ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
ตอนที่ ๑๑๘๔
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ถึงที่สุดของสังสารวัฏฏ์เพราะเห็นภัย แต่เดี๋ยวนี้เป็นสังสารวัฏฏ์ เป็นภัย ใครเห็น ยังนั่งสบายกันอยู่ใช่ไหม ภัยอยู่ตรงไหน เห็นก็ไม่เดือดร้อน ภัยอยู่ตรงไหน แต่ภัยคือทุกขณะที่มีการเกิด สิ่งนั้นดับไม่เหลือ เกิดทำไม จากไม่มีเลย ไม่มีเสียงแล้วเกิดเสียง แล้วเสียงก็หมด แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ติดข้อง
เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์ก็เป็นไปอย่างนี้ มี ด้วยความไม่รู้จึงเป็นกิเลสติดข้อง เป็นเหตุให้กระทำกรรม เมื่อเหตุมี ผลที่จะเกิดต้องมี อย่างขณะนี้ก็เป็นกุศลกรรม ซึ่งไม่ต้องไปแบกหามอะไร ไม่ต้องไปซื้อหาทำอะไร ไม่ต้องไปช่วยเหลืออะไร แต่เมื่อปัญญาเกิดจะไม่เป็นกุศลหรือ เป็นกุศลที่เป็นการกระทำโดยการฟัง โดยการไตร่ตรอง โดยการเข้าใจ ซึ่งเป็นจิตเจตสิกที่ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา จนกว่าเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เดี๋ยวเราก็ไปสนุกสนานแล้ว เดี๋ยวก็มีอาหารอร่อยแล้ว เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เเล้ว ไม่เห็นภัยเลย
ดังนั้น ผู้เห็นภัยคือต้องได้ฟังพระธรรมก่อน จึงสามารถที่จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม ซึ่งก่อนมีคือไม่มี มีนิดเดียวแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาเกิดอีกเลย เป็นอย่างนี้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรมหมดเลย ไม่มีใครสามารถจะไปเป็นเจ้าของแล้วไปสั่งให้ธรรมเกิดขึ้น หรือทำให้ธรรมที่ดับไปแล้วกลับมาอีก เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อไหร่ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมเมื่อนั้นไม่ใช่เรา นั่นคือเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น ภัยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่คนจมน้ำตายในสังสารวัฏฏ์ แต่ทุกขณะนี้เองเป็นภัย และที่เห็นต้องเป็นปัญญา มีประโยชน์ไหม ลองคิดดู ไม่มี แล้วเกิดมี แล้วดับทันที เหมือนเมื่อครู่นี้ที่มี แล้วมีทำไม เป็นทำไม เป็นไปเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุดคือออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ เหมือนเมื่อครู่นี้เห็นไหม ยังมีขณะนี้ต่อ เดี๋ยวนี้ก็หมด แล้วมีขณะอื่นต่อ ใครห้ามได้
ดังนั้น ใครจะห้ามสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เลย แต่ไม่รู้จักสังสารวัฏฏ์ ด้วยเหตุนี้ พระคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายแค่ไหน กี่พระองค์ ประสูติ ตรัสรู้ที่นี่ ๔ พระองค์มาแล้ว และอีกพระองค์หนึ่งก็จะตรัสรู้ที่นี่ แต่วันนั้นใครจะได้เฝ้า ขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ได้ตรัสรู้และได้แสดงธรรม เรามีโอกาสที่จะกราบนมัสการ มากน้อยแค่ไหนก็ด้วยปัญญาที่เข้าใจธรรม
ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ไม่มีอะไรที่ประเสริฐกว่าพระธรรม จากผู้ที่เสียสละบำเพ็ญบารมีให้เราแต่ละคนได้ยินได้ฟังคำนี้ และจะได้ยินได้ฟังต่อไปอีก เพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้วคือการได้ฟัง จึงเห็นประโยชน์ที่จะฟังต่อไป มากน้อยเท่าไหร่ก็ตามกำลัง
ดังนั้น ค่อยๆ สะสม จนกว่าจะมีกำลังโดยไม่ประมาท คือฟังธรรมด้วยความเคารพ เข้าใจคำที่ได้ฟัง อย่าข้ามสักคำเดียวโดยไม่เข้าใจ เพราะถ้าข้ามคำไหนไป แล้วมีอีกตั้งหลายร้อยคำตามมาก็ไม่เข้าใจทั้งหมดเลย แต่ต้องเข้าใจบริบูรณ์ในคำนั้นทีละคำ ทุกอย่างเป็นธรรม นี่ขั้นฟัง ถ้าขั้นระลึกได้นั้น ก็เเล้วเเต่ใครจะระลึก วันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาก็ธรรม สิ่งที่ปรากฏนั้นมีจริง แต่นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏ แล้วยังมีอีกหนึ่งๆ ๆ ที่สืบต่อมา ระลึกได้บ้างไหม ระลึกแค่ไหน
จนกว่าเข้าใจคำว่าไม่ประมาท คือเมื่อไหร่ทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อนั้นจะมีความเข้าใจอีกระดับหนึ่ง เพราะมั่นคงแล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรม โดยไม่ต้องเข้าป่า ไม่ต้องไปที่สำนักไหน ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งหมดเลย แต่คือเดี๋ยวนี้ ถ้าจะเข้าใจคือเข้าใจเดี๋ยวนี้ อยู่ตรงไหนก็มีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจจึงเข้าใจได้ ไปอยากเข้าใจอะไรที่ไหนก็ตามโดยที่ไม่มีความเข้าใจเลย เเต่ไปนั่งอยากเข้าใจ จะเข้าใจได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทด้วยความไม่ใช่เรา แต่รู้ว่าปัญญาคือความรู้ ไม่ใช่ความไม่รู้ ดังนั้น ปัญญาประเสริฐกว่า มีค่ากว่า บางคนบอกจะรู้ไปทำไม สำหรับเขาก็พูดไปจะรู้ไปทำไม แต่สำหรับผู้ที่รู้ค่าของปัญญา รู้เพื่อรู้ว่า ไม่รู้เป็นโทษแค่ไหน เพราะไม่รู้ใช่ไหม จึงติดข้องในความเป็นเรา ลองคิดดู ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย โลกมีไหม
ทุกคำไม่ใช่ไปตามใคร แต่คิดเอง ไตร่ตรองเอง ปัญญาของผู้นั้นเองที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานคำ ให้เขาได้คิด ได้ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของเขา ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งสิ้น โลกมีไหม ไม่มีแน่นอนเลยใช่ไหม แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นนั่นคือโลก
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏคือเกิดทั้งนั้น จะบอกว่าไม่เกิดได้อย่างไร โลกก็คือแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมหาศาล จนกระทั่งเป็นโลกเดี๋ยวนี้ ซึ่งนับไม่ถ้วน ออกไปข้างนอกเป็นโลกอีก ไปที่ไหนก็ไม่พ้นจากโลกนี้ไปได้เพราะว่ามีสิ่งที่เกิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแค่สิ่งเดียว เเต่ไม่รู้ใช่ไหม
เมื่อไม่รู้จึงมีความเป็นเกิดขึ้น ความเป็นนั่นคือจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ แข็งเกิดขึ้นมา ใครไม่ให้แข็งเกิดก็ไม่ได้ รู้ ธาตุรู้เกิดขึ้น ใครจะไปบอกว่าอย่าเกิด ไม่ให้มีธาตุรู้เลยก็ไม่ได้ หรือจะบอกว่าอย่ามีเสียง ไม่ให้เสียงเกิดก็ไม่ได้
ดังนั้น ธาตุรู้ที่เกิด ใครก็ห้ามไม่ได้เลย ซึ่งความเข้าใจความเป็นอนัตตาก็จะมั่นคงขึ้นอีกว่า ทั้งหมดมีจริงแน่ๆ กำลังมี จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงแค่มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อะไรก็ได้เพราะไม่รู้ ขณะนั้นมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นแล้ว
ทั้งหมดเป็นธรรม ธาตุรู้ บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น แข็งบังคับไม่ได้ แต่ใครรู้บ้างว่า ถ้าไม่มีปัจจัยแข็งก็ไม่เกิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ลักษณะแต่ละหนึ่งของสิ่งที่เกิด พร้อมทั้งปัจจัยที่ทำให้แต่ละหนึ่งเกิดขึ้น อย่างเช่นจิตเห็น รู้เลยว่าเกิดได้อย่างไร และสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ที่ไม่ใช่จิต คือเจตสิก เป็นนามธรรมที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต หลากหลายเป็นแต่ละหนึ่งถึง ๕๒ ประเภท
หนึ่งขณะจิตที่เห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ทุกประเภทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า แต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยโดยฐานะอะไร ซึ่งไม่เหมือนกันเลย เพื่อเเสดงให้รู้ว่าเป็นธรรมที่ยังไม่สามารถละการยึดถือว่าเป็นเรา จนกว่าจะฟังเข้าใจขึ้นๆ ๆ จนกว่าจะถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าปฏิปัตติ เพราะมีความเข้าใจแล้วจึงเป็นเหตุให้ระลึกรู้สิ่งหนึ่ง อย่างในขณะนี้จะระลึกรู้แข็งก็ได้ จะระลึกรู้คิดก็ได้ อะไรก็ได้ที่มีจริงๆ โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครไปสั่ง ไปบอกให้ทำ หรือให้เลือกรู้อย่างนี้ ให้เลือกรู้อย่างนั้น
เมื่อฟังตลอดชีวิตจะเข้าใจคำว่า"อนัตตา"เพิ่มขึ้น เพราะทุกอย่างทุกขณะเป็นอนัตตาทั้งหมด เเต่เราเข้าใจแค่นิดเดียว เพราะทุกอย่างเป็นอัตตามานานแสนนาน แต่ก็เริ่มเข้าใจ จนกว่าจะทั่วทุกอย่างจริงๆ แล้วธรรมจึงปรากฏดี ซึ่งในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า ธรรมปรากฏดี ดีคืออย่างไร คิดเองไม่ได้
ดี เพราะเหตุว่า ก่อนฟัง ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เกิดแล้วดับแล้วไม่รู้สักอย่าง ตื่นขึ้นมาทั้งตัวนี้ก็แข็ง กระทบตรงไหนก็แข็ง นิ้วก็แข็ง แปรงสีฟันก็แข็ง ผลไม้ก็แข็ง มีหวานมีเปรี้ยวด้วย ใครไปสร้างไปทำ ทั้งหมดเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เเต่ไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้น ปรากฏดี คือขณะนั้นลักษณะของธรรมหนึ่งปรากฏ ต่างกันไหม ขณะนี้ถ้าถามเด็กว่าแข็งไหม เด็กตอบได้แน่นอนว่าแข็ง เพราะมีสภาพรู้แข็ง ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่คนชาตินั้นชาตินี้ หญิงชาย ธาตุรู้เกิดขึ้น ไม่ใช่เห็น แต่ธาตุรู้ขณะนั้นรู้แข็ง ธาตุรู้คือจิต เจตสิก ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ภาษาบาลีใช้คำที่เรียกสิ่งที่ถูกรู้ว่า อารัมมณะ หรือ อาลัมพณะ ซึ่งคนไทยจะชินหูกับคำว่าอารมณ์ คือตัดออก แทนที่จะพูดอารัมมณะ ก็เป็นอารมณ์
ดังนั้น อารมณ์จึงไม่ใช่อย่างที่เราพูดกัน เช่น วันนี้ ตื่นขึ้นมาอารมณ์ดีไหม ถ้าเมื่อคืนนี้ก่อนนอนหลับอารมณ์ไม่ดี กังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตื่นขึ้นมาก็กังวลแล้ว คิดแล้ว
เพราะฉะนั้น อารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ ถ้าเราเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงดี ได้กลิ่นดี ไม่ปวดไม่เจ็บ วันนั้นอารมณ์ดีใช่ไหม การที่คนไทยบอกอารมณ์ดีก็เพราะเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบ คิดนึกเรื่องดี สมมติว่าเราเป็นคนรับใช้ใครสักคนหนึ่ง ถ้าตื่นมาแล้วโดนว่าตั้งแต่เช้าเลย บ้านไม่สะอาด อาหารไม่อร่อย อะไรก็ตามแต่ คนที่ได้ยินคำว่าบ้านไม่สะอาด อาหารไม่อร่อย คนนั้นจะอารมณ์ดีไหม รู้สิ่งที่ไม่ดีใจก็เศร้าหมอง
คนไทยคิดว่าเวลาไม่สบายใจคืออารมณ์ไม่ดี แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะใจจะไม่สบายก็ต่อเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อย่างที่ยุคนี้สมัยนี้ เด็กวัยรุ่นเขาจะใช้คำว่า "ดีต่อใจ" ซึ่งเขาพูดถูก แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นดีต่อใจ เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นดี ใจที่รับรู้ขณะนั้นก็สบายใจ ใช่ไหม เขาก็บอกดีต่อใจ แต่ความจริงหมายความว่า สิ่งที่ปรากฏที่จิตรู้ซึ่งเป็นอารมณ์นั้นดี ดีกับอะไร ก็ต้องดีกับใจ เพราะใจเป็นสภาพรู้
ใจกับจิต เป็นคำที่คนไทยใช้ด้วยกัน โดยมากจะใช้คู่กัน คือเราจะใช้คำอื่นแล้วก็มีคำของเราเองต่อท้ายให้รู้ เราคุ้นเคยกับคำว่าใจ คนนั้นใจดี ใจร้ายเราไม่ค่อยจะคุ้นว่าจิตดี ใช่ไหม คนไทยได้ยินคำว่าจิต ก็ใช้คำต่อกันเลยว่าจิตใจ โดยคิดว่าใจคือจิตใจ ชึ่งความจริงก็คือจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ดังนั้นใจจึงไม่ดีไม่ร้าย แต่เจตสิกที่เกิดด้วยทำให้ใจเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น ธาตุรู้คือจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ โดยเราไม่รู้เลย จิตเห็นแล้วถึงได้จำได้ ถึงได้ตอบได้ว่าเห็นอะไร โดยที่บางคนเห็นละเอียด บางคนเห็นไม่ละเอียด ก็แล้วแต่ แต่ต้องมีเห็นในขณะนั้น ซึ่งเห็นขณะนั้นคือธาตุรู้ เดี๋ยวนี้มีไหม ก็ตอบกันได้ว่ามี แต่ไม่ปรากฏ เจตสิกมีไหม มี ก็ตอบได้ในขั้นฟัง แต่ไม่ปรากฏ ปรากฏโดยความเป็นเราแล้วจะชื่อว่าปรากฏดี ได้ไหม
เพราะฉะนั้น ปรากฏดีในพระไตรปิฎก ต้องเป็นคนที่เคยฟังธรรม เข้าใจธรรม แล้วรู้ว่าดีคือไม่ใช่แค่อย่างที่เด็กตอบว่าแข็ง แข็งดับเด็กก็ไม่รู้ รู้ได้เพียงแข็งเเค่ไหน แต่แข็งคืออะไรเด็กรู้ไม่ได้เลย เขาอาจตอบว่าแข็งเป็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังธรรมมาก่อนก็เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะตอบว่า เเข็งคือสิ่งที่มีจริง
เเม้เเต่คนที่ฟังธรรมมาแล้ว เมื่อจับแข็งก็ยังไม่ได้ปรากฏดีในชีวิต ต่อเมื่อใดมีความเข้าใจขึ้นว่า สิ่งนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะของสิ่งนั้น เมื่อแข็งปรากฏดี เพราะความเข้าใจดี พร้อมสติสัมปชัญญะที่รู้เฉพาะแข็งตรงนั้นที่ปรากฏ จะไม่ดีได้อย่างไร เฉพาะแข็งตรงนั้นที่ปรากฏ พร้อมความเข้าใจ พร้อมสติสัมปชัญญะที่รู้เฉพาะตรงนั้น
คำว่าปฏิปัตติ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ขณะนั้นกำลังถึงเฉพาะสภาพที่มีจริงอย่างเดียว ถ้าหลายๆ อย่างก็ไม่ถึงเฉพาะอย่างสักอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ถึงเฉพาะอะไร จะตอบว่าเห็น หรือจะตอบว่าคิด หรือจะตอบว่าจำ ไม่ได้เลย แต่เมื่อสิ่งหนึ่งปรากฏดี นั่นคือสติสัมปชัญญะพร้อมความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจปรากฏดีไม่ได้ ก็เป็นเก้าอี้ แข็งก็เก้าอี้ ต่อให้จับดีๆ ก็ยังคงเป็นเก้าอี้อยู่ อย่างนั้นไม่ใช่ปรากฏดี แต่ปรากฏดีกับปัญญา ที่มีความเข้าใจในความเป็นธาตุ คือสิ่งที่มีนั้นเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ แข็งคือแข็ง
เพราะฉะนั้น แข็งไม่ใช่แขนเรา แข็งไม่ใช่นิ้วเราเมื่อไหร่ ขณะนั้นแข็งก็ปรากฏดี แต่น้อยมาก จนกว่าดียิ่งกว่านั้นอีก เพราะปัญญามากยิ่งกว่านั้น ดังนั้น การฟังธรรมจะค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น และรู้ว่าหนทางผิดคืออะไร หนทางผิดคือไปไหน ไปทำอะไร ฟังอะไร เข้าใจอะไรหรือเปล่า มีแต่ตัวตนซึ่งผิดหมด ไม่มีทางที่จะเป็นการละเพราะรู้ ปล่อยวางต้องด้วยปัญญาจริงๆ และแข็งที่กระทบไม่ว่ากับใคร เเข็งก็เกิดดับจริงๆ ค้านคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
เพราะฉะนั้น แสดงว่าที่ไม่ปรากฏเพราะปัญญาไม่ถึงระดับที่สภาพนั้นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ จะปรากฏได้ แต่เริ่มรู้ความต่างของแข็งซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่รู้ จนกระทั่งแข็งเป็นสิ่งที่มีจริงระดับหนึ่ง คือคิดว่าสิ่งที่มีจริง จนถึงระดับที่ไม่ต้องคิดเลย ลักษณะเฉพาะแข็งปรากฏ อย่างอื่นไม่ปรากฏเลย และปรากฏตามปกติด้วย เป็นอนัตตาด้วยดี สั้นด้วย รู้ความต่างกันว่า แม้สติสัมปชัญญะที่รู้ก็หมดแล้ว เร็วมากจนไม่พอที่จะรู้ความจริงว่าแข็งนั้นเกิดดับ
เรื่องของปัญญาก็เป็นเรื่องที่อีกยาวนาน คิดถึงผู้ที่ตรัสรู้เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก่อนที่จะได้ฟังคำพยากรณ์ พระองค์ตั้งความปรารถนาที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เวลานี้แม้เป็นสิ่งที่มีจริงเราก็ตอบไม่จริง เช่น เราไม่ได้ตอบว่าเห็นมีจริง ตามีจริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริง เราไม่ตอบอย่างนี้เลย ที่เราตอบว่าเห็นมีจริงก็เพียงแค่ว่าเห็นมี เพราะเห็นกำลังปรากฏ แต่จริงที่นี่ไม่ใช่ว่าเราเห็น จริงที่นี่คือเฉพาะเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ และไม่ใช่ตาด้วย กว่าจะถึงความเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่ตา เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เห็นเป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรปรากฏ
แค่นี้ก็ฟังแล้วไตร่ตรอง ค่อยๆ สะสมไปเพื่อชาติไหนก็ได้เมื่อเกิดอีก มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมต่อไป เข้าใจต่อไป และสะสมต่อไป จนกว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่รู้เองโดยไม่ต้องไปถามใคร จะถามคนอื่นว่าตัวเองเข้าใจเเค่ไหนได้หรือ ใครจะบอกได้ อย่างเด็กตอบว่าแข็งก็ว่าเด็กเก่ง บอกเด็กว่านี่คือรูปธรรม เด็กก็ตอบตามคำว่ารูปธรรม ง่ายมาก แข็งเป็นอะไร แข็งเป็นรูปธรรม เเค่ชื่อใครก็ตอบได้ แต่ความเข้าใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประทับในวันวิสาขะ ตรัสรู้ความจริง ณ สถานที่นี้ ถึงพระธรรมที่ได้ตรัสไว้เเล้วนั้นจะนานเท่าไหร่ ก็ยังเป็นโอกาสให้คนที่ได้ฟังสืบทอดมาเข้าใจอย่างถูกต้อง
คำไม่จริงทุกคำทำลายคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้ที่อาจหาญ ที่จะดำรงรักษาคำสอนทั้ง ๓ ปิฎก เป็นการบูชาคุณสูงสุด เพราะว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้ให้เราได้เข้าใจด้วย โดยที่พระองค์ไม่ได้ปราถนาสิ่งใดเลย นอกจากให้เราได้ฟังแล้วก็ได้เข้าใจ ซึ่งพระสาวกทั้งหลายท่านก็ฟังธรรม เข้าใจธรรม อบรมเจริญปัญญา บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเข้าใจจากการไตร่ตรอง จนกระทั่งเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
อ.ธีรพันธ์ หลังจากได้ฟังแล้วก็มีการพิจารณาว่า จริงๆ แล้วจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยที่เกิดขึ้น อย่างเช่น เห็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่ามีการคิดนึกต่อว่าเป็นเก้าอี้
ท่านอาจารย์ ทีละหนึ่งก็ได้ อะไร
อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่ปรากฏทางตา จะต้องมีแน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตาแค่ไหน แค่ฟัง ฟังไปๆ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏไป จนกว่าฟังไป เข้าใจไป จนเข้าใจสิ่งที่ปรากฏในขณะที่กำลังปรากฏ โดยไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น อยากรู้ก็ผิดแล้ว พยายามไปจ้องก็ผิดอีก ไม่มีทางรู้ได้เลยเพราะเป็นเราเป็นตัวตน แล้วจะไปทำให้เข้าใจด้วยความเป็นตัวตนก็ไม่มีทางสำเร็จเลย
นี่คือสิ่งที่เมื่อตรัสรู้จึงไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงความลึกซึ้ง แต่จากพระบารมีที่สะสมมา ชั่วขณะที่เห็นว่ายากสุดที่ใครจะเข้าใจได้ ก็รู้ว่ามีผู้ที่ฟังพระธรรมเข้าใจเพราะสะสมมา เพราะฉะนั้น จากการสะสมอย่างนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อสักครู่นี้ตอบว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ตอนนี้อะไร
อ.ธีรพันธ์ คือรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏแสดงว่า จะต้องมีขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ยากไหม ไม่ใช่เราเห็น แล้วแค่หนึ่งขณะเอง ดับแล้ว คิดดู เพราะฉะนั้น โลกไม่ได้ปรากฏการเกิดดับตามที่เป็นจริง เพราะถูกปิดบังไว้ด้วยการเกิดดับสืบต่อของจิต เจตสิก และรูป อย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้
ด้วยเหตุนี้ รูปที่เกิดดับสืบต่อกันก็ปรากฏเป็นนิมิต ในภาษาบาลี หมายความถึงรูปร่างสัณฐาน สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่มีคิ้ว ไม่มีตา จะบอกว่ามีคนไหม แต่เห็นคิ้ว ต้องมีเห็น และมีรูปที่เกิดดับ รวมกันเป็นสัณฐานของคิ้ว เมื่อถึงตาก็ไม่ใช่สัณฐานของคิ้วแล้ว เป็นสัณฐานของตาอีก นี่คือสิ่งซึ่งปิดบังไว้แน่นหนาเพราะการเกิดดับสืบต่อ
คำใหม่ที่ได้ยินอีกคำหนึ่งคือนิมิต หมายความถึงรูปร่างสัณฐาน ซึ่งมาจากการเกิดดับอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงทำให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่สภาพเห็นเกิดดับ เห็นหนึ่งขณะไม่รู้หรอก แล้วกว่าจะเป็นทั้งตัว กว่าจะเป็นคิ้วเป็นตาก็เกิดดับมากมายเท่าไหร่เเล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดคือนิมิต เราจึงอยู่ในโลกของนิมิต รู้ไหมว่าเหมือนความฝัน เพราะว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง แต่ความรวดเร็วลวงให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ลวง เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เหมือนเราจุดธูปหนึ่งก้านเเล้วแกว่งให้เป็นวงกลม ทำไมถึงเป็นแสงไฟที่เป็นวงกลมได้จากเพียงหนึ่ง ฉันใด แต่ละหนึ่งที่เกิดในรวมกันแล้วเป็นคิ้ว เป็นตา เป็นคน จะเร็วแค่ไหน นี่คือนิมิต บางแห่งจะใช้คำว่ามายา เพราะจิตเหมือนนายมายากล ทันทีที่ดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดทันที คิดดูคำว่าทันทีนั้นเร็วแค่ไหน ไม่มีช่องว่างเลยสักนิดเดียวที่จิตจะขาดการเกิดดับ แล้วไม่มีจิตอื่นเกิดต่อ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
