ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171


    ตอนที่ ๑๑๗๑

    สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่

    วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าเข้าใจธรรม ความเป็นไปของธรรม ธรรมดา ถ้าไม่ใช่ธรรมดาจะเข้าใจหรือ ในเมื่อธรรมทุกธรรมต้องเป็นไปตามธรรม หิวเป็นหิว ดีใจเป็นดีใจ เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจเกิดแล้ว รู้ไหมล่ะว่านั่นแหละเป็นธรรม ใครจะไปห้าม ไปกันธรรม แต่ไม่รู้ กับธรรมเกิดแล้วรู้ ไม่ว่าที่ไหนทั้งหมด นี่คือปัญญาจริงๆ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ก็หลอกๆ คิดว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ และคิดว่ารู้ แต่ไม่รู้ รู้ก็คือเดี๋ยวนี้เอง นี่แหละรู้ อยู่ตรงไหนก็เหมือนกันไหม มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วหมด ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะปล่อยวางละคลายไหม แม้แต่ละคลายก็ไม่ละมีเรากำกับไปตลอดเวลา จะต้องไปละอย่างนี้ จะต้องไปทำอย่างนั้น นั่นคือเรา ไม่ได้ละความเป็นเรา ไม่ได้เข้าใจธรรม และเมื่อมีความเข้าใจว่าธรรมจะเกิดได้ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่มีทางเลยที่จะต้องไปสงสัย ว่าต้องที่นั่นที่นี่ ต้องไปรับประทานอาหารไม่อร่อย อร่อยหรือไม่อร่อยก็เกิดแล้ว เห็นแล้ว ลิ้มรสแล้ว จบแล้ว หมดแล้ว ถูกไหม นี่คือการเข้าใจธรรมจริงๆ ถ้ายังไม่จริงคือยังไม่เป็นอย่างนี้ ยังไม่เป็นปกติ

    ผู้ฟัง มีประเด็นว่า คนที่มาฟังอย่างนี้ไม่เห็นจะขัดเกลากิเลสเลย แต่ถ้าที่เขาไปทำๆ กัน นี่เขาขัดเกลากิเลส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจริงคืออะไร ต้องสำหรับคนที่เห็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ เขาไม่สนใจว่าความจริงคืออะไร ถ้าเห็นประโยชน์ความจริงอะไร สนทนากันทุกประเด็น ทุกข้อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ไม่ให้หลงผิด สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ สัมมามรรค มิจฉามรรค พระองค์ตรัสด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเราไม่มีคำของเราต่างหากไปจากพระไตรปิฎก คำทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเห็นความต่างด้วย ก็ขึ้นอยู่กับอัธยาศัย คนที่ไม่ฟังเราจะไปทำอะไรเขาได้ ส่วนคนที่เห็นประโยชน์ เราก็เห็นประโยชน์ของคนที่จะได้เข้าใจขึ้นเท่านั้นเอง ไม่สำคัญใครจะรักจะชัง ใครจะโกรธจะว่าอย่างไรก็ตามแต่ ก็เรื่องของเขาใช่ไหม แต่ประโยชน์ยิ่งใหญ่ เราจะยอมเสียไปหรือ จะต้องไปสำคัญอะไรกับคำของคนอื่นที่เขาไม่ได้เข้าใจความจริง ถ้าเข้าใจความจริงสนทนาได้ ตามพระไตรปิฎก ตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ ไม่ใช่คำของเราเลยสักคำ ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ปัญญารู้เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ถ้าปัญญารู้ธรรม ปัญญารู้ธรรมเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ แค่นี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รู้อะไร ก็ต้องรู้จากการฟังสิ่งที่มีจริงๆ

    อ.กุลวิไล เพราะว่าธรรมเป็นความตรง ถ้าดูจากภายนอกนี่ดูเหมือนว่าขัดเกลา

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน แล้วคิดเองใช่ไหม พระพุทธเจ้าห้ามใครหรือเปล่า ท่าน อนาถบิณฑิก วิสาขามิคารมารดา พวกที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บรรพชิต พระพุทธเจ้าห้ามใครหรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่ใช้คำว่าห้าม ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ เราห้ามไม่ให้คนนั้นไปที่นั่นที่นี่ ไม่ใช่เลย กล่าวความจริงของธรรมให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง แล้วเวลาจะตามความติดข้อง โลภะไป ก็เป็นแก้ตัว ขอยกตัวอย่างตัวเองว่า เขาก็จัดกับข้าวให้ทานก็ดีแล้ว แต่รู้จักร้านที่ตัวเองชอบ และอร่อย ก็แล้วเดินไปใกล้ๆ ก็ไป ความติดข้องก็มี กำลังไปกิน

    ท่านอาจารย์ แล้วมีคุณอรวรรณไหม อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าให้เราต้องไปเปลี่ยนว่าเราต้องไม่กิน แต่ปัญญาสามารถจะรู้ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา กว่าจะเกลี้ยงหมดทุกอย่างในชีวิตในสังสารวัฎฏ์ที่สะสมผ่านมา นั่นคือการดับกิเลส ดับจริงๆ เกิดอีกไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมด คุณอรวรรณจะไปทานอาหารที่อร่อย เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ใช่คุณอรวรรณ สำคัญที่สุด คือเป็นธรรมคำนี้คำเดียว ชัดเจนแค่ไหน สังสารวัฎฏ์ยังจะต้องเป็นไปอีกยาวไกลมาก จะเกิดเป็นมหาเศรษฐี พระราชินี พระมหากษัตริย์ อะไรก็ตามแต่ จะเกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจ ทุกข์ยาก ป่วยไข้ ปัญญาเท่านั้น ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ก็จะมีประเด็นที่ว่า แล้วรู้อะไร ขัดเกลาอย่างไร ก็อยากทำอะไรก็ทำ

    ท่านอาจารย์ จิตคิดดับหรือไม่

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ คิดเพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะมีตัวตนว่าเราน่าจะดี

    ท่านอาจารย์ เพราะได้ยินได้ฟังมา ได้ยินได้ฟังมาแค่ไหนก็คิดได้แค่นั้น คิดเกินกว่านั้นได้ไหม ว่าแท้ที่จริงไม่ว่าที่ใด สภาพธรรมปรากฏแล้วดับ กว่าจะละคลาย กว่าจะค่อยๆ ห่างไป จนกระทั่งปัญญาค่อยๆ เข้ามาใกล้แต่ละขณะ

    ผู้ฟัง ก็เป็นตัวอย่างว่า เหมือนกับว่าไม่เห็นจะขัดเกลาอะไร

    ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้จักปัญญา

    อ.ธิดารัตน์ กรณีของผู้สนทนา คือถ้าหากว่ามีแม้กระทั่งเข้าใจถูกว่าเราอยากกินอะไรอย่างนี้ ก็คือไม่ว่าจะไปรับประทานที่ไหน รับประทานอาหารที่ ที่นี่ แต่ความรู้สึกอยากจะไปกินที่อื่น ก็เป็นอกุศล แต่ไปด้วยตามกำลังของโลภะ ก็เป็นอกุศล แต่ประโยชน์นี่ ไม่ว่าจะรับประทานที่ตรงไหนก็มีสภาพธรรมให้พิจารณา

    ท่านอาจารย์ เราพูดทำไมว่าจิตเป็นธาตุรู้ พูดทำไม

    อ.ธิดารัตน์ พูดเพื่อเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจหรือเปล่าตอนนั้น เห็นไหมแล้วจะไปเอากิเลสออกกันได้ง่ายๆ สำนักปฏิบัติ ๑๐วัน ๒๐วันได้อย่างไร แค่นี้ก็ไม่เห็น บังไว้หมด หนาแน่นเท่าไหร่ ท่วมท้นจักรวาล กว่าปัญญาจะค่อยๆ ทีละน้อย ทีละน้อย จนหมดจริงๆ สังสารวัฏฏ์เกิดอีกไม่ได้เลย คิดดู จากเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิดต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ดับหมด

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าคฤหัสถ์เราก็ใช้ชีวิตตามปกติของคฤหัสถ์

    ท่านอาจารย์ ไม่มีกฏเกณฑ์ ไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นธรรม เห็นไหม ทั้งหมดนี่ไปจนทั่วไม่ได้กลับมาดู ธรรมทั้งนั้น

    ผู้ฟัง เรื่องนี้ค่อนข้างจะสับสนกับตัวเองบ่อยมาก แต่รู้ว่าเป็นตัวเราที่สับสน ถ้าปัญญาก็ไม่สับสน อย่างเช่นเรื่องสมควรทำนี้อย่างนี้ ไม่ควรจะไปเพลิดเพลิน แต่ควรจะฟังธรรมก็อะไรจะมีอยู่เยอะมากเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นกำลังของปัญญาไหม ทั้งหมดเป็นธรรม จึงสามารถจะละได้ นี่ยังเป็นคุณอรวรรณ สับสนอลเวงใช่ไหม แม้ลักษณะนั้นปัญญาต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา ทุกสถานการณ์เว้นไม่ได้แม้นิดเดียว ไม่อย่างนั้นดับไม่ได้ ยังอยู่ ยังเหลืออยู่อนุสัยสะสมมาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องวัดเครื่องบอกว่าปัญญารู้แค่ไหน แม้อย่างนั้นกำลังนั้นถ้าไม่รู้คุณอรวรรณจะรู้เลยว่าปัญญาไม่ได้รู้ ไม่ใช่ระดับของปัญญาที่จะดับกิเลส เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นปัญญาไม่ได้เลือกอะไรเลย ปัญญารู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เราถึงได้พูดกันตั้งแต่ต้น มีเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้ ความรู้สึกละล้าละลังอะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ แต่เกิดแล้วไม่รู้ ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้นความยังคงเป็นเรามากมายมหาศาล อย่าได้หาวิธีอื่นที่ไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่ไปบอกว่าจงเพียรนี้ เพียรเป็นอย่างไร แล้วเพียรคืออะไร แล้วเพียรอะไร ไม่รู้สักอย่าง แล้วไปจงเพียรก็ต้องไม่รู้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนที่จะไม่รู้

    ผู้ฟัง เวลาเสพคุ้นนี่เข้าใจว่าเป็นอกุศลจิต หรือกุศลจิตที่เกิดสืบต่อ ๗ ขณะ แต่ว่ายังไม่เข้าใจถึงเรื่องการคบอีกบุคคลหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรม เราไม่สามารถจะเข้าใจข้อความในพระไตรปิฏกได้ ที่จริงมีคนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ อยู่คนเดียวหรือเปล่า

    ผู้ฟัง อยู่คนเดียว

    ท่านอาจารย์ คนเดียวทีละหนึ่ง ไม่มีใครหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็คือจิต

    ท่านอาจารย์ คือจิต เจตสิก เกิดดับ มีอารมณ์ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อารมณ์คืออะไร

    ผู้ฟัง อารมณ์ก็คือสิ่งที่จิตรู้

    ท่านอาจารย์ เวลานี้กำลังเป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นอย่างนี้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอารมณ์มีหลายอารมณ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ทางตาหนึ่ง หูหนึ่ง จมูกหนึ่ง ลิ้นหนึ่ง กายหนึ่ง ใจหนึ่ง เสียงทางไหน

    ผู้ฟัง เสียงทางหู

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียง แล้วคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ คิดไตร่ตรองหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็คิดเลย

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละไตร่ตรองบ่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้นหรือเปล่า หรือแค่คิดตามจบ เสียงคือเสียงจบ นั่นคือคิด แต่ว่าคิดไตร่ตรองหรือเปล่าว่าเสียงคืออะไร เห็นไหมกว่าจะรู้ได้แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่จะรู้ว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรม เพราะฉะนั้นจิตเกิดต้องรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ใช้คำว่าอารมณะ หรืออารมณ์หรืออาลัมพณะก็ได้ แต่ส่วนใหญ่คนไทยจะรู้จักคำว่าอารมณ์ หมายความว่าเมื่อจิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ อยู่คนเดียวหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมีเสียงกระทบหู ได้ยินคำที่คุ้นหูจนรู้ว่าหมายความว่าอะไร เสพหรือเปล่า เห็นไหมต้องเข้าใจแม้แต่วาระเดียว เพราะคุ้นใช่ไหม เรากำลังเสพเรื่องอะไร เห็นไหม แล้วแต่ว่าเราเป็นคนชาติไหน พูดภาษาอะไร ถ้าใครพูดภาษาญี่ปุ่นนี้เราได้ยินจำ แต่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่จิตเกิดสืบต่อคิด จนรู้ว่าคำนั่นหมายความว่าอะไร ตั้งแต่เด็กเกิดใหม่ จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเสียงนั้น หมายถึงอะไร เสพมาตลอดใช่ไหม ค่อยๆ คุ้น เพราะฉะนั้นเราคุ้นกับอะไรมาก คุ้นกับคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรคุ้นเคย คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นการคบหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคนพาลไม่ใช่เขามาทำอะไรให้ เขาทำอะไรก็ทำไป แต่เสียงของเขา ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เราคบความเห็นผิดหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์หมายถึงว่า เราไปได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่ถูก แล้วก็มีการคล้อยตามความเห็นของเขา นั้นก็เราก็คบกับความเห็นผิดแล้ว หรือว่ามีโอกาสที่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง มีความเข้าใจก็คล้อยตามความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่พูดกันเลย คบหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ก็ไม่ได้คบ

    ท่านอาจารย์ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างมานั่ง

    อ.ธิดารัตน์ เพราะฉะนั้นการคบในที่นี้หมายถึงว่า มีความเห็นที่เป็นไปในฝ่ายเดียว

    ท่านอาจารย์ คุ้นเคยกับสิ่งนั้น

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงความเห็นผิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงด้วยเหตุ ๒ ประการด้วยกัน ก็คือเสียงอื่น เสียงที่เกิดจากความเห็นที่ผิด ที่จะกล่าวคำที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อีกประการหนึ่ง คือ อโยนิโสมนสิการ ก็คือการใส่ใจโดยไม่แยบคาย แสดงว่าเสียง แม้เราจะมีโอกาสได้ฟังคำหลากหลาย แต่ว่าการไตร่ตรองการพิจารณาว่านี่ถูก หรือว่านี่ผิด ก็ต้องมาเกิดจากการสะสมของแต่ละบุคคล

    ท่านอาจารย์ จากทีละคำ

    อ.วิชัย ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ สะสมก็คือจากทีละคำ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเขาพูดเราก็ไม่ฟัง คนที่เข้าใจผิดไปสำนักปฏิบัติเขาไม่ฟัง ฟังแล้วไม่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นเสียงมี เสียงถูกด้วย แต่สะสมมาผิด

    อ.วิชัย ถ้าเป็นเสียงผิดแล้วก็สะสมมาที่จะคล้อยตาม ก็ยิ่งผิดไปกันใหญ่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.วิชัย แต่ถ้าสะสมมาผิด แต่ว่าแม้คำถูกต้องนี่ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าสะสมมาถูก ได้ยินคำถูก ก็สะสม

    ผู้ฟัง จากคำถามของพี่อรวรรณก็เลยมีความสงสัยว่าคนที่ฟังธรรมมานานๆ มีความสามารถไหมที่จะหักห้ามใจที่จะไม่ไป คือไม่อยากไป

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักธรรม

    ผู้ฟัง หมายถึงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้ว่าไม่มีเขา แต่มีธรรมเท่านั้น

    ผู้ฟัง ก็แสดงว่าไม่ใช่มีความสามารถที่จะหักห้ามใจที่ไม่อยากไป

    ท่านอาจารย์ ความสามารถคืออะไร

    ผู้ฟัง ทำได้

    ท่านอาจารย์ ทำคืออะไร เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจากความไม่รู้นำไปสู่ความไม่รู้ตลอด ต้องเริ่มต้นจากการรู้จริง มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง จึงสามารถที่จะเข้าใจคำอื่นๆ ต่อไปได้ มีคนอ้างในพระไตรปิฏก มีคำว่าจงเพียร เพียรคืออะไร ไม่รู้ว่าเพียรคืออะไรแล้วไปจงเพียรได้อย่างไรใช่ไหม ข้ามไปเลย นั่นคืออย่างที่คุณวิชัยกล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ อโยนิโสมนัสสิการ ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่ใคร่ครวญในความถูกต้อง ความถูกต้อง ต้องรู้เพียรคืออะไร ไม่รู้ว่าเพียรคืออะไร ไปจงเพียรได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าสมมติว่าอย่างนี้อย่างกรณีพี่อรวรรณมีคนชวนว่าไปไหมไปทานอาหารอร่อยนะ อร่อยกว่าที่นี่

    ท่านอาจารย์ แล้วใครคิด ธรรมต้องตั้งต้น ตั้งต้นอย่างมั่นคงจริงๆ ทีละคำ ไม่อย่างนั้นตัวตนจะมาแทรกตลอดเลย

    ผู้ฟัง ตอบไม่ถูก แต่คิดว่าเป็นอุปนิสัย

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักธรรม ฟังธรรม เข้าใจธรรมก่อน เพราะทั้งหมดเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ยังเข้าใจว่าเพราะมีอุปนิสัยที่จะสะสมมา

    ท่านอาจารย์ นิสัยคืออะไร ทุกคำต้องย้อนไปสู่คืออะไร

    ผู้ฟัง คือธรรมที่สะสมมา

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คืออะไรสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ก็โลภะ โทสะ โมหะ

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร มีจริงอย่างไร จริงนะจริง แต่เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิกคืออะไร

    ผู้ฟัง คือสิ่งที่เกิดพร้อมกับจิต

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่จิตใช่ไหม ต่างกันอย่างไร

    ผู้ฟัง จิตเป็นเฉพาะเป็นประธานเป็นใหญ่ที่รู้เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง จิตเป็นประธานเป็นใหญ่รู้ในทุกเรื่อง

    ท่านอาจารย์ เช่นเดี๋ยวนี้อะไรเป็นจิต

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ จิตได้ยินรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้เสียง

    ท่านอาจารย์ จิตได้ยินคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้เป็นคุณอรวรรณคิดหรือจิตคิด

    ผู้ฟัง จิตคิด

    ท่านอาจารย์ ดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ มีคุณอรวรรณไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีจิตเกิดสืบต่อไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่จะเป็นอะไรใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จะไปหรือไม่ไปนั่นแหละ สืบต่อแล้ว

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคิดว่ามีความสามารถที่จะไม่อยากไปอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าความสามารถ ใครสามารถ อะไรสามารถ ต้องชัดเจน

    ผู้ฟัง ปัญญาสามารถ

    ท่านอาจารย์ มีปัญญารู้อะไร ปัญญาต้องรู้ความจริงต้องเข้าใจถูกไม่ใช่ชื่อปัญญา จะชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าใจทุกคำ ชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น จะสับสนทันทีที่คิดเอง แล้วไม่รู้ เพียงแค่จำ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟัง เข้าใจ

    ผู้ฟัง ดิฉันสงสัยว่าตั้งแต่เราเกิดมาใช่ไหม แล้วก็เจริญเติบโตมาเรื่อยๆ พฤติกรรมอะไรต่างๆ ของเรานี่มันจะไม่เหมือนเดิม ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความชอบ ความประพฤติหรืออะไรพวกนี้ ไม่ทราบมันจะไปเกี่ยวเนื่องกับจิตเจตสิกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เราจะเข้าใจพฤติกรรมในแต่ละชาติ หรือว่าจะรู้ความจริงของแต่ละชาติว่าคืออะไร

    ผู้ฟัง รู้ความจริงของแต่ละชาติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรจริง

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นจริง ถ้าเห็นไม่เกิด จะไม่เห็นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาติคืออะไร

    ผู้ฟัง ชา-ติ คือชาติ เกิด

    ท่านอาจารย์ ต้องเกิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ธรรมเกิดทั้งนั้นเลยที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วดับก็ไม่รู้ แต่ปรากฏอยู่เรื่อยๆ เหมือนไม่ดับ แต่ต้องเกิดถ้าไม่เกิดไม่มีสักอย่างใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเข้าใจสิ่งที่มีก็คือว่าค่อยๆ พิจารณาว่าสิ่งที่มีนี่คืออะไร ถ้าเราไม่ตั้งต้นว่าคืออะไร ก็ยังคงเป็นพฤติกรรม เราจะอย่างโน้นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร ความจริงหรือสิ่งที่มีจริงๆ นั้นคืออะไร

    เพราะฉะนั้นการตั้งต้น ต้องตั้งต้นอย่างมั่นคง ใครก็ไปทำให้มีไม่ได้ เพราะปัจจัยทำให้เกิดขึ้นมีปัจจัย แข็งไม่ให้เป็นแข็งได้ไหม ใครลองห้ามสิ ไม่ได้ เกิดแล้วเป็นแข็งไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วเป็นหวานก็ไม่ได้ เกิดเป็นแข็งก็ต้องเป็นแข็ง นี่คือสัจจธรรม ความจริงของธรรมซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่เคยรู้มาเลยว่าไม่มีตัวตนจริงๆ มีแต่สิ่งที่แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง มีลักษณะหลากหลาย มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ฝนจะตก ฟ้าจะร้องก็มีปัจจัยทั้งนั้นทุกอย่าง ถ้าอะไรเกิดต้องมีปัจจัย เข้าใจอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าเริ่มรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่มีเรา แต่มีธรรม แล้วธรรมที่เกิดก็หลากหลายมาก ประมาณไม่ได้เพราะอะไร เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ หาที่ไหนไม่เจออีกเลย ดับจริงๆ แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดต่อก็ได้ เช่นจิต ธาตุรู้ เกิดขึ้น และดับไป ก็เป็นสภาพที่ทำให้จิตเกิดสืบต่อ จากเกิดจนถึงเดี๋ยวนี้จนถึงตาย แค่นี้ไม่พอที่จะเข้าใจธรรม ต้องมากกว่านี้อีกว่า ธาตุที่เป็นธาตุรู้ที่เป็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานหนึ่ง นอกจากนั้นเจตสิก แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งหลากหลาย เกิดพร้อมกับจิตอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น จึงมีคำว่าสหชาตปัจจัย ปัจจัยที่เกิดพร้อมกับธรรมที่ทำให้เกิดขึ้น ทั้งปัจจัย และปัจจยุบบัน ปัจจยุบบันคือธรรมที่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น อะไรเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ง่ายๆ อย่างนี้เห็นไหม ก็เห็นกันทุกวันๆ เพราะฉะนั้นก็เตือนเท่านั้นเอง ให้รู้ว่าไม่ใช่เราโดยวิธีอย่างไร ก็คือให้คิดถึงธรรมแง่มุมต่างๆ เพราะฉะนั้นเห็นนี่อาศัยอะไรเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง อาศัยปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ปัจจัย อะไรเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง กรรม

    ท่านอาจารย์ กรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง กรรมคือการกระทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการกระทำเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นเจตนา

    ท่านอาจารย์ แล้วเจตนาเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ความจงใจ

    ท่านอาจารย์ ความจงใจเป็นอะไร ถ้าเราไม่กลับมาที่จิต เจตสิก รูป ไม่มีทางเข้าใจธรรม ไปอื่นหมด เป็นเหตุการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมเขามาว่าเรา ทำไมเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่ได้กลับมาที่ จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นคำถามทั้งหมดต้องชัดเจนว่าเป็นอะไรคือ ปรมัตถธรรม ธรรมที่มีจริงคือจิตหนึ่งเจตสิกหนึ่ง รูปหนึ่ง เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น ปัจจัยคือธรรมที่อาศัยปรุงแต่ง สนับสนุน

    ผู้ฟัง คือเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเจตสิกเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตเป็นปัจจัยใช่ไหม ธรรมที่เกิดจากปัจจัย ภาษาบาลีใช้คำว่าปัจจยุบบันธรรม อุปปันนะ เกิด เกิดจากปัจจัยเป็นปัจจยุบบันธรรม จิตเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุบบัน

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิกเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุบบัน จิต ต้องเกิดพร้อมกันหรือเปล่าเกิดพร้อมกัน ภาษาบาลีก็สหชาตปัจจัย ไม่มีจิต มีเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเจตสิก มีจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้จิตคำเดียว ต้องรู้ยิ่งกว่านี้ จิตเกิดขึ้นหลากหลายมากโดยนัยของการเกิด คือ ชา-ติ มี ๔ เกิดเป็นกุศลหนึ่ง เกิดเป็นอกุศลหนึ่ง เป็นเหตุ ทำให้เกิดวิบากคือผลของจิตเจตสิกซึ่งเป็นเหตุ เพราะฉะนั้นกุศลหนึ่ง อกุศลหนึ่ง และก็ผลของกุศล อกุศลอีกหนึ่ง ๓ ชาติ กุศลหนึ่งชาติ อกุศลหนึ่งชาติ วิบากหนึ่งชาติ และจิตที่เกิดโดยไม่ใช่ผลของกรรม และไม่ใช่กรรมอีกหนึ่ง เป็นกิริยา เพราะฉะนั้นจิต เริ่มต้นจะพูดถึงโดยชาติ หรือจะพูดถึงโดยกิจ หรือจะพูดถึงด้วยอารมณ์ หรือจะพูดถึงอะไรนี่ต้องเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเราก็แค่จำใช่ไหม แต่ทำไมทรงแสดงละเอียดกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา แค่นี้ก็ยังเป็นเราที่ฟังที่เข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเท่านั้น พระพุทธศาสนาไม่ใช่ให้คนไม่เข้าใจ ถ้าผิดก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    8 พ.ค. 2568