ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
ตอนที่ ๑๑๕๓
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเราไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็ได้ กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ กับทุกคนซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้ เห็นมีจริงๆ มีใครไม่เห็นบ้างไหม เพราะฉะนั้น เห็นนั่นเองเป็นธรรม เห็นเป็นโลกหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นจะมีโลกไหม จะมีคิดนึกเรื่องโลกไหม เเล้วธรรมอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม คิดนึกเป็นธรรม สุขเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อใช้คำว่าธรรมแล้วก็ต้องตรงกับคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ไม่มีใช่ไหม
ใครคิดบ้างว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏนี้เกิดจึงปรากฏว่ามี แค่นี้ก็ไม่มีใครนึกถึงเลยว่านี่คือธรรม คือสิ่งที่มีจริงซึ่งกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น และสิ่งที่คนไม่สามารถจะรู้ได้เลยก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดได้ แต่ต้องมีสิ่งซึ่งอุปการะ อุดหนุน อุปถัมภ์ เกื้อกูล อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เช่น เห็น ถ้าไม่มีตา เห็นไม่มีแน่นอน ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เห็นก็เกิดไม่ได้ แข็ง กระทบตาไม่ได้เลย ไม่มีใครเห็นแข็ง แต่แข็งอยู่ตรงไหน มีสิ่งที่กระทบตาทำให้ปรากฏรูปร่างสัณฐานที่จะจำได้ว่าเป็นอะไร เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้
ขณะนี้ มีสิ่งที่สามารถกระทบตา จิต ธาตุรู้ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าขณะนี้ ทุกสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิดและก็ดับอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดไม่หยุดเลย และมากมายด้วย มีปัจจัยที่จะให้เกิดหลายอย่างก็ปรากฏรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเหมือนกับเป็นคน เป็นสัตว์ แต่ถ้าแยกย่อยออกไปก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดยิบ ที่ร่างกายหรือที่ตัวของเรานี้สามารถที่จะแตกย่อยออก ตัดแขนก็ได้ ตัดขาก็ได้ ที่ตัดกันเป็นประจำก็คือผม เล็บ ใช่ไหม แสดงว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ ไม่ใช่แค่ตัดผม ไม่ใช่แค่ตัดเล็บ ไม่ใช่แค่ตัดขา ตัดแขน ตัดได้หมดทุกอย่าง เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ นี่คือธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครด้วย เห็นเป็นเห็น นกก็เห็น แมวก็เห็น คนก็เห็น ดังนั้นเห็นจะเป็นนก เป็นแมว เป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นเห็น คือธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยเพราะว่ารวมกัน ทำให้หลงว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงที่ยั่งยืนนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีใครเคยคิดว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นและก็ดับไป สืบต่อกันอย่างเร็วมากจนไม่ปรากฏการเกิดดับเพราะความรวดเร็ว ซึ่งไม่รู้มานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น จะเริ่มรู้ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่คำของคนอื่น เพื่ออะไร เพื่อให้ละคลายความหลงติดข้องว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยง
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะมีความติดข้องต้องการสิ่งนั้นไหม ในเมื่อไม่มี ไม่เกิด แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วไม่รู้ จึงติดข้องในสิ่งนั้น เมื่อเห็นแล้วก็อยากเห็น ไม่มีใครไม่อยากเห็นเลยใช่ไหม ตื่นมาก็ลืมตาแล้ว ไม่มีใครตื่นมาแล้วหลับตาไปเรื่อยๆ ตื่นและลืมตาเพื่อเห็น แต่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเห็นเกิดเพราะมีตา แล้วก็มีสิ่งที่กระทบตา เห็นจึงเกิดขึ้น แล้วเห็นก็ดับไป
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงแตกย่อยออกละเอียดยิบ สำหรับรูปร่างกายหรือสิ่งที่ไม่รู้อะไร เช่น โต๊ะ เก้าอี้ พวกนี้ก็แตกย่อยได้หมด เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แต่ธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ที่เราใช้คำว่าจิตเกิด ก็ต้องอาศัยสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ด้วยกัน แต่ต่างกัน ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า เจตะสิกะ แต่คนไทยก็เรียกย่อๆ ว่าเจตสิก
ก่อนฟังธรรม ก่อนรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยได้ยินคำว่าเจตสิกไหม แต่ได้ยินคำว่า ชอบ โกรธ สำคัญตน ดื้อ ขยัน ทุกอย่างนั้นมีจริงๆ ทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ดังนั้นสภาพที่ขยัน ที่ขี้เกียจ หรือว่าที่โกรธ ที่รักต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเจตสิก ธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งที่เป็นสภาพรู้ เพราะเหตุว่าถามว่าชอบอะไร ต้องมีสิ่งที่ปรากฏจึงชอบ หมายความว่ารู้สิ่งนั้นแล้วชอบสิ่งนั้น หรือว่ารู้สิ่งนั้นแล้วไม่ชอบสิ่งนั้น ซึ่งก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ธรรมก็คือสิ่งที่มี ไม่เคยขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะของชีวิต พอที่จะรู้จักธรรมแล้วใช่ไหม ที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่หลากหลายมากจนเราสามารถที่จะเรียกได้ว่า พวงมาลัย โต๊ะ คน เก้าอี้ แต่ละหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ที่ไม่รู้ก็คือว่า สิ่งนั้นเกิด โดยใครก็ไม่สามารถที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้ นอกจากเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น โกรธเกิดขึ้น จะเปลี่ยนโกรธให้เป็นความติดข้องพอใจรักใคร่ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเกิด ใครบังคับได้ เดี๋ยวนี้เกิดแล้วทั้งหมด จึงไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย ทุกขณะที่มีจริงเป็นธรรมซึ่งไม่รู้ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้
ธรรม คือ สิ่งที่มี แต่ไม่เคยรู้มาเลยในชีวิตถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราฟังนี้เป็นเพียงไม่กี่คำ แต่ใน ๔๕ พรรษา พระมหากรุณาทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้คนฟังได้พิสูจน์ว่า คำของพระองค์เป็นคำจริงทุกกาลทุกสมัย ซึ่งถ้าได้ฟังธรรมเพียงนิดหน่อย ไม่สามารถที่จะถึงการที่สักการะนอบน้อมเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะเข้าใจขึ้นเมื่อไหร่ ก็เคารพนับถือในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นเมื่อนั้น ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วก็ต้องเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า ธรรมทุกอย่างไม่เว้นเลย ในภาษาบาลีก็จะเป็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นภาษาไทย แปลเป็นภาษาไทยมีข้อความว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทั้งหลายคือสัพเพ เพราะฉะนั้น สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหมด ทั้งปวง ทั้งสิ้น ไม่เหลือเลยเป็นอนัตตา
พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอนัตตาหรือเปล่า ให้เราไตร่ตรอง ให้เราคิดว่าความจริงทำไมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีปัญญาที่รู้ความจริงก็ไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระสัมมาส้มพุทธเจ้าก็คือปัญญาที่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี โดยสิ่งที่มีก็ต้องมีตามเหตุตามปัจจัยว่า จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีปัญญาถึงระดับที่รู้ความจริง และสามารถแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจถูก และรู้ตามด้วย
ทุกคนที่ไม่ได้ฟังธรรมจะไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เเล้วไปหาธรรมที่อื่น ไม่ต้องไป ไปเพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมแล้วไม่รู้ธรรม จึงไปหาธรรม ซึ่งไปหาที่ไหนก็เป็นธรรมทั้งนั้น แต่ก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าทั้งๆ ที่ธรรมเดี๋ยวนี้มีก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปหาธรรมที่ไหน จะรู้ได้อย่างไร ดังนั้นก็ต้องค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะไม่รู้ใช่ไหม เราถึงได้มาที่นี่เพื่อที่จะรู้ขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนก็จะมีคำถาม มีข้อข้องใจ มีเรื่องไม่รู้มาก และก็สามารถที่จะรู้ขึ้นได้เมื่อมีการสนทนาร่วมกัน
ใครที่มีความไม่รู้ ที่อยากจะรู้ ก็ขอเชิญ
ผู้ฟัง กว่าที่พระพุทธเจ้าท่านจะกลั่นกรองคำว่าธรรมออกมา ท่านต้องทำอะไรมาบ้าง และ ธรรม กับ ไม่เที่ยงเกิดดับ ความหมายเดียวกันหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ก็น่าคิด บางคนคิดว่าพระองค์ประทับใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทำสมาธิแล้วก็รู้แจ้งความจริง ลองไปนั่งดู แล้วเมื่อได้ยินคำว่าสมาธิก็ไม่รู้ เห็นไหมว่า ทุกคำที่พูดนั้นไม่รู้จักตั้งแต่เกิด พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น จนกว่าจะเข้าใจ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร และอะไรเป็นเหตุให้พระองค์ได้ตรัสรู้ความจริง เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้เห็นจริงไหม
ผู้ฟัง เห็นจริง
ท่านอาจารย์ การศึกษา หรือการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องละเอียดยิ่ง ทุกคำที่สนทนากันเพื่อที่จะเข้าใจต้องละเอียด ถ้ามีคำถามว่า ขณะที่เห็นมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ใช่ไหม ขณะเห็น เฉพาะขณะเห็นอย่างเดียว ในขณะนั้นจะมีอย่างอื่นอีกได้ไหม
ผู้ฟัง มีอย่างอื่นไม่ได้
ท่านอาจารย์ มีอย่างอื่นไม่ได้เลย ทั้งหมดเลยใช่ไหม ต้องทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ใครรู้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้เพราะได้บำเพ็ญพระบารมี เริ่มจากการเป็นพระโพธิสัตว์ ความคิดของพระองค์ก็ต่างกับคนอื่น เพราะเหตุว่ามีการเกิดแล้วก็ตาย ก่อนที่จะตายก็สารพัด เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีครอบครัวบ้าง เดือดร้อนบ้าง สบายบ้าง ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป แล้วจะไม่มีอะไรเหลืออีกเลย ไม่เหลือจริงๆ ไปหาดูว่าคนที่จากโลกนี้ไปแล้วอยู่ไหน ไม่มี หาเท่าไหร่ก็ไม่มี
ขณะที่พระองค์ยังไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็เริ่มคิดว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏจะต้องมีความจริงที่ลึกซึ้งกว่าเท่าที่ปรากฏว่าเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์
ดังนั้น ถ้าสามารถที่จะเข้าใจเพียงหนึ่งที่ปรากฏจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เริ่มจากโพธิ คือปัญญาที่ไตร่ตรองที่จะรู้ว่าแล้วรู้อะไร เกิดมาในโลกนี้แล้วรู้อะไรในโลกนี้บ้าง เพราะโลกนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีแล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คืออะไรกันแน่ แต่ละหนึ่งๆ แล้วก็รู้ได้เลยว่าความไม่รู้มีมาก และความไม่รู้เป็นเหตุที่จะให้เกิดความไม่ดี ที่เราใช้คำว่าเศร้าหมองเป็นมลทินของจิต เพราะเจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดกับจิตหลากหลายมากนั่นเอง
ถ้าสภาพของเจตสิกที่ไม่ดีเกิดกับจิต จิตนั้นมีมลทินเศร้าหมอง ไม่รู้แล้วเกิดอะไร ติดข้อง ติดข้องก็แสวงหา แสวงหาได้มาก็ยิ่งรื่นรมย์ในสิ่งที่ได้มาแล้ว เป็นอย่างนี้ชั่วขณะ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ความจริงก็คือความไม่คงที่ ความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่าง และถ้าความต้องการนั้นมากมาย จนกระทั่งสามารถที่จะทำทุจริตถึงกับเบียดเบียนคนอื่นได้ เป็นโทษไหม เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน ทุจริตประเทศชาติอะไรต่างๆ เบียดเบียนทั้งหมด ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นโทษ ซึ่งถ้าเป็นเพียงเล็กน้อยก็ไม่เห็น แต่ผู้มีปัญญาเห็นว่าใหญ่ต้องมาจากเล็ก เพราะฉะนั้น ความทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะเหตุว่า มีความพอใจติดข้องแสวงหาเพื่อตัวเอง ซึ่งเริ่มจากเล็กนิดเดียวที่ติดข้องก็ขยายออกไปจนใหญ่ได้
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในโลกก็ไม่มีอะไรที่จะต้องติดข้องเลย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ จึงติดข้องในเห็น เป็นเราเห็น ถูกต้องไหม ขณะนี้ทุกคนคิดว่าเราเห็น แต่ความจริงผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์สะสมบารมีนานมาก เพราะเหตุว่าในสังสารวัฏฏ์ได้สะสมความไม่รู้มา ไม่สามารถจะประมาณได้ในแสนโกฏิกัปป์ แค่วันนี้ไม่รู้จักเห็น ไม่รู้จักได้ยิน ตั้งแต่เช้ามาความไม่รู้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น กว่าจะมีความเข้าใจซึ่งเป็นความรู้ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็ต้องอาศัยกาลเวลา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นโทษของอกุศลว่าไม่สามารถทำให้รู้ความจริงได้ พระโพธิสัตว์ก็รู้ว่าอะไรจะเป็นเหตุที่สะสมแล้วไม่ให้อกุศล หรือความไม่รู้พอกพูนเพิ่มขึ้นหนาแน่น ทางที่จะไม่ให้อกุศลเพิ่มพูนขึ้นก็คือกุศล เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายก็ไตร่ตรองแล้ว เมื่อครั้งที่เป็นสุเมธดาบสได้ปรารถนาที่จะรู้ความจริงนานมาก จนกระทั่งมีโอกาสได้เฝ้าพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยนั้น พระโพธิสัตว์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นสุเมธดาบสได้ทอดกายลง เพื่อที่จะให้พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จข้ามไป เพราะเหตุว่าที่นั่นเป็นที่โคลนตมซึ่งยังถมที่ไม่สำเร็จ และได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่วันเดียวก็ไปนั่งที่ต้นโพธิ์แล้วก็ทำสมาธิ แล้วก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นผิด เพราะเขาไม่รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ สุเมธดาบสไม่ได้คิดที่จะรู้ความจริงเพียงคนเดียว เพราะรู้ว่าสัตว์โลกมืดสนิท เกิดมากี่ชาติก็ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีเพียงสิ่งที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา และอาศัยปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำ ไปสร้าง หรือไปเปลี่ยนแปลง เพราะว่าแต่ละหนึ่งไม่ใช่ใครและไม่ใช่ของใคร เป็นสิ่งที่มีจริง หนึ่งๆ ๆ ทั้งหมดที่แยกออกไปแล้ว เกิดขึ้นและดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรองว่าเป็นความจริงไหม และหนทางที่จะรู้ความจริงก็คือ เมื่อมีโอกาสได้เข้าใจขึ้นๆ ว่า ขณะนี้เป็นธรรม แค่คำนี้คำเดียว สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้เพราะเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นธรรมฝ่ายดีก็มี ธรรมฝ่ายไม่ดีก็มี
เพราะฉะนั้น เข้าใจแล้วใช่ไหมว่ากว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะบำเพ็ญพระบารมี ถึงพร้อมเมื่อไหร่ก็คือ วันเพ็ญเดือน ๖ ประทับที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเมื่อทรงตรัสรู้ที่ใด ต้นไม้นั้นชื่อว่าโพธิ หรือต้นพระศรีมหาโพธิ์ จึงรู้ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ใครก็ตามไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ต้นนั้นหรือต้นใดๆ เขาไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย
รู้เหตุที่ให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเเล้วว่า ไม่ใช่ใครก็ตามที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไปละกิเลสซึ่งสะสมมานานแสนนาน กว่าจะรู้ได้ อวิชชามากเท่าไหร่ ปัญญาต้องมากเท่านั้น จึงจะสามารถละอวิชชาได้ตามลำดับ นี่คือคำถามที่หนึ่ง ไม่ทราบมีใครสงสัยหรือเปล่าเรื่องการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง คือต้องเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิดก่อน
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่มี เพราะว่ามีธรรม ๒ อย่าง ไม่รู้ กับรู้ เพราะฉะนั้น ทุกคนเป็นคนตรง เห็นเกิด คิดว่าเราเห็น ผิด เพราะเหตุว่าไม่มีเรา แต่มีเห็นซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เราจะอยู่ที่ไหน
คำถามที่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้อย่างไร ซึ่งผู้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาวกนั้นจะรู้อย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ แต่ไม่เท่าถึงพระองค์ได้ แต่ต้องรู้อย่างเดียวกัน คืออริยสัจจธรรม ถ้าไม่รู้เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่สามารถที่จะถึงความเป็นอริยสงฆ์ ที่เราใช้คำว่า พระรัตนตรัย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่ประเสริฐที่สุดในสากลจักรวาล ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับการสามารถรู้สิ่งที่มีซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน
ข้อนี้ไม่ทราบมีใครสงสัยไหม ใครจะเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าใครไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจว่า นี่เองเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวที่เกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เคยเข้าใจแต่เพียงว่าเกิดแล้วก็ตายไป แต่หารู้ไม่ว่ากำลังตายทุกขณะ เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อครู่นี้หมดแล้ว วันนี้ก็หมดเมื่อถึงพรุ่งนี้
เพราะฉะนั้น วันนี้ก็คือเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้ เช่นเดียวกับ ชาตินี้ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า และชาตินี้ก็เป็นชาติหน้าของชาติก่อน ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าชาติก่อนเป็นใครอยู่ที่ไหน และเดี๋ยวนี้ชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ และชาติหน้าจะเป็นใครต่อไปก็ไม่รู้ แต่ว่าเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว
เมื่อเป็นคนนี้เพียงชาติเดียวจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนดี จะเป็นคนเลว ไม่มีใครสามารถที่จะไปตัดสินให้ใครได้ แต่ถ้าเหตุไม่ดี ผลต้องไม่ดี เพราะฉะนั้น เห็นนก หนู ปู ปลา ซึ่งไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผลของกรรมที่ไม่ดี คืออกุศลกรรมที่ทำแล้ว ถ้าเห็นคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม ใครนำมาให้ คนอื่นไม่ได้นำมาให้เลย กรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเองซึ่งเป็นเหตุ ที่จะทำให้นำมาให้ตั้งแต่ขณะที่เกิด เกิดเป็นใคร เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าเกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าเกิดเป็นสุนัขน่ารัก แม้แต่สุนัขที่ไม่น่ารักก็มีใช่ไหม ขอทานก็มี คนโรคเรื้อนก็มี สุนัขโรคเรื้อนก็มี
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำอะไรได้เลย ถ้ามีความเข้าใจ ตรงในเหตุและผล ต้องเป็นคนตรงตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย จึงสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ตรงและใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นสัจจธรรมข้อที่หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้อย่างไร แล้วคนที่เป็นสาวกจะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้อย่างไร
ถ้าไม่ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม จะรู้ได้ไหม ไปสำนักปฏิบัติ หวังอะไร รู้อะไร ทำอะไร ผลก็คือไม่รู้อะไร และก็ไม่รู้ยิ่งขึ้น ถ้ามีใครคิดง่ายๆ ว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ไปนั่งทำสมาธิแล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นไปได้ไหม และพระองค์ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษาโดยประการทั้งปวง เพราะรู้ว่าสิ่งที่พระองค์แสดงลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้ และผู้ฟังแต่ละคนก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน
ดังนั้น จึงทรงแสดงธรรมโดยประการทั้งปวง ค่อยๆ ให้เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ให้รู้ประโยชน์ของการที่จะละความไม่รู้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วก็ไปคิดว่านั่งสมาธิ ทำสมาธิแล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมซึ่งไม่มีในพระไตรปิฏก เพราะว่าพระองค์เองก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ให้เห็นตัวอย่างชัดเจนในชาดกพระชาติต่างๆ ว่าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีอย่างไร มากมายประการใด กว่าจะได้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
เพราะฉะนั้น ทุกคำที่กล่าวไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยการเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงจะค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งมากมายที่สะสมมาได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
