็นธรรมนั้นเท่านั้น โดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมดต้องเป็นอนัตตาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
ใครรู้บ้างว่าจะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ บางคนบาดเจ็บสาหัส ใครๆ คิดว่าต้องตายแน่ เเต่ไม่ตายก็มี ใช่ไหม ใครจะไปทำให้ตายได้เมื่อกรรมที่ทำให้เป็นคนนี้ยังไม่สิ้นสุด ก็จะต้องเป็นคนนี้ตราบไปจนถึงขณะสุดท้ายที่จิตเกิดและดับ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ที่เราใช้คำว่าตาย เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แล้วร่างกายที่เคยเป็นเรา จะเป็นเราต่อไปได้ไหม ไม่มีทางเลย ทรัพย์สมบัติที่มีมากมายในชาตินี้ เมื่อจากชาตินี้โลกนี้ไปแล้วก็เป็นของคนอื่นทั้งหมด
เพราะฉะนั้น จะมีอะไรที่เป็นของเราบ้าง ไม่มี เพราะไม่มีเรา นี่คือสาระที่สำคัญที่สุดที่เป็นพุทธ ความรู้ที่ได้รับจากการฟังพระธรรม คือมีความเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ฟังพระธรรมต่อไปอีก เข้าใจต่อไปอีก จนคุ้นเคยต่อธรรม ซึ่งพระธรรมได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทุกขณะเลยด้วย
แม้แต่ขณะนี้ก็พูดถึงตา พูดถึงหู พูดถึงคิด พูดถึงจำ ซึ่งอยู่ตรงนี้ทั้งหมด แต่ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พูดนี้ก็เป็นเรื่องเดิมซ้ำกับเมื่อวานนี้ ใช่ไหม อย่างไรๆ ก็เรื่องเดิม
ถ้าเปิดพระไตรปิฎก พระสูตรกี่เรื่องก็คือเรื่องเดิม เรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ แต่ทรงแสดงโดยนัยหลากหลาย ด้วยประการทั้งปวง เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ที่จะทรงแสดงเทศนา ให้แต่ละคนซึ่งต่างอัธยาศัยกัน ได้ค่อยๆ พิจารณาและเข้าใจตามความเป็นจริง
ตอนนี้กำลังปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ถ้ายังไม่ได้ฟังคำนี้ก็ตอบไม่ได้ ตอบก็ผิดใช่ไหม เพราะคนไทยเรียกปฏิบัติ ซึ่งภาษาบาลีคือปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ เฉพาะคือหนึ่งจึงใช้คำว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะ คือเข้าใจสิ่งที่ปรากฏทีละหนึ่ง เราก็ฟังเรื่องหลายเรื่อง ฟังเรื่องเห็น ฟังเรื่องได้ยิน เเต่ยังไม่เข้าใจหนึ่ง เพราะความเข้าใจไม่พอ ยังต้องฟังเรื่องทั่วๆ ไป จนกว่าปัญญานั้นสามารถที่จะคุ้นเคยกับธรรม โดยไม่สงสัยว่าเป็นธรรม
วันนี้กระทบแข็งมากก็ยังไม่เป็นธรรม แต่ถ้าค่อยๆ เป็นธรรมขึ้น ขณะนั้นจะสามารถรู้ความต่างว่า กำลังถึงเฉพาะสิ่งไหนสิ่งหนึ่ง โดยความเข้าใจด้วย เเล้วจะมีคำอื่นตามมาอีก เช่นคำว่า สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน หรืออะไรก็ตามแต่ ก็ไม่มีความสงสัยชื่อเพราะแปลได้
สติ เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล ปัฏฐานแปลว่า ที่ตั้งของสติที่กำลังระลึก แล้วแต่ว่าระลึกเป็นไปในทาน การให้เกิดขึ้นไม่ใช่เรา แต่สภาพสติที่ระลึกเป็นไปในการให้เกิดขึ้น จึงมีการให้
ดังนั้น การให้ไม่ใช่เรา ตั้งแต่เห็นจนกระทั่งเอื้อมมือไป ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา ความเข้าใจธรรมต้องคุ้นเคยอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะถึงปัญญาอีกระดับหนึ่งโดยความเป็นอนัตตา คือขณะนั้นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทีละหนึ่ง ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่มีหลายๆ อย่างพร้อมกัน ซึ่งไม่ได้รู้เฉพาะทีละหนึ่งด้วยความเข้าใจ
ถ้าได้ฟังมามากจะไม่สงสัยในความเป็นธาตุ ในความเป็นธรรมที่มีจริง แล้วต่อไปถ้ารู้เฉพาะตรงนั้น ตรงนั้นก็จะแสดงอาการเกิดขึ้นและดับไป เพราะถ้าไม่เกิด ไม่มีตรงนั้น แล้วที่เข้าใจว่ายังมีอยู่ ถ้าปัญญาสามารถละคลายความติดข้องเพราะมีความเข้าใจสิ่งที่เกิดสืบต่อ ก็สามารถจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดสืบต่อไม่ใช่สิ่งที่ดับไป
เพราะฉะนั้น แต่ละคำก็เป็นเรื่องของการฟังไว้ๆ ๆ เพราะเหตุว่าจิต ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นจิต ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นจิต คิดเป็นจิต ได้กลิ่นก็เป็นจิต สภาพรู้ทั้งหมดมีจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ดับไป แต่มีสภาพรู้คือจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ทุกอย่างของจิตซึ่งเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้น จิตต่อไปเกิดขึ้นสะสมสิ่งที่มีแล้วในจิตขณะก่อน
สะสมไปแต่ละชาติ ใครจะสะสมอะไรก็แล้วแต่ ก็ปรากฏเป็นอัธยาศัยต่างๆ เคยเห็นคนขี้โกรธไหม ไม่เห็นน่าจะโกรธก็โกรธ โกรธไปหมด ไม่พอใจไปหมดได้อย่างไร ตื่นมาก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเขาแล้ว แต่ตรงกันข้ามกับบางคนที่ไม่โกรธ มีท่านผู้หนึ่งมีลูกสองคน ท่านเปรียบเทียบว่าลูกคนหนึ่งทำอย่างไรก็ไม่โกรธ แต่อีกคนโกรธง่ายๆ เลย ก็ต่างกัน
ทำไมต่างกันได้ เพราะว่าจิตที่มีสิ่งหนึ่งใดปรากฏแล้วชอบสิ่งนั้น อัธยาศัยจะเป็นผู้ที่เห็นอะไรก็ชอบ ไปตลาดก็ชอบหมดเลย อยากซื้อหมด แต่จำเป็นต้องซื้อเพียงบางสิ่งซึ่งเป็นใหญ่ สิ่งที่เราซื้อมาจึงเป็นใหญ่ในบรรดาสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจทั้งหมด ต้องมี ๑ ๒ หรือ ๓ ก็แล้วแต่ อะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่ทอดทิ้งละเลย ต้องซื้อกลับไปบ้าน นี่คือธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่มีชีวิตประจำวันจะมีธรรมไหม ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน โลกไม่ปรากฏก็ไม่เดือดร้อนเลย
เพราะฉะนั้น ฟังไปและเข้าใจขึ้น ดีกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรเลย ใครพูดก็ตามเขาไป เขาบอกว่าอะไรก็เชื่อ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจความจริง เพราะความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยาก
เมื่อวานนี้ เราพูดถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาที่เราใช้คำว่า อิติปิโส ภะคะวา เราจะผ่านไปโดยไม่รู้เเล้วพูดตามไปอย่างนั้นเอง หรือว่าสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำ อิติปิโส แม้เพราะเหตุนี้ เหตุที่เราได้เข้าใจธรรมนี่เอง ถ้าเราไม่ได้ฟังเลย จะรู้ไหมว่าแม้เพราะเหตุนี้ ที่เราได้ฟังคือพระปัญญาของพระองค์ที่ตรัสรู้ แล้วทรงแสดงให้เราได้ยินได้ฟังโดยนัยหลากหลาย จะโดยนัยของธรรม ธาตุ อายตนะ อริยสัจจะ โพชฌงค์ อะไรก็ตามทั้งหมด
แม้เพราะเหตุนี้ อิติปิโส ภะคะวา ทรงจำแนกธรรม ภะคะวา แม้เพราะเหตุที่ทรงจำแนกธรรม ตั้งแต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริงหนึ่ง ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง คือสภาพหนึ่งไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม แต่อีกธาตุหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ มิฉะนั้นอะไรก็ไม่ปรากฏ
ทั้ง ๒ อย่างเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน จะให้สภาพที่ไม่รู้ไปรู้ก็ไม่ได้ อย่างเช่น แข็งไม่รู้อะไรเลย บอกให้แข็งรู้ว่ามีคนเขานั่งอยู่บนเก้าอี้นี้ แข็งก็ไม่รู้ ไปพูดกับแข็งสักเท่าไหร่แข็งก็ไม่ตอบ แข็งไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จะเปลี่ยนแข็งให้เป็นสภาพรู้ก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้แข็ง แข็งก็ไม่ปรากฏ
ดังนั้น กระทบสัมผัสเมื่อไหร่มีธาตุที่กำลังรู้แข็งตรงนั้น เฉพาะแข็งตรงนั้น ไม่ใช่ตรงอื่นเลยทั้งสิ้น เฉพาะตรงนั้นเองปรากฏกับสภาพรู้ เพราะฉะนั้น จากหนึ่งธรรมเป็นสอง คือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม สภาพรู้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม เห็นเป็นคน หรือเป็นนก หรือเป็นแมว หรือเป็นจิ้งจก หรือเป็นตุ๊กแก เห็น เห็นต้องเป็นเห็น เปลี่ยนไม่ได้
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงธรรม เห็นมีจริงเป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง หนึ่ง คือเห็น เปลี่ยนเห็นเป็นได้ยิน เปลี่ยนเห็นให้เป็นอะไรไม่ได้ และเห็นก็ไม่ใช่ชาติไทย ชาติจีน ไม่ใช่เด็ก ผู้ใหญ่ อะไรทั้งสิ้น จะเห็นในน้ำเป็นปลา จะเห็นบนบก จะเห็นในอากาศนกบินไป เห็นก็เป็นเห็น
ถ้าไม่มีรูปเลยจะบอกได้ไหมว่าอะไรเห็น บอกไม่ได้ แต่เมื่อมีรูปก็เป็นนกเห็น คนเห็น ซึ่งผิด เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่นก เห็นไม่ใช่คน เพราะฉะนั้น สัตว์โลก สิ่งที่มีชีวิตทั้งคนและสัตว์เป็นสัตว์โลก สัตว์คือผู้ข้อง ผู้ติดข้องอยู่ในโลก ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำ ปลาเป็นสัตว์โลกก็แสวงหาอาหาร นกก็แสวงหาอาหาร คนก็ต้องเลี้ยงชีพ อาชีวะทั้งหลาย แสวงหาอาหารเพื่อที่จะเลี้ยงดูร่างกาย
แสดงให้เห็นว่าสัตว์โลกต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งกล่าวไปแล้ว ๒ อย่างคือ นามธรรมกับรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมรู้อะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น นามธรรมเป็นธาตุรู้ ถ้าสิ่งที่ไม่รู้อะไรเลยใช้คำว่า รูปธรรม ธรรมที่เป็นสภาพที่มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ทั้งหมด เสียงเป็นรูปธรรม กลิ่นเป็นรูปธรรม คิดเป็นอะไร คิดไม่ใช่รูปธรรม
สภาพรู้ ใช้คำว่านามธรรม ซึ่งนามธรรมก็มี ๒ อย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น มองไปแล้วชัดเจนเลยคือ จิตนั่นเองเห็น เห็นชัด แต่ไม่รู้ว่าอะไร ไม่ได้คิด เพียงแค่ทำหน้าที่เห็นอย่างเดียว แล้วจะอัศจรรย์แค่ไหนถ้าฟังธรรมแล้วรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เห็นเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะจิต จิตก่อนเห็นไม่เห็น หลังจากจิตเห็น จิตอื่นเกิดขึ้น ไม่เห็น
โดยสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เห็นเกิดขึ้นหนึ่งขณะ จิตที่เกิดก่อนเห็นรู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา จิตที่เกิดหลังเห็นรู้ว่าสิ่งที่กระทบตาเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้ทำกิจเห็น โดยความรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น นามธรรมมี ๒ อย่าง ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่า จิต ส่วนสภาพธรรมที่ปรุงแต่งทำให้จิตเกิดขึ้นหลากหลายมาก ต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท เป็นเจตสิก เป็นเราหรือเปล่า ต้องกลับไปรู้ว่าไม่ใช่เราจนกว่าจะคุ้นเคย ไม่ใช่เราแล้วเวลาโกรธเกิดขึ้น เราโกรธหรือเปล่า รู้ไหมว่าขณะโกรธไม่ใช่เรา เมื่อโกรธเกิดก็เราโกรธ
ยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริงว่าโกรธเกิดแล้วก็ดับ ใครทำให้โกรธเกิดไม่ได้ และทำให้โกรธดับก็ไม่ได้ จะให้ตั้งอยู่เเล้วไม่ดับก็ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งเป็นธรรมดา หมายความว่าความเป็นไปของธรรมแต่ละหนึ่ง ต้องเป็นไปอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นภะคะวา ผู้ทรงจำแนกธรรม อิติปิโส แม้เพราะเหตุนี้ อิติปิโส ภะคะวา ทรงจำแนกธรรม อะระหัง หมดสิ้นกิเลสไม่เหลือเลย สัมมา สัมพุทโธ เพราะฉะนั้น คำที่เรากล่าวบ่อยๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ใครเป็นอะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ได้ไหม ไม่ได้
เป็นอรหันต์ได้ไหม ได้ แต่เป็นอะระหัง สัมมา สัมพุทโธ มีพระองค์เดียว ครั้งเดียวในสากลจักรวาล ตราบใดที่คำสอนของพระองค์ยังคงอยู่ จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
ทั้งหมดนี้ พระองค์คือผู้ประเสริฐยิ่ง ที่เราได้มีโอกาสมากราบนมัสการด้วยการรู้พระคุณ ซึ่งถ้าเราเข้าใจพระคุณเพียงเล็กน้อย การกราบนมัสการของเราก็บูชาได้น้อยมาก แต่ถ้าระลึกได้ว่าเราไม่เคยมีความเข้าใจอย่างนี้เลย และได้มีความเข้าใจแม้เพียงเท่านี้ ก็เพราะพระองค์บำเพ็ญพระบารมีให้เราได้เข้าใจ ไม่ใช่ปัญญาของเราแต่คือสภาพธรรม เข้าใจเป็นธรรมประเภทไหน เมื่อสักครู่นี้เรากล่าวถึงจิตกับเจตสิก
เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ชัดเจนว่าสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางรับผลของกรรม แล้วขณะที่เป็นใหญ่เป็นประธานที่ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลคือเห็นก็ต้องเห็น ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลต้องได้ยินก็ได้ยิน ถึงเวลาที่กรรมให้ผลต้องได้กลิ่น ถึงจะไม่อยากได้กลิ่นก็ต้องได้กลิ่น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย
ดังนั้นให้ทราบว่า กรรมทำให้เกิดขึ้นเป็นบุคคลหลากหลายต่างกัน และตลอดชีวิตที่ยังไม่ตายก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง พวกนี้เป็นผลของกรรม แต่ถ้าชอบหรือไม่ชอบนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต แล้วแต่ว่าจิตนั้นเป็นจิตประเภทใด
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ มีใครสงสัยบ้างไหม เรากล่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างบุคคลอื่นที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง อิติปิโส ภะคะวา
ถ้าไม่เข้าใจ เเล้วพูดคำว่าแม้เพราะเหตุนี้ ได้อย่างไร ยังไม่รู้สักคำใช่ไหม พูดไปอย่างนั้นเองว่าแม้เพราะเหตุนี้ แต่ว่าเมื่อเข้าใจแล้ว แม้เพราะเหตุที่ทำให้เราได้เข้าใจความจริงนี้ ซึ่งมีอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ จึงทรงเป็นผู้ที่ตรัสรู้ แม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการที่ทรงจำแนกธรรม แต่พระคุณไม่ใช่เพียงเท่านี้ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล แม้เทวดาและพรหมยังมาเฝ้ากราบทูลถามปัญหา
พระคุณของพระองค์ที่เราสวดต่อไปคือ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชา จรณะ สัมปันโน
อ.ธีรพันธ์ วิชชา จรณะ สัมปันโน ก็เป็นอีกบทหนึ่งในการกล่าวสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครอื่นเลยที่จะสมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น บุคคลอื่นก็ได้แต่สมบูรณ์ตามลำดับขั้น แต่ว่าไม่ถึงพร้อมเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครบบริบูรณ์โดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดจะมาเปรียบได้เลย
วิชชา เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งมีอยู่หลายประการ เช่น ทรงระลึกชาติได้เป็นอันมาก ระลึกถึงขันธ์ในอดีตได้ ที่เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ อีกประการก็คือ เป็นการที่รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นจุตูปปาตญาณ คือ การรู้ว่าสัตว์ตายจากชาตินี้แล้วภพต่อไปเป็นใคร อีกประการก็คือ อาสวักขยญาณ การกระทำอาสวะคือกิเลสให้สิ้นไป
ดังนั้น วิชชาจะมีโดยนัยหลายประการ วิชชา๓ ก็มี วิชชา๘ ก็มี นี่ก็เป็นส่วนของวิชชา
ท่านอาจารย์ ก่อนฟังพระธรรมรู้จักแต่วิชาอื่นใช่ไหม สารพัดวิชาที่จะเรียนกันก็เป็นวิชาทั้งหมด จากไม่รู้แล้วรู้ รู้อย่างนั้นทางโลกใช้คำว่าวิชา มีหลายวิชาเต็มไปหมด วิชาตามมหาวิทยาลัยก็ศึกษากันมาก แต่วิชาที่คนอื่น ไม่ว่ามหาวิทยาลัยใดในโลกจะไม่สามารถสอนได้เลย คือวิชชาที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี
คนเราต้องเกิดแล้วก็ตาย แล้วทุกคนก็อยากรู้มากเลยว่าชาติก่อนเป็นใคร เป็นอะไร คงไม่มีใครไม่อยากรู้ใช่ไหม เป็นนก เป็นกิ้งกือ เป็นได้ไหม เป็นได้แน่นอน อย่าคิดว่าจะเป็นไม่ได้ เคยเป็นมาแล้ว และจะเป็นต่อไปก็ได้ เพราะตราบใดที่ยังต้องมีสังสารวัฏฏ์ก็ยังจะต้องมีการเกิด แต่ว่าบางท่านสามารถที่จะระลึกถึงชาติก่อนได้ ต้องเป็นวิชชาที่ไม่ใช่ทุกคนจะระลึกได้ใช่ไหม ต้องเป็นผู้ที่สนใจ และมีปัญญาที่เกิดจากความสงบมากพอสมควร ซึ่งแบบฝึกหัดที่เป็นการระลึกได้จริงๆ ก็ยากมาก
สมัยนี้ถ้ามีคนเขามาทายเราว่าชาติก่อนเป็นอะไร เชื่อเขาไหม มีคนพร้อมที่จะเชื่ออยู่มากก็ไปหาเขา แล้วเขาเป็นใครที่สามารถจะบอกได้ว่าชาติก่อนเราเป็นใคร แค่นี้ไม่คิดใช่ไหม เขาจะรู้ได้อย่างไรก็ยังไม่คิดอีก แค่เขาทายได้ เราก็เชื่อไปเลย
เพราะฉะนั้น ต้องมีความมั่นคง ใครจะว่าอย่างไรก็ตามแต่ เขารู้ได้อย่างไร เพราะทรงแสดงหนทางที่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดยิบว่า เกิดจากปัญญาระดับไหนที่สามารถจะสงบจากอกุศล แล้วจิตที่สงบจากอกุศลมีลำดับขั้นด้วยว่า แม้แต่เหตุ เจตสิกที่ทำให้เกิดความสงบนั้นต้องละไปตามลำดับ จนกว่าจะสงบยิ่งขึ้น จนถึงรูปฌาณ อรูปฌาณ ซึ่งก็ยังไม่พอ ยังต้องฝึกหัดที่จะระลึกได้ จากขณะนี้ถอยไปจนถึงขณะเกิด ใครทำได้
ถ้าทำไม่ได้จะระลึกชาติก่อนได้หรือ เพราะว่าเกิดมาต่อจากตายของชาติก่อน แค่ชาติก่อนก็ยากที่จะรู้ได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงตรัสรู้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในยามแรก ระลึกชาติของพระองค์ซึ่งนับไม่ถ้วน ไม่ถึงความสิ้นสุดเลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
