ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
ตอนที่ ๑๑๖๐
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่ว่ารู้ไหมว่าขณะเห็น ดีต่อใจหรือเปล่า ขณะได้ยิน เสียงปรากฏ ดีต่อใจหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบเสียงนั้นไม่ใช่ดีต่อใจ แต่ถ้าเป็นเสียงเพราะ เช่น เสียงดนตรี เสียงนั้นก็ดีต่อใจ เพราะฉะนั้น ใจสามารถที่จะรู้สิ่งต่างๆ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ตาไม่เห็น แต่เพราะมีตาจึงเห็นสิ่งที่กระทบตาและกำลังปรากฏ แค่นี้ กว่าจะรู้จักว่าที่เราพูดว่าดีต่อใจนี้มีกี่ทาง ทางตาเวลาเห็นหนึ่ง ทางหูเวลาได้ยินหนึ่ง ทางจมูกเคยคิดไหมว่าดีต่อใจหรือเปล่า ถ้ากลิ่นหอมดีต่อใจ ถ้ากลิ่นไม่หอมก็ไม่ดีต่อใจ เวลารับประทานอาหารทุกวัน ดีต่อใจหรือเปล่า คือแต่ละขณะ น้ำพริกเผ็ดมาก ดีต่อใจไหม กำลังพอดีๆ อร่อย ดีต่อใจไหม
ต่อไปนี้เราพูดคำอะไร เราเริ่มเข้าใจว่าแท้ที่จริงเพราะเหตุว่า มีใจ ซึ่งสามารถที่จะรู้สิ่งต่างๆ โดยการอาศัยตา เห็นเกิดขึ้นเห็น อาศัยหู เกิดขึ้นได้ยินรู้เสียง อาศัยจมูก เกิดขึ้นรู้กลิ่น อาศัยลิ้น เกิดขึ้นลิ้มรส อาศัยกายรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส นี่คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ทุกวันด้วย ไม่พ้นจากธรรมเลย
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในโลก ไม่มีอะไรเลย มีเราไหม มีไหม ไม่มีอะไรเกิดก็ไม่มีเรา แต่เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราเห็น เราได้ยิน ถ้าตาบอดไม่เห็นก็ไม่มีเราเห็น แต่รู้ไหมว่าเห็นชั่วครั้งชั่วคราวแสนสั้น เพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เราจะไม่อยู่ที่ไหนเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้น เข้าใจผิดยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดจึงปรากฏว่ามี ถ้าเงียบก็ไม่มีเสียง แต่มีเสียงเมื่อเสียงเกิดขึ้น ถ้าเสียงไม่เกิด จะมีเสียงไหม ก็ไม่มี ซึ่งพระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างที่มีจริงๆ ทรงตรัสรู้ว่า เสียงเกิดเมื่อไหร่ ขณะที่เสียงเกิดขึ้น เสียงตั้งอยู่ได้ไม่นานเลย เสียงก็ดับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับหมด โดยที่ไม่มีใครรู้เลย
เมื่อเช้าก่อนมาที่นี่อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้อยู่ที่นี่เเล้ว กลับไปหาคนเก่าที่อยู่ที่โน่นได้ไหม ไม่มีเลย ทุกขณะมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไปตลอดเวลา ไม่ได้กลับมาเลยสักอย่าง สิ่งที่ดับแล้วดับเลย หาอีกไม่ได้ในสังสารวัฏฏ์ เคยโกรธเพื่อน ความโกรธยังอยู่ไหม เดี๋ยวนี้ที่กำลังนั่งฟังกำลังได้ยิน ความโกรธยังอยู่ไหม ไม่อยู่แล้วใช่ไหม กลับไปหาความโกรธนั้นว่าอยู่ไหนก็หาไม่เจอ อย่างไรๆ ก็ไม่เจอ เพราะแค่มีแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เสียเวลาโกรธไหม เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ดีทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็แค่ชั่วคราว เพียงแค่เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อรู้ว่าเราได้เข้าใจสิ่งที่มี จากการที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยทั้งสิ้น แม้แต่คำพูดว่าดีต่อใจ ต้องหาใจก่อนว่าใจอยู่ที่ไหน รู้จักใจแล้วจึงสามารถที่จะกล่าวว่า ดีต่อใจคืออะไร คือสิ่งที่ใจกำลังรู้ มีคนที่ไม่มีใจไหม คนตายเท่านั้นใช่ไหม แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีใจ
ดังนั้น หาใจได้ง่ายมากเลย สิ่งใดที่คนตายไม่มีนั่นเองคือใจ คนตายมีใจไหม มีแต่ร่างกายใช่ไหม เพราะฉะนั้น ใจนี่เองเห็น ต้องไม่ลืม เห็นคือใจ มิฉะนั้นแล้วใจอยู่ที่ไหนก็หาใจไม่เจอ นั่งอยู่นี่มีใจหรือเปล่า เห็นไหมว่าต้องมีใจแน่ๆ ถ้าไม่มีใจก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้เลย พูดแค่นี้รู้จักใจนิดเดียว แต่ใจยังลึกลับมากกว่านี้ที่สามารถที่จะรู้จักใจยิ่งขึ้น ไหนๆ ทุกคนก็มีใจ เเล้วใจก็อยู่ที่ตัวของแต่ละคน ไม่อยากรู้จักใจหรือ
ผู้ฟัง อยาก
ท่านอาจารย์ ดีมากเลย นักศึกษาคือผู้ฟังและไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง จะรู้จักใจเพราะมีใจ ถ้าไม่มีใจ รู้จักใจไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย รู้จักอะไรบ้าง เหมือนรู้จัก แต่ความจริงแม้แต่ใจถ้าถามคนอื่นว่าเห็นเป็นใจหรือเปล่า เขาจะตอบว่าอย่างไร มีใครตอบไหม ถ้าถามคนอื่นว่าเห็นคืออะไรที่เห็น เห็นมีจริงๆ แต่เห็นเป็นอะไร ได้ยินก็มีจริงๆ แล้วได้ยินเป็นอะไร เสียงก็มีจริง แล้วเสียงก็เป็นอะไร นี่คือผู้ศึกษาที่จะรู้ว่าสิ่งรอบตัวทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายนั้น ความจริงคืออะไร เสียงมีจริง
เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง สิ่งที่มีจริงในภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม อะไรก็ตามที่มีจริงๆ ปรากฏจริงๆ ให้รู้ว่ามีจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามทั้งหมดเป็นธรรม ดอกมะลิมีจริงไหม เดี๋ยวนี้เห็นใช่ไหม เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรม คิดเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่คิดจะรู้ว่าเป็นดอกมะลิไหม ก็เพียงแค่เห็น ซึ่งเห็นก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม ดอกมะลิก็เป็นธรรม บางคนคิดร้ายบางคนคิดดี ดอกมะลิคิดร้ายได้ไหม คิดดีได้ไหม ต้องใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จึงเป็นใจดีและใจร้าย
พูดถึงเรื่องดีต่อใจ และใจดี ต่างกันแล้วใช่ไหม ดีต่อใจหมายความถึงสิ่งที่ดีที่ใจรู้ เห็นดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบดีแน่ๆ ดีต่อใจเพราะใจกำลังรู้ดอกกุหลาบ อาหารก็อร่อย รสอร่อยมากดีต่อใจที่กำลังรู้รส ใจที่รู้รส กับใจที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นใจเดียวกันหรือเปล่า ไม่ฟังไม่รู้ใช่ไหม คิดว่าใจเดียวนั่นเอง เดี๋ยวรู้นั่นเดี๋ยวรู้นี่ นี่คือก่อนได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิด เกิดเองก็ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยปัจจัยอุปถัมภ์ สนับสนุน เกื้อกูลกันให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้นได้ แม้แต่สิ่งธรรมดาๆ เช่น ได้ยิน เพียงแค่ไม่มีหู ไม่ใช่ใบหูทั้งใบ มีรูปพิเศษที่ตัวหลายรูป หูเป็นรูปที่สามารถกระทบเสียงได้ เป็นโสตปสาท โสตคือภาษาบาลี ภาษาไทยก็คือ หู ปสาทก็คือ รูปที่พิเศษที่สามารถกระทบกับเสียง ถ้าจับหู ตรงที่ถูกจับแข็ง กระทบเสียงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครเห็นโสตปสาท คือหูที่สามารถกระทบเสียงได้ไหม รู้แน่ว่ามีใช่ไหม แล้วอยู่ไหน มองเห็นไหม แต่มีอยู่กลางหูซึ่งไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย
เรากำลังมาฟังเรื่องๆ หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแต่ไม่เคยรู้มาก่อน ให้รู้ว่าทุกคำที่เราพูดตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยรู้ ลองจับหู จับได้ใช่ไหม แต่จับปสาทรูปที่กำลังกระทบกับเสียงไม่ได้ แม้ว่ามี แต่รูปที่สามารถกระทบสัมผัสได้ ก็เป็นเพียงรูปที่อ่อนหรือแข็งที่กระทบกาย เย็นหรือร้อนที่กระทบกาย ตึงหรือไหวที่กระทบกายเท่านั้นเอง รูปอื่นไม่สามารถที่จะกระทบกับกายได้เลย เช่นเดียวกับรูปอื่นไม่สามารถกระทบหูได้นอกจากเสียง รูปอื่นไม่สามารถจะกระทบจมูกได้นอกจากกลิ่น
แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราเลย อยากเห็นสิ่งที่ดีแต่บังคับบัญชาไม่ได้ บางครั้งบางวันเห็นปลากำลังจะตาย บาดเจ็บทุรนทุราย น่าดูไหม นั่นคือเห็นสิ่งที่ไม่ดีต่อใจ ใจรู้ทุกอย่าง ใจเห็น ใจได้ยิน ใจได้กลิ่น ใจลิ้มรส ใจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใจคิดนึก ใจไม่ได้อยู่นอกกาย แต่ว่าใจแต่ละใจมีที่เกิดในกาย ตรงกาย กายก็เกิด ใจก็เกิด ซึ่งอาศัยกันและกันเกิด โดยเป็นปัจจัยหลากหลายมากแต่ละหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีทั้งหมด เกิดมาเป็นเราจนกระทั่งตาย ไม่รู้เรื่องของตัวเราเลย ไม่รู้เรื่องกาย ไม่รู้เรื่องใจ มีชีวิตไปวันๆ หนึ่งแล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไม่รู้ กับนักศึกษาได้ยินได้ฟังอะไร เราไม่ผ่านเลยสักคำ ได้ยินได้ฟังคำไหน ฟังคำนั้น ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ นั่นจึงจะชื่อว่าศึกษา
ต่อไปนี้ ทุกคำให้ทราบว่า แต่ละคำที่จะได้ยินเป็นคำที่มีจริง และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต้องเป็นสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งอื่นไม่ได้ จากการที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้รู้จักตัวเองแต่ละคน ถ้าไม่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ โลกจะปรากฏไหม ไม่ปรากฎ แต่เมื่อเกิดแล้ว โลกเต็มไปหมดเลยใช่ไหม ต้นไม้ใบหญ้า ผู้คน ภูเขา สารพัดอย่าง รู้ไหมว่าอะไรเป็นอะไร แต่อย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงจึงเป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง
เริ่มรู้จักธรรมแล้ว ถ้าฟังธรรมก็คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้เมื่อมีจริงอย่างนั้น อย่างเช่นเราพูดเรื่องเห็น เห็นมีจริงๆ เห็นไม่ใช่ได้ยิน กำลังเห็น มีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม เพราะอะไร เห็นมีจริง สิ่งที่ถูกเห็นมีจริง เพราะฉะนั้น เห็นก็เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรม เกลือเป็นธรรมหรือเปล่า น้ำตาล กาแฟ เป็นธรรมหมดเลย ที่บ้านเป็นธรรมไหม ที่ถนน รถไฟ รถยนต์ เครื่องบิน เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นหมดเลย เริ่มรู้จักธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมมีหลากหลายมาก แต่ก็ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ต้องไม่ลืมว่า ธรรมคือทุกอย่างที่มีจริงหลากหลายมาก หลากหลายจนรู้ความต่างเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ธรรมอย่างหนึ่งมีจริงแต่ไม่รู้อะไร แข็งมีใช่ไหม แข็งไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แข็งฟังหรือเปล่า ฟังทุกคำหรือเปล่า ไม่ใช่เลย เพราะแข็งไม่ใช่สภาพรู้
สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร ในชีวิตประจำวันทุกวันตื่นมาเห็น สิ่งที่ปรากฏไม่รู้อะไร ตาก็ไม่รู้อะไร แต่เห็นไม่ใช่ตา และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นสภาพรู้ที่เกิดเพราะมีตา ถูกต้องไหม ถ้าไม่มีตา เห็นเกิดได้ไหม เพียงหนึ่งที่เรารู้ว่าต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ แต่ให้ทราบว่าทุกอย่างไม่เว้นเลย ที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัย
สงสัยไหมว่าอะไรมีเหตุปัจจัยของอะไร ถามได้เลย ยกตัวอย่างหนึ่งตัวอย่าง เห็น ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ เห็นก็เกิดไม่ได้ เสียงกระทบตาได้ไหม กลิ่นกระทบตาได้ไหม เพราะฉะนั้น กลิ่นและเสียงไม่ได้กระทบจักขุปสาท รูปพิเศษที่อยู่ที่กลางตาที่มองไม่เห็นเลย แต่รูปนี้สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้
นี่คือเราหรือเปล่า รู้จักเราบ้างหรือเปล่า เมื่อสักครู่มีคำพูดว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นต้องอาศัยสิ่งอื่น อาศัยกันและกันทำให้เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่อาศัยปรุงแต่ง อย่างเช่น เห็น ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้ เคยเห็นตาของปลาไหม ตานก ตางู มีใช่ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เคยจับตาของปลาไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ อ่อนหรือแข็ง
ผู้ฟัง อ่อน
ท่านอาจารย์ สภาพที่อ่อนเป็นสภาพรู้หรือเปล่า รู้อะไรได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตาของปลาอ่อนใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ รู้อะไรไม่ได้เลย เพราะลักษณะที่อ่อนไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ ลักษณะที่แข็งก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้น ตามีจริง ไม่ว่าจะตานก ตาคน ตาอะไรก็ตาม เป็นแต่เพียงรูปร่างที่มี และสีสันวัณณะก็ปรากฏเป็นสัณฐานที่ทำให้รู้ว่า ตาไม่ใช่คิ้วไม่ใช่จมูก กระทบอะไรทั้งหมดที่ตัวอ่อนหรือแข็ง คิ้วก็แข็ง ตาก็แข็งหรืออ่อนก็ได้ จมูก ลิ้นได้หมดเลย ไม่ใช่สภาพรู้ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ลักษณะที่แข็งเปลี่ยนเป็นอ่อนได้ไหม เปลี่ยนเป็นรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ อ่อนต้องเป็นอ่อน เพราะฉะนั้น อ่อนไม่สามารถจะรู้อะไรได้จึงเป็นรูปธรรม ตาเป็นรูปธรรม รู้อะไรไม่ได้ ไม่ว่าส่วนไหนของตาทั้งสิ้นรู้อะไรไม่ได้เลย จะเป็นส่วนที่เป็นตาขาวก็รู้ไม่ได้ ตาดำก็รู้ไม่ได้ ก็คือแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นรูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ แต่เห็นไม่มีรูปร่างเลย เห็นไม่แข็งไม่อ่อน แต่เห็นเกิดขึ้นต้องรู้
เพราะฉะนั้น เห็นรู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา โดยตาเป็นหนึ่ง เป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่มีตา เห็นเกิดไม่ได้เลย ตาเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เกิดเห็น เพราะเหตุว่าตาเป็นรูปพิเศษจริงๆ รูปมีมากมาย แข็งรูปหนึ่ง หวานเปรี้ยวก็แต่ละรูปไป แต่ว่ารูปทั้งหมดเลยไม่เว้นเลย คือธรรมใดที่เป็นธรรมแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ตาเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ ถามกี่ครั้งตาก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นรูปธรรมใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วเห็น? เห็นแข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เปรี้ยวไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ดังไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เห็นกำลังเห็น หมายความว่ารู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ว่า เพราะมีธาตุเห็นกำลังเห็นสิ่งนั้น เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง จึงกล่าวได้เลยว่าทุกอย่างเป็นธรรม กายของเราที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ทั้งหมดทุกส่วนเป็นรูปธรรม ร่างกายทุกส่วนเป็นรูปธรรม แต่ธาตุรู้ที่เกิดเพราะอาศัยตา เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จำบ้าง พวกนั้นเป็นนามธรรม ต้องแยกขาด เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม และธรรมแต่ละหนึ่งก็เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าไม่มีการเปลี่ยนลักษณะได้เลย ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน เกิดเป็นแข็งแล้วจะเปลี่ยนเป็นขมได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เข้าใจชัดเจนหรือยัง ธรรม เมื่อแยกเป็นประเภทก็คือ ธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีจริงๆ ไม่ใช่เราด้วย แต่เป็นรูปธรรม เกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมทุกอย่าง แม้แต่ใจก็ต้องเกิด อะไรที่มีทั้งหมดเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สิ่งนั้นเกิดจึงปรากฏว่ามี เดี๋ยวนี้โกรธไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ แล้วโกรธมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะโกรธไม่เกิด เวลาที่เกิดโกรธ ขณะนั้นบังคับได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา อะแปลว่าไม่ อัตตาแปลว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความละเอียดอย่างยิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างกายของเราเล็กใหญ่ สูงต่ำก็ตามแต่ สามารถที่จะแยกย่อยออกไปละเอียดยิบได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่แยกออกไปแล้ว มีอะไรในส่วนที่ละเอียดที่แยกออกไปหมด ไม่เป็นตาแล้ว ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่เป็นหูแล้ว ไม่เป็นหัวใจแล้ว ไม่เป็นสมองแล้ว แต่เป็นสิ่งซึ่งอากาศธาตุแทรกรูปแต่ละกลุ่มละเอียดยิบ แต่ละหนึ่งมีลักษณะที่เราใช้คำว่าธาตุ ๔ เคยได้ยินไหม ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ได้ยินคำว่าดิน ได้ยินคำว่าน้ำ ได้ยินคำว่าไฟ ได้ยินคำว่าลม คือลมที่พัดใช่ไหม ไฟที่ในเตาหรือที่ไหนก็ได้ ดินก็ที่ปลูกต้นไม้ น้ำก็สิ่งที่เรากินและอาบ คิดว่าเป็นอย่างนั้น
แต่ความจริงละเอียดยิ่งกว่านั้นมาก เพราะเหตุว่าอะไรทั้งหมดที่แข็งหรืออ่อน อ่อนที่สุดจนนิ่มมากก็ยังเป็นลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง นั่นคือลักษณะของธาตุชนิดหนึ่ง เรียกว่าธาตุดิน ไม่เรียกได้ไหม ลักษณะที่มีจริงใครไม่ต้องเรียกอะไรเลยทั้งสิ้นก็มี แล้วใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย นี่คือความเข้าใจเบื้องต้นของคำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และธรรมทั้งหมดเป็นธาตุแต่ละชนิด แต่ละหนึ่งทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น จะไม่ให้รูปของเราเป็นอย่างนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ รู้ไหมเพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะว่าร่างกายของเราเกิดจากธาตุ ๔ ธาตุ ใช่ไหม ซึ่งธาตุ ๔ ธาตุเป็นธรรม คือความจริงที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ท่านอาจารย์ แล้วก็เกิดเพราะปัจจัยด้วย
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น บางคนเกิดมามีตา บางคนเกิดมาตาบอดตั้งแต่เกิดเลย เป็นไปได้ไหม
ผู้ฟัง เป็นไปได้
ท่านอาจารย์ ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้หลากหลายอย่างนั้น ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่า อะไรเป็นปัจจัยที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ แต่ว่าเราเคยได้ยินคำว่ากรรมบ่อยๆ ใช่ไหม เมื่อได้ยินคำว่า กรรม ทุกคนคิดถึงอะไร
ผู้ฟัง กรรมคือการกระทำหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง การกระทำดี มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ การกระทำชั่ว มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ การกระทำเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
ผู้ฟัง นามธรรม
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าแค่ ๒ คำนี้ เราต้องพิจารณาว่า กายไม่รู้อะไรเลย กายเคลื่อนไหวไปได้เมื่อมีจิต ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นนามธรรม กายก็เคลื่อนไหวไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ทั้งหมดมาจากใจ เราพูดถึงดีต่อใจ และเราพูดถึงใจดี แต่ว่าต้องเข้าใจ "ใจ" ก่อน เราถึงจะเป็นนักศึกษาผู้ที่มีความเข้าใจจริงๆ เป็นผู้ที่มีเหตุผลไตร่ตรอง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครคัดค้านได้เลย เพราะเหตุว่าเกิดจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง
ด้วยเหตุนี้ กรรมคือการกระทำดีทำให้ผลดีเกิดขึ้น เพราะดีเป็นเหตุ ผลที่เกิดจากเหตุที่ดี ต้องดี นี่คือพื้นๆ ก่อน และการกระทำที่ไม่ดีทำให้คนอื่นเดือดร้อน เรากล่าวว่าไม่ดี เกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดทุกข์ต่างๆ ก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น การกระทำขณะนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ดี ผลจะเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ผลต้องไม่ดี นี่คือเราพูดเผินมากเลย กรรมเป็นเหตุ ผลของกรรมต้องมี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่ากรรมคืออะไร ได้แต่พูดว่าการกระทำ และผลคืออะไร หาเจอไหม เราทำกรรมกันทุกวัน ทำดีต่อพ่อแม่เป็นกรรมดี เพราะใจดี
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
